ธิดา ถาวรเศรษฐ : พูดคุยกับพี่น้องประชาชนในกิจกรรม #เขียนจดหมายหน้าเรือนจำ 9
ก.ค. 63
สวัสดีค่ะพี่น้องทางบ้านและที่นี่
(หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ) ทุกคน ต้องขออภัยที่ว่าเรามาตามธรรมชาติ
อาจจะไม่สะดวกสักหน่อย ปกติอาจารย์ก็จะเล่าข่าวอยู่ในเฟสบุ๊คไลฟ์ทุกวัน
แต่ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ อยากให้กล้องหันไปดูพี่น้อง
แต่ว่าก็คงเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วว่าก็มากันหลายคน
ก่อนอื่นก็ขอบคุณนะทุกคนที่มาแล้วก็คนที่ไม่ได้มา
คือเราก็ไม่ได้มีอะไรที่จะเรียกว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องหวาดกลัวอะไร
เพราะว่านี่มันก็หมดแล้ว คือแกนนำก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ไม่มีอะไรกดดัน
เราก็ปฏิบัติตามระเบียบ เขาบอกเข้าไปเยี่ยมไม่ได้ใช่มั้ย? เราก็เขียนจดหมายไป
อย่างวันนี้จดหมายก็ปึ๊งเบ่อเร่อ อันนี้เราเป็นพลเมืองดีนะ
แต่ว่าวันนี้มีเจ้าหน้าที่เป็นแถวเลยมากัน เอาข้าวมากินด้วย น่ารักมาก (40 – 50
คนเลย) คือจะมากกว่าพวกเราหรือเปล่า?
ในนี้ก็จะเป็นจดหมายที่พวกเราเขียนวันนี้
เดี๋ยวก็ค่อยแจกแล้วก็ถ่ายรูปให้เป็นที่ระลึก ก็คือ มาเพื่อให้กำลังใจ
เพราะว่าเขาให้เยี่ยมไม่ได้ เมื่อเขาให้เยี่ยมไม่ได้ เราก็ไม่เยี่ยม โอเค!
แล้วก็เราก็อยู่ในที่โล่งแจ้ง ไม่ได้อยู่ในเรือนจำ ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
แล้วก็ไม่ได้ทำผิดระเบียบหรือกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ประการใด
ก็เรานัดมาเขียนจดหมายแล้วก็มีอาหาร เราก็กินข้าวร่วมกัน
เพราะฉะนั้นก็ก่อนอื่นก็คือต้องบอกให้ทราบก่อนว่า ขนาดเรานัดมากินอย่างนี้
แล้วมาเขียนจดหมาย เจ้าหน้าที่ยังมาเป็นแถวเลย จะมาหาอะไรกับพวกเด็ก ๆ
ไปยืนชูไม้ชูมือก็ต้องโดนอยู่แล้ว แต่อาจารย์ว่ามันไม่เข้าท่า
เอาล่ะ
เรามาพูดเรื่องของเรา เข้าใจว่าข่าวที่ออกมาไม่ใช่อาจารย์เป็นคนแจ้งข่าวนะ
“ข่าวสด” เนี่ยออกมาแล้วเช้านี้ว่าคุณวีระกานต์กับคุณหมอเหวงจะย้ายไปที่โรงพยาบาล
ดังนั้นต่อไปใครจะเขียนจดหมายก็อาจจะต้องแยก ก็คือส่วนหนึ่งก็อยู่แดน 2
ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะย้ายแดนเมื่อไหร่ อีกส่วนหนึ่งก็คือมาอยู่โรงพยาบาล
คุณวีระกานต์นี่น่าเห็นใจมาก
คือโรคก็เยอะ ป่วยมาก ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ที่ติดคุก
แล้วเมื่อตอนที่อยู่ประชาธิปัตย์ก็ติดคุกเพราะไปช่วยหาเสียงให้คนอื่น
ชีวิตของคุณวีระกานต์ตั้งแต่เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ยิ่งใหญ่มากตั้งแต่ยังหนุม
แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดถึงตัวเอง
แล้วก็เป็นคนที่ต่อต้านเผด็จการว่างั้นเถอะตั้งแต่ต้น ดังนั้นก็เข้าร่วมการต่อสู้
14 ตุลา, พฤษภา 35, แต่มีอยู่หนหนึ่งไปพลาดไปกับคุณฉลาด (พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ)
เที่ยวนั้นก็เข้าเรือนจำเหมือนกัน (ไปร่วมมือกับคนทำรัฐประหาร) เป็นครั้งเดียว
นอกจากนั้นคุณวีระกานต์ก็สู้เพื่อประชาธิปไตยโดยตลอด
อาจารย์เห็นใจคุณวีระกานต์มาก
ที่คุณวีระกานต์เริ่มแล้วก็ทำให้เกิด นปก. เราต้องให้เกียรติว่าคุณวีระกานต์เป็นคนแรกเลยนะที่ไปชวนณัฐวุฒิกับจตุพรที่พรรคไทยรักไทย
เปิดไฟแล้วก็มาร่วมอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งเป็นที่มาของคดีปี 51
ที่เราไปอยู่หน้าบ้าน แล้ว 2 ปี 8 เดือน ตอนนี้ 2 ปี 8 เดือน
ก็เรียบร้อยแล้วนะอยู่ในเรือนจำ แล้วพวกเราเพียงแต่เยี่ยมไม่ได้ก็มาเขียนจดหมาย
ก็ไม่น่ามีปัญหานะ ฝากไปบอกเจ้านายด้วย ไม่น่าจะมีปัญหา
แล้วก็สาวงามทั้งนั้นเลยที่นั่ง ๆ กันอยู่เนี่ย (งอมแต่งาม)
เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือคดีปี
51 แล้วตามข่าวก็บอกอย่างเมื่อกี้แล้วว่า ผู้เฒ่าสองคนจะย้ายมาอยู่ที่โรงพยาบาล
ส่วนวันที่ 15, 16, 17 ก.ค. นี้ไปศาล อันนี้คือคดีปี 52
ที่เราไปอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล โปรดสังเกตว่าเราอยู่ข้างหน้าทั้งนั้นนะ
ไม่ได้เข้าไปข้างใน ตอนนั้นมีตำรวจทำเนียบนะ
เราก็เอาของให้กินกันแล้วก็ญาติดีกันไม่มีปัญหาเลย เราเคยตีตำรวจ ตีทหารมั้ย ไม่มี
ไม่มี แต่ว่าตำรวจที่เตะระเบิดแล้วต้องตัดขา ลูกชาย (คุณหมอหวาย)
ทำแผลให้เป็นเดือน ๆ เลยที่โรงพยาบาลตำรวจ ทุกวัน! อันนั้นเขาก็ฝากขอบคุณมาก
แต่ความหมายที่จะเล่าว่าปี
52 เราก็ไปอยู่หน้าทำเนียบอีกเหมือนกัน ไม่ได้เข้าไปเลย
แล้วตอนนั้นก็มีบางคนร้องเพลงวิสา (วิสา คัญทัพ) ยังมีนายกฯ ตอนนั้นก็บอก
“อ๋อ...ชอบเพลงวิสานะ แต่ว่าไม่ชอบที่หน้าทำเนียบ”
ก็คือปี
52 จริง ๆ แล้วมันจบด้วยว่าเราได้เจรจากับทางตำรวจ แล้วสลายการชุมนุมด้วยตัวเราเอง
จำได้มั้ยที่ว่ามีคุณหมอเหวง, คุณณัฐวุฒิ, คุณวีระ ไปส่งพี่น้องขึ้นรถ ดังนั้นปี
52 เป็นปีที่ว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาเพราะว่าเราเลือกที่จะจบเกมเอง
แล้วก็ให้ตำรวจมารับตัว เพราะฉะนั้นคดีนี้ก็ เรายังไม่รู้ว่าอยู่หน้าบ้านพล.อ.เปรม
2 ปี 8 เดือน ไปอยู่หน้าทำเนียบ 4-5 วัน หรือ... อาจารย์จำไม่ได้แล้ว
แต่ไม่ได้เข้าทำเนียบเลย ผลสุดท้ายจะเป็นกี่ปี เพราะว่าทำเนียบอาจจะสำคัญกว่าบ้านพล.อ.เปรม
แต่หมายความว่าหน้าบ้านสำคัญกว่าข้างใน (ถูกมั้ย)
เพราะว่าคนที่เคยเข้าไปอยู่ในทำเนียบหลายเดือน ติดคุกไม่มาก เข้าไปอยู่ในทำเนียบ
ปลูกข้าวจนข้าวสุก อันนี้เราก็ให้สังคมตัดสินเอง แต่ว่าที่พูดนี่ให้เราเข้าใจว่า
15, 16, 17 คดีอะไร ก็คดีปี 52 ที่หน้าทำเนียบ
มันจะมีการสูญเสียอะไรกันอยู่ก็ดูเหมือนจะที่ตรง
“ดินแดง” เดือนเมษาเหมือนกัน จำได้มั้ยคะ เดือนเมษาที่ดินแดงเนี่ย ในตอนนั้นปี 52
ก่อนที่เราจะยุติการชุมนุม อาจารย์จำได้ว่าอาจารย์ขับรถจากทำเนียบมาจนถึงวิภาวดี
พอจะเลี้ยงซ้ายก็มีคนที่ดินแดงโทรเข้ามาบอกว่า “อาจารย์ มีทหารกับอาวุธมาเต็มเลย”
เขาก็บอกว่าคนที่ดินแดงก็ยึดรถไว้ แล้วทหารก็ไปแล้ว ทิ้งอาวุธเอาไว้
อาจารย์ก็เลยบอกว่า
คุณโทรบอกที่ชุมนุมใหญ่เลย แล้วเขาก็เอาไปคืน
แล้วคุณทราบไหมว่าคนที่มาบอกให้เอาอาวุธไปคืนคือใครรู้มั้ย? ตอนนั้นนะคือ
“คุณสุรชัย แซ่ด่าน” คืออาจารย์ก็โทรเข้าไป แล้วเขาก็มอบให้ มีตัวแทนมา
ดังนั้นหมายความว่าอาวุธทหารที่ทิ้งเอาไว้เนี่ย
เราก็เอาไปส่งตำรวจหมด แต่จากนั้นก็มีการปราบที่ตรง “ดินแดง”
มีการสูญเสียจำนวนหนึ่ง แต่หาศพไม่ได้
แต่สุดท้ายก็คือปี
52 เรายุติเอง มันไม่ควรมีอะไร แต่มันมีเหตุการณ์สำคัญคือที่ “พัทยา”
ดังนั้นพอพัทยาถูกตัดสิน 4 ปี (ถูกมั้ยคะ) ก็มีคนหัวใสบอกว่าแกนนำกรุงเทพฯ
ควรจะต้องโดน 4 ปี เหมือนพวกพัทยาด้วย ก็เลยฟ้องแกนนำกรุงเทพฯ ที่พัทยาด้วย
ทางเราก็ไม่ได้ปฏิเสธนะว่า
ก็เขาฟ้องมันก็ต้องเป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่ขอให้คดีมาร่วมกันกับกรุงเทพฯ
เพราะมันเป็นคดีเดียวกัน
ดังนั้นจะให้พวกเราเข้าใจว่า
ที่มาที่ไปคือ ติดคุกเนี่ย ปี 51 หน้าบ้านพล.อ.เปรม แต่วันที่ 15, 16, 17
ก.ค.นี้คือปี 52 ไปอยู่หน้าทำเนียบ ก็ไม่รู้...หน้าบ้านป๋ายังเจอ 2 ปี 8 เดือน
แต่พัทยาเนี่ยเจอ 4 ปีแล้ว แล้วเรายังมีปี 53 อีก
ปี
53 แกนนำโดนข้อหาก่อการร้าย ศาลชั้นต้น “ยก” แต่เรายังมีอุทธรณ์ ฎีกา
เพราะฉะนั้นหมายความว่ายังไม่แน่นอน โอกาสที่ พูดง่าย ๆ
ว่าเดินสวนสนามระหว่างเรือนจำบ้าง ศาลบ้าง ชีวิตตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมา เมื่อปี 53
พวกเรามาเยี่ยมทีหนึ่งเป็นร้อย ๆ คน อาจารย์ต้องแจกบัตรคิว ผ่านมาสิบปี
เรามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แกนนำก็เดินเข้าออกศาลกับเรือนจำ
พวกเจ้าหน้าที่เปลี่ยนหน้าใหม่แล้วไม่รู้ประวัติศาสตร์หรอก
แต่พวกนี้เป็นประวัติศาสตร์ (อาจารย์ชี้มาที่พี่น้องด้านหน้า)
เป็นคนในประวัติศาสตร์ มีที่ไหนที่สู้มาเป็นสิบปี อาจารย์ก็ถือว่าเป็นคนในประวัติศาสตร์เหมือนกันนะ
เพราะว่ามันตั้งแต่ 14 ตุลา 16 นับมาตอนนี้เท่าไหร่? 47 ปี
แล้วที่อยู่ในสนามการต่อสู้ แล้วบอกเพื่อให้ตกใจมากกว่านี้หน่อย...อยู่ในป่า 7 ปี
แล้วมาเจอพฤษภา 35
นี่คือถนนของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน
อาจารย์อยากให้เราภูมิใจ แล้วเราก็ส่งไม้นี้มอบให้คนรุ่นใหม่ คุณไม่ต้อง “เหลือง”
หรือ “แดง” ขอให้คุณคิดให้ดีกับประเทศชาติ พูดความจริง ไม่ต้อง Hate speech กันแบบที่เป็นอยู่ แล้วก็หวังดีกับประเทศชาติบ้านเมือง
ไม่ต้องคำนึงสีเหลืองสีแดง แต่เราอยู่กับเส้นทางที่ก้าวหน้า เราภาคภูมิใจได้
อายุที่มากไม่ใช่ตัวสำคัญที่จะบอกว่าใครก้าวหน้ากว่าใคร
ไม่ใช่ว่าเด็กต้องก้าวหน้ากว่าผู้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าสีนี้ต้องก้าวหน้ากว่าสีนี้
มันอยู่ที่ผลการกระทำ
เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้พวกเราภาคภูมิใจในตัวแกนนำ
ภาคภูมิใจที่สำคัญคือตัวเองทุกคนว่าเราอยู่บนถนนของการต่อสู้เป็นคนหนึ่ง
แล้วคนบนถนนการต่อสู้มันเป็นเม็ดทราย เราไม่ได้ถือว่าเรายิ่งใหญ่
อาจารย์ก็ไม่ได้ถือว่ายิ่งใหญ่
แต่ว่าเราต้องอยู่บนถนนที่ถูกต้องสำหรับให้คนรุ่นใหม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง
บนเส้นทางที่ประเทศนี้มันจะต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลัง
นี่ก็มาเล่าให้พวกเราฟังตรงนี้
แล้วก็เผื่อไปทางบ้านด้วยว่า 15, 16, 17 ก.ค. ไปคดีปีอะไร แล้ววันที่ 30
มีคดีพัทยา ซึ่งยังไม่รู้ว่าแกนนำที่นี่จะต้องไปหรือเปล่า?
คือพัทยามันมีคนส่วนหนึ่งเขารู้สึกว่าแกนนำพวกนี้ควรจะต้องไปติดคุก 4 ปีด้วย
ก็เลยไปฟ้องที่นั่น ศาลชั้นต้นยกฟ้องแล้ว อัยการอุทธรณ์ เพราะฉะนั้นวันที่ 30
ที่ว่าจะไปนั้น อาจารย์ไม่แน่ใจว่าจะทำ Video Conference ได้มั้ย
เพราะว่า 31 ก.ค. มีนัดที่กรุงเทพฯ คดีปี 52 ต่อ ดังนั้นคดีปี 52
นี่นัดเป็นลำดับเลย วนเวียนอยู่ตรงนี้
แต่ทั้งหมดนี้คนอยู่ในเรือนจำก็ถือว่าเป็นการต่อสู้บนเวทีหนึ่ง
คนอยู่ข้างนอกก็ต่อสู้บนเวทีหนึ่ง
คนรุ่นใหม่ก็ต่อสู้อีกแบบหนึ่ง
อาจารย์ก็อยากจะขอบคุณแล้วก็ให้กำลังใจพวกเราทุกคนว่า
บนเส้นทางของพวกเรา แม้นใครจะเหยียดหยาม ใครจะดูถูกอย่างไร
แต่เนื้อแท้ของมันเขาต้องยอมรับนะว่า จริง ๆ เราเป็นนักต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ทุกคน
เราสามารถเชิดหน้าได้ไม่อายใคร
แล้วเราไม่ต้องกลัวว่าประวัติศาสตร์จะบันทึกเราเอาไว้ในทางที่ผิด
คนจำนวนหนึ่งตอนนี้ดูเหมือนเขามีเกียรติยศ ชื่อเสียง อยู่ในตำแหน่งสูง
แต่ว่าประวัติศาสตร์จะบันทึกและจารึกเอาไว้ว่า
เขาเดินอยู่บนเส้นทางที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายประชาชน
แล้วเราจะให้ประวัติศาสตร์บันทึกแบบไหน เราเป็นคนเล็ก ๆ
แต่ว่าลูกหลานเราและคนทั่วไปจะต้องเข้าใจได้ว่า คนอย่างพวกเรา
เราอยู่บนถนนซึ่งจะต้องถูกจารึกที่ส่งทอดให้คนรุ่นใหม่อย่างถูกต้องและภาคภูมิใจได้
อย่างชีวิตอาจารย์สู้มา
40 กว่าปี อาจจะไม่เห็นผลดีอะไรในชั่วชีวิต มันนับถอยหลังแล้วนะ
อันนี้พูดเป็นวิทยาศาสตร์ แต่อย่างน้อยอาจารย์ก็ไม่เสียใจว่าไม่เคยเดินทางผิดเลย
และภาคภูมิใจ เราอาจจะไม่มีตำแหน่ง แล้วอาจารย์ก็ไม่เคยต่อสุ้เพื่ออะไร
พวกคุณก็รู้ว่าอาจารย์ไม่ได้อยู่ในพรรคการเมืองใดด้วย แต่ว่าเราก็โอเค
การต่อสู้ในพรรคการเมืองก็เป็นการต่อสู้ที่ถูกต้อง
เพียงแต่อาจารย์ไม่ถูกกันกับจริตเท่านั้นเอง ไม่ชอบ
เพราะฉะนั้นให้เราภาคภูมิใจได้ว่าเราอยู่บนถนนหนทางที่ถูกต้อง
อย่าเสียใจ ที่เป็นหัวโขน ที่เป็นอยู่ บางคนอาจารย์ไม่เข้าใจเลยว
เขาไม่รู้จักว่าอายเป็นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นเขาบอกว่า พูดง่าย ๆ
ว่าเขามาจากการแต่งตั้ง พูดตรง ๆ เลย “วุฒิสมาชิก” อาจารย์ไม่เห็นเขาอายเลย
นี่อาจารย์ก็ไม่เข้าใจว่าประเทศไทยเป็นไปได้ถึงปานนี้
เขาไม่รู้สึกอายเลยว่าที่มาของเขามันไม่ถูกยังไง
แต่เอาเถอะ
อันนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่าเขาต้องรับผิดชอบของเขาเองทางประวัติศาสตร์
อาจารย์ก็ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งว่าเราอยู่ตรงไหน เราจะสู้อย่างไร
ต้องใช้สมองประกอบหัวใจ หัวใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีข้อมูล มีความรู้ด้วย
มีสมองแต่ไม่มีหัวใจมันก็แห้งแล้ง พวกคุณมาที่นี่อาจารย์รู้ว่าพวกคุณมีหัวใจ
แต่ว่าอาจารย์ขอร้องให้คุณใช้ความคิด ใช้สมอง ใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง
บางอย่างไม่ใช่แบบอย่างที่ดี อย่าเอาอย่าง
พวกที่ดีแต่ด่าแล้วไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง
วันนี้ก็จะเอาจดหมายส่งไปข้างใน
ก็คิดว่าครบถ้วนแล้ว
มีคำถามจากมวลชนถามว่าคนด้านในหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างครับตอนนี้
อ.ธิดาตอบว่า
อาจารย์มองไกล ๆ เพราะว่าตามระเบียบแล้วเราเข้าไม่ได้ แต่ว่าเรามองไกล ๆ
มีอะไรเราก้เขียนให้ทนายส่งผ่านทนายไป ทนายก็บอกว่าโอเค
เดิมที่คิดว่าคุณวีระกานต์ป่วยก็ดีขึ้นแล้ว หายแล้ว ก็ดีขึ้น ก็ดีใจด้วย
จากนั้นคุณอุดมรัตน์
จันทร์มา (บางคอแหลม) ตัวแทนของพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาร่วมกิจกรรม #เขียนจดหมายหน้าเรือน
กล่าวแทนเพื่อน ๆ ความว่า
สวัสดีค่ะเพื่อน
ๆ ที่มีน้ำใจ เป็นมิตรที่ดีต่อกัน แล้วเราก็ไม่เคยทิ้งกัน ก็ไม่เสียใจ
เมื่อกี้ฟังอาจารย์บอกต่อสู้มาหลายสมัย แต่ตัวเองมาต่อสู้เมื่อไม่กี่ปีมานี้ จริง
ๆ แล้วก็ไม่คิดเลยว่าที่มาเยี่ยมบ้านป๋าจะต้องถูกดำเนินคดี เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรเสียหาย
วันนั้นตัวดิฉันก็มาด้วย
เกิดเหตุการณ์ก็ประมาณเกือบทุ่ม ตอนแรก ๆ ก็มาเยี่ยมป๋าก็จะถามป๋าว่าการปฏิวัติที่อยู่เบื้องหลัง ประเทศชาติกำลังเดินมาอยู่ดี ๆ เศรษฐกิจก็กำลังดีอยู่แล้ว เพียงจะมาสอบถามตรงนี้ แต่เราก็มาถูกการกระทำที่ในชีวิตไม่เคยโดนแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย หาน้ำหาอะไรก็ไม่มี คันยุบยิบ ๆ ไปหมด
เกิดเหตุการณ์ก็ประมาณเกือบทุ่ม ตอนแรก ๆ ก็มาเยี่ยมป๋าก็จะถามป๋าว่าการปฏิวัติที่อยู่เบื้องหลัง ประเทศชาติกำลังเดินมาอยู่ดี ๆ เศรษฐกิจก็กำลังดีอยู่แล้ว เพียงจะมาสอบถามตรงนี้ แต่เราก็มาถูกการกระทำที่ในชีวิตไม่เคยโดนแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย หาน้ำหาอะไรก็ไม่มี คันยุบยิบ ๆ ไปหมด
พวกเราก็มากันมือเปล่า
แล้วคนที่มาด้วยก็ไม่ใช่รูปร่างกำยำล่ำสัน เราก็ต้องทิ้งลูกทิ้งหลานอยู่ที่บ้าน
เพื่ออนาคตว่าประเทศชาติเราทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ก็เลยออกจากบ้านมาเพราะว่าข่าวก็บิดเบือน
ข่าวก็ไม่เคยออก เพื่อนบ้านถามกับลูกว่าแม่ไปทำไม ลูกบอกว่าแม่ไปดีแล้ว
ถ้าไม่ออกไปความดันก็จะขึ้น ก็ปล่อยให้แม่ไป
แรก
ๆ มาใหม่ ๆ ก็มาที่สนามหลวงจากไฟสลัว ๆ มีเก้าอี้ตัวนึงที่ยืนพูดกันคนไม่กี่คน
ก็เกาะกลุ่มกันรวมตัวกัน มาดีใจปรบมือตอนที่มีพีทีวีมา
วันไหนที่เคลื่อนไหวไปเยี่ยมตรงโน้นตรงนี้ เราก็ไปกันอย่างมือเปล่า ๆ ไม่มีอะไรเลย
ร้องเพลงเดินกันไปอย่างนี้
อ.ธิดาถามว่าแล้ววันนี้ที่มารู้สึกอย่างไร
คุณอุดมรัตน์
: ได้มาเจอคนเก่า ๆ และคนใหม่ ๆ ตั้งใจมาให้กำลังใจท่านที่อยู่ข้างในที่เสียสละและเป็นฮีโร่ในดวงใจของพวกเรามาตลอด
จากนั้นมีชายหนุ่มซึ่งเขียนบทกวีมา ซึ่งอาจารย์อยากให้อ่านให้ป้า ๆ อา ๆ ฟัง
ผมชื่อเจมส์
ความจริงก็ไม่อยากออกสื่อเท่าไหร่ อยากจะบอกว่าทุกกิจกรรมเคลื่อนไหวผมไปตลอด
อยู่ท้ายแถวตลอดเสมอมา ผมเริ่มติดตามการเมืองมาช่วงพีทีวี
สำหรับบทกวีนี้ผมแต่งตอนนั่งรถเมล์มา ความว่า
“ขอมอบกลอนบทนี้ที่เขียนให้
จากข้างนอกสู่ข้างในไปยังฐาน
เหล่านักสู้ผู้กล้าท้าเผด็จการ
เฝ้ารอวันอิสรภาพกลับคืนมา”
น้องเจมส์กล่าวว่า "ตราบใดที่อุดมการณ์เรายังเหมือนเดิมกัน
ไม่ว่าเราจะอายุมากน้อยเพียงใด สำหรับผมเราคือเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกัน
คือคนรักความยุติธรรมนะครับผม จริง ๆ เด็กรุ่นใหม่นี่ออกมาเยอะแล้วนะครับ จริง ๆ
ที่ทำงานผมก็รุ่นใหม่ทั้งนั้น อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยหมดแหละ
แต่แค่ว่าจะไม่ได้ออกสื่อมากมาย วันนี้ก็ขอให้กำลังใจนะครับ"
สุดท้ายอ.ธิดากล่าวว่า
ก็ขอบคุณมากทุกคน และขอบคุณทางบ้านที่ดูด้วย สวัสดีค่ะ