Thumb Rights - ภาคประชาชน “ยืน หยุด ขัง ท่ามกลางฝน 110 นาที” ส่งกำลังใจถึงผู้ต้องขังการเมือง 53 คน หลังมีคนเข้าเรือนจำรวด 7 คน จากคดี ‘ม.112’ – ‘ม.110’ ลุ้นผลประกัน เอกชัยและพวกรวม 5 คน
วันนี้ 6 กันยายร 2568 บริเวณหน้าศาลอาญา รัชดาฯ มีกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” 110 นาที โดยกลุ่ม Thumb Rights และกลุ่มประชาชน เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ต้องขังทางการเมือง พร้อมทั้งเรียกร้องสิทธิประกันตัวให้กับผู้ต้องขังทางการเมือง หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (1-5 ก.ย.) มีผู้ต้องขังทางการเมืองเพิ่มรวดเดียว 7 คน ทำให้มียอดผู้ต้องขังสูงถึง 53 คนแล้ว
เวลาประมาณ 17.00 น. แม้มีฝนตกหนัก แต่ประชาชนยังทยอยเดินทางมาร่วมกิจกรรม กิจกรรมจึงจัดขึ้นตรงบริเวณป้ายรถเมล์แทน มีการถือป้ายรูปผู้ต้องขังทางการเมือง รวมไปถึงป้ายข้อความ อาทิ “#ยืนหยุดขัง”, “ปล่อยนักโทษการเมือง ม.112 โดยไม่มีเงื่อนไข”, “#ปล่อยฟรานซิส” เป็นต้น หลังฝนซาลง กิจกรรมจึงเคลื่อนมาจัดบริเวณหน้าป้ายศาลอาญาและถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนที่จะยุติกิจกรรมลงในเวลา 18.20 น.
“มายด์” ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ซึ่งมาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน เป้าทอง เป็นเพื่อนมายด์ตั้งแต่ช่วงปี 2563 เขาเป็นตัวแทนนักศึกษามหิดลที่มาร่วมกิจกรรมกัน และเป็นหนึ่งในคนจัดกิจกรรมทางการเมืองในมหาวิทยาลัย นำเพื่อน ๆ ในมหาวิทยาลัยมาเจอกับคนภายนอก จนเกิดเป็นขบวนการนักศึกษา จนเมื่อเขาถูกดำเนินคดี ม.110 ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเรือนจำหลังศาลกลับคำพิพากษาจากยกฟ้องเป็นลงโทษ 16 ปี ส่วนเอกชัยลงโทษ 21 ปี 4 เดือน ซึ่งเป็นสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลงมาก ๆ
“เราเลยมายืนหยุดขังอยู่ตรงนี้ เพื่อมาย้ำเตือนกับทุกคนให้รู้และไม่ลืมว่ามีเพื่อนของเราอีกหลายคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ และสถานการณ์คดีทางการเมืองเป็นเช่นนี้เรายังจะนิ่งนอนใจได้อีกหรือไม่ จึงชวนกันมาจับตาดูและส่งเสียงให้กำลังใจทั้งคนในเรือนจำและคนที่สู้อยู่ข้างนอก”
ด้านอานนท์ ชวาลาวัณย์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สามัญชน ได้นำเสื้อที่ ‘ฟรานซิส’ บุญเกื้อหนุน เคยบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์มาร่วมยืนหยุดขังในวันนี้ด้วย อานนท์กล่าวว่า เสื้อตัวนั้นเป็นเสื้อที่เขาใช้ในการเคลื่อนไหวที่ศาลายาในช่วงปี 2563 และเขาได้นำจดหมายไปอ่านหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด ระหว่างรออัยการนำตัวไปฟ้องคดีต่อศาล โดยอานนท์ได้อ่านจดหมายอีกครั้ง ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
“มีอยู่คืนหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสออกมาทานอาหารมื้อเย็นกับหนึ่งในนักข่าวท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียง เขาบอกกับผมว่ามีคำในภาษาอังกฤษคำหนึ่งที่เขาจะใช้เป็นคำที่อธิบายความเป็นตัวของผมได้มากที่สุด และเขาบอกกับผมว่าคำนั้นคือคำว่า “eccentric” ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากเพราะผมเชื่อมาตลอดว่าคำนี้เป็นคำที่ไม่ดี และมันถูกใช้กับคนที่นอกจากอยู่ด้วยยากแล้ว ยังเป็นคนที่ท็อกซิกอีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผมกลับไปค้นคำนี้อีกครั้ง ความหมายที่ออกมา มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมทราบเลย คำว่า eccentric มีไว้เพื่ออธิบายคนที่ไม่เหมือนคนอื่น แต่มีความคิดและความฝันที่ไกลกว่า และมีหัวใจที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่นเมื่อมีคนต้องการ
เมื่อผมนึกกลับไปตั้งแต่วันแรกที่ผมเริ่มเดินทางบนเส้นทางชีวิตเส้นนี้ และการเดินทางที่ทำให้ผมเป็นบุคคลอย่างที่ผมเป็น ทำให้ผมภูมิใจเป็นอย่างมากที่คำนี้เป็นคำที่ตรงกับบุคลิกที่ผมเป็นในวันนี้
และวันนี้เองที่ผมได้ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน พร้อมกับคำกล่าวหาและบทลงโทษอันที่เกินกว่ามนุษยชนคนธรรมดาคนหนึ่งต้องได้ประสบเจอ ผม และผู้ต้องหาอีกสี่คน ได้ถูกกล่าวหาอันไร้มูลเหตุความเป็นจริง ว่ามีความพยายามจักประทุษร้ายต่อเสรีภาพองค์ราชินี และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 อย่างที่ผมและคนอื่น ๆ ได้แจ้งมาตลอด พวกเราหาได้มีความประสงค์ หรือความพยายามที่จะกระทำตามข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่ และพวกเรายืนยันในความบริสุทธิ์ของพวกเรามาตลอด
แต่หลังจากห้าเดือนผ่านไปพร้อมกับความอัปยศและความยากลำบาก พวกเราได้รับทราบถึงข้อสรุปจากอัยการสูงสุดว่าได้ตัดสินใจที่จะดำเนินคดีผมกับพวกเราอีกสี่คน และด้วยการนี้เองที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้เตรียมการส่งคดีนี้ฟ้องร้องต่อศาลอาญา ณ รัชดาภิเษกเช่นเดียวกัน และเมื่อถึงครานั้นจะเป็นช่วงการดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป ถ้าหากไม่สำเร็จ พวกเราทั้งห้าคนจะต้องถูกฝากขัง และถูกลิดรอนเสรีภาพของพวกเราโดยทันที
“เสรีภาพ” คำนี้ที่ผมและคนอื่น ๆ ที่มาก่อนหน้าผมได้ต่อสู้เรียกร้องเพื่อมันมาตลอด พวกเราเชื่อถือเรื่อยมาว่ามนุษยชนทุกคนได้ถือกำเนิดมา ถูกสร้างขึ้นมา และริเริ่มขึ้นมาเพื่อให้เป็นอิสระเสรี คำพูดเหล่านี้ยังคงเป็นจริงอยู่ตลอด แกร่งกล้าและหนักแน่นเหมือนที่คำพวกนี้เคยกล่าวและเขียนไว้ครั้งแรกเมื่อสามศตวรรษที่แล้ว และด้วยประโยคและคำพวกนี้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจด้วยความจริงที่ว่า เพียงแค่ช่วงเวลาเสี้ยวหนึ่ง พวกเราได้มีโอกาสต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อความยุติธรรม กับเพื่อนของผมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ และถึงขนาดนั้นเอง ผมเชื่อว่าเรายังมีอะไรอีกมากที่ยังต้องช่วยเหลือ เกื้อกูลและทำต่อ ถึงจุดนี้ ผมคงเพียงพูดแค่ว่า มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้
ถ้าหากความเป็นอยู่ของผมต้องจบลงในขณะที่ถูกจองจำ ผมจะเผชิญหน้าต่อไปโดยปราศจากความเสียใจทั้งสิ้น ต่อกรกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มและความพึงพอใจที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราได้สละชีพให้จะมีความหมาย และชื่อเสียงเรียงนามของผมจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ โดยที่รู้ว่าจิตวิญญาณ, จิตใต้สำนึก และความศรัทธาของเราจะไม่มีวันถูกทำลายได้อย่างแน่นอน ตามที่ดานเต้ผู้เป็นอมตะได้กล่าวไว้ว่า “ความยุติธรรมอันศักดิสิทธิ์บนสรวงสวรรค์ จะชั่งน้ำหนักเวรกรรมของผู้ที่จิตใจชั่วช้าเย็นชา กับผู้ที่อุทิศตนเพื่อคนอื่นต่างกันเรื่อยไป”
สิ่งที่ผมได้เคยทำเพื่อประชาชนนี้ สิ่งที่ผมได้อุทิศตนเพื่อสิทธิและความเสรี ถือว่าเป็นความยินดีอย่างหาที่สุดไม่ ขอให้โชคชะตาได้กรุณาทั้งประชาชนและประเทศไทยแห่งความเสรีต่อไป
บุญเกื้อหนุน “ฟรานซิส” เป้าทอง วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ 2564 ณ สำนักงานอัยการสูงสุด รัชดาภิเษก”
อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” ยังคงมีกลุ่มภาคประชาชนทำกิจกรรมในหลายพื้นที่ อาทิ หน้าศาลอาญา, หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม, ประตูท่าแพ เชียงใหม่ อยู่เป็นประจำเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำหรับกรณีของผู้ต้องขังที่เพิ่มขึ้นทั้ง 7 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ เนื่องจากศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวคดีมาตรา 112 หลังศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาจำคุก จากเหตุปราศรัยเมื่อปี 2564
ส่วนกรณีล่าสุด เอกชัย หงส์กังวาน และพวกรวม 5 คน ถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำระหว่างรอคำสั่งประกันตัวจากศาลฎีกา หลังถูกพิพากษาคดีมาตรา 110 จำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน และอีกสี่คน คนละ 16 ปี ทำให้ผู้ต้องขังทางการเมืองปัจจุบันมีอย่างน้อยถึง 53 คนแล้ว