ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ค. 62 ในเวลา 13.00 -15.30 น.
ศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์ ได้จัดงานเสวนา “9 ปี
เมษา-พฤษภา’53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน” สำหรับผู้ร่วมโต๊ะเสวนาได้แก่ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์, นายปกาศิต ไตรยสุนันท์, นายโชคชัย อ่างแก้ว, นางพะเยาว์ อัคฮาด และนายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์
ผู้ดำเนินการเสวนาคือนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ซึ่งได้รับความสนใจจากพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยเข้าร่วมฟังเสวนาเป็นจำนวนมาก
โดยการเสวนานี้ได้จัดขึ้น ณ ห้องประชุมศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์ อาคารเอเวอรี่มอลล์
สี่แยกแคราย ถนนรัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี
นายณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
กล่าวระหว่างเป็นผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงวิทยากรจากครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์
19 พ.ค. 53 คือ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของพยาบาลอาสาในวัดปทุมวนาราม กมนเกด
อัคฮาด
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า
เหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภา 53 ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ถ้าผมรู้ว่าเขาจะยิงกันอีก ผมจะไม่ลงจากเวที...
ผมนึกว่าเหตุการณ์มันจะเป็นเหมือนปี 52 ที่เราประกาศยุติการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล
แล้วก็มีรถบัส มีเจ้าหน้าที่พาพี่น้องที่ชุมนุมขึ้นรถกลับภูมิลำเนาโดยปลอดภัย
ผมนึกว่ามันจะเป็นแบบนั้น ผมก็เลยไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ชัดเจนว่าเรายุติการชุมนุมแล้ว
เพราะถ้าพวกผมยังอยู่ที่เวที เขาก็จะบอกว่ายังไม่ยุติการชุมนุม
เดี๋ยวความรุนแรงก็จะพุ่งเข้ามาอีก
แต่ว่ามารู้ข่าวเช้าวันรุ่งขึ้น
ขณะผมถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายนเรศวร ว่ามีคนเสียชีวิตอีก 6 ราย
ทั้งที่ไม่มีการชุมนุม ไม่มีเวที ไม่มีการปราศรัยใด ๆ แล้วทั้งสิ้น
ประกาศหยุดโดยสิ้นเชิงไปแล้วหลายชั่วโมงนะครับ แต่กมนเกด อัคฮาด คือหนึ่งในเหยื่อ
ซึ่งไม่มีเหตุผลเลยนะครับว่าทำไมต้องทำกันขนาดนั้น แล้วคุณแม่ก็ติดตามทวงถาม
ต่อสู้เรื่องนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
นางพะเยาว์
อัคฮาด ได้กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นเวลา 9 ปี ดิฉันจะพูดจากความตั้งใจคือ
“ทวงถามความยุติธรรมที่กำลังจะถูกกระทำให้มันยุติ” 9 ปีที่ผ่านมาที่ดิฉันดำเนินการเรื่องนี้มาโดยตลอด
ในกรณีการเสียชีวิตของลูกสาว พูดได้เลยว่าจากที่ดิฉันเป็นคนธรรมดาที่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว
พอวันที่เราเสียลูกไปแล้วกระบวนการที่เราได้ประสบพบเจอก็คือการโกหกของเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งตอนนั้นอยู่ในนามศอฉ.
“ดิฉันขอเน้นย้ำตรงนี้ว่าศอฉ.ในอดีตก็คือคสช.ในปัจจุบัน
ไม่ได้มีเปลี่ยนตัวละครเลยสักตัวเดียว”
ดิฉันต่อสู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ปี
53 ถูกเจ้าหน้าที่ศอฉ.ในเวลานั้นโทรเข้ามาหาเป็นครั้งแรกโดยขอให้ดิฉันหยุดการทวงถามและหากอยากได้อะไรขอให้บอกมา
ดิฉันจึงตอบกลับไปว่า
ดิฉันขอชีวิตลูกคืน…แล้วดิฉันจะหยุดทุกอย่าง!
หลังจากเสร็จงานศพลูกดิฉัน
จำได้ว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นคนประกาศตั้งคอป.ให้ดำเนินการและเขาบอกว่าจะแถลงผลงานตลอดเวลา
แต่เขาไม่เคยแถลงผลงานใด ๆ เลย และตอนนั้นดีเอสไอได้เก็บคดีของพวกเราเข้าไปอยู่ในระบบคดีพิเศษหมดเลย
แล้วก็เงียบไม่มีการแถลงคดีคืบหน้าทั้งคอป.และดีเอสไอ
นางพะเยาว์ อัคอาดและบุตรชายนำของขวัญไปมอบให้ คอป.และดีเอสไอ |
เดือนหรือสองเดือนหลังจากนั้น
จากในฐานะผู้สูญเสียที่เราไม่เป็นอะไรเลย แต่ความอยากรู้ความคืบหน้า
ดิฉันก็ได้ไปที่คอป.และดีเอสไอ นับเป็นครั้งแรกในการทวงถาม และด้วยความที่เป็นดิฉันคนพื้นบ้านจึงนำของขวัญไปฝากคอป.คือ
“ครก” ผูกโบว์สีแดง และ “สาก” เอาไปฝากนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นอธิบดีดีเอสไอ
ความหมายของเราก็คือคุณเงียบเป็นเป่าสาก
คุณประกาศว่าคุณแต่งตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาเพื่อจะทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย และภายหลังก็เป็นอย่างที่เรารับทราบกัน
ก็คือทำทุกอย่างเพื่อเผด็จการ ให้ความชอบธรรมกับรัฐบาลอภิสิทธิ์
ให้ความชอบธรรมกับทหารในการฆ่าประชาชน
ทุกองค์กรที่ดิฉันผจญมาทั้ง
คอป.หรือกสม.
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนให้ความชอบธรรมกับกองทัพและรัฐบาลอภิสิทธิ์
ในเวลานั้นประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทุกคนเสียใจหมด
โดยเฉพาะเวลานี้ดิฉันออกมาต่อสู้
ดิฉันได้เจอทุกฟากฝั่งของคสช.ในเวลานี้ ซึ่งระยะเวลาที่เขาได้อำนาจมา 5 ปี
เวลาดิฉันทำกิจกรรมรำลึกใด ๆ ก็แล้วแต่ ดิฉันจะฝากถามไปกับรัฐบาลของประยุทธ์
จันทร์โอชา ว่าความจริงในเหตุการณ์ปี 53 มันถูกปิดบังมาตลอด
ประชาชนตายอย่างไร? เจ้าหน้าที่รัฐตายอย่างไร?
ที่สำคัญมีเจ้าหน้าที่รัฐที่มียศสูงตายด้วย
ต้องขอโทษที่เอ่ยนาม พล.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 10
และดิฉันก็ฝากถามไปถึง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าคุณไม่อยากรู้เลยหรือว่าลูกน้องคุณตายอย่างไร?
ใครทำให้ตาย? ในเมื่อตอนนี้คุณมีอำนาจแล้วคุณไม่คิดจะเอาคดีของลูกน้องคุณขึ้นมาทำหรือ?
มันมีผลนะคะ
เพราะทุกวันนี้คุณใช้วาทกรรมว่า “ชายชุดดำ” เป็นผู้กระทำ ซึ่งตรงนี้เป็นตัวตั้งที่พวกคุณทำขึ้นมาตลอดเวลาเพื่อปิดบังความจริงในเหตุการณ์ปี
53 ว่าประชาชนที่ถูกยิงเสียชีวิตถึง 99 ศพและบาดเจ็บสองพันกว่าคน
เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นฝีมือของทหารทั้งหมด คุณไม่กล้าใช่ไหม?
คุณกลัวความจริงเรื่องนี้จะปรากฎ คุณถึงต้องทำทุกอย่าง
แม้กระทั่งการยึดอำนาจปี
57 มันก็เป็นผลพวงที่คุณต้องการจะปิดคดี ปิดความผิดของกองทัพ คุณทำทุกอย่างที่จะพยายามจบคดีนี้
และเมื่อปี 60 มีนายพลคนหนึ่งเข้าไปล้วงลูกถึงอัยการสูงสุดเพื่อจะให้ล้มคดีของประชาชนที่ตายปี
53 ทั้งหมด พยายามทำให้เป็น “สำนวนมุมดำ” ซึ่งดิฉันก็ไม่ยอมอยู่แล้ว! ดิฉันก็ไปเค้นคอกับอัยการสูงสุดว่าท่านทราบไหมว่ามีนายพลเข้ามาล้วงลูกของคดี
ซึ่งอัยการสูงสุดตอบว่าไม่รู้เรื่องเลย เมื่อสอบถามความคืบหน้า
ท่านก็ให้โอกาสและให้ความรู้ที่ดีมาก
และบอกว่าขณะนี้คดีทั้งหมดกลับไปอยู่ที่ดีเอสไอ
ส่งไปเพื่อให้เขาค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม
นางพะเยาว์ อัคฮาด ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อดีเอสไอ |
จากนั้นดิฉันก็ดำเนินการร้องขอความคืบหน้าที่ดีเอสไอ
เพราะดิฉันเคยบอกแล้วว่าถ้าดีเอสไอเอาคดีไปเงียบ ถือว่าท่านผิด ดิฉันจะแจ้งความต่อดีเอสไอตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งปรากฎว่าได้ผลมาก
เพราะดีเอสไอโทรมาเมื่อต้นปี ขอให้ดิฉันไปให้ปากคำเพิ่มเติมในกรณีนี้
ดิฉันถามว่าดีเอสไอได้ส่งไปสั่งฟ้องครั้งแรกนั้นมีใครบ้าง?
ได้รับคำตอบว่ามีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ดิฉันจึงถามว่าแล้วเจ้าหน้าที่รัฐไปไหน?
อภิสิทธิ์-สุเทพ เป็นผู้สั่งการ ก็ว่าเหี้ยมแล้ว แต่คนที่ฆ่านี่เหี้ยมกว่านะ! เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่รัฐมีไหม?
เขาก็บอกว่า "ไม่มี"
ภาพชัดเจนทหารบนรางรถไฟฟ้า |
ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอร้องผู้กล่าวโทษเพิ่มเติม
เจ้าหน้าที่บนรางรถไฟฟ้าทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตรงหน้าวัดปทุมวนาราม เพราะดิฉันถือว่าคดีมันไหลไป
มันต้องไปทั้งหมด เพราะมันเป็นคดีเดียวกันที่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ
ซึ่งดีเอสไอ
OK รับ
แต่พอรับเรื่องไปแล้วปรากฎว่าอยู่ดี
ๆ เมื่อวันที่ 30 เม.ย. มีหนังสือจากดีเอสไอมาถึงดิฉันว่าอัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้อง
หลักฐานไม่เพียงพอ...
อ้าว...ดิฉันก็ตกใจ!
เพราะว่าคดีของพวกเรานั้นต้องขึ้นศาลพลเรือน แล้วไปเกี่ยวอะไรกับอัยการศาลทหาร
ดิฉันก็ต้องไปที่อัยการศาลทหาร ไปยื่นหนังสือให้ท่านชี้แจงมาว่าท่านเกี่ยวอะไรด้วย
เพราะคดีนี้มันขึ้นศาลพลเรือนมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งเขาพิสูจน์การตายแล้ว พูดง่าย ๆ
ว่าดิฉันไปอ่านหนังสือที่หน้าอัยการศาลทหาร ก็ประจานท่านนั่นแหละค่ะ
ให้สังคมได้รับรู้ว่าความจริงแล้วกระบวนการยุติธรรมมันควรจะอยู่ตรงไหน
แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย
แล้วข้อสำคัญตอนนี้ทำให้เรารู้เลยว่า
ดีเอสไอ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนี้โดยตรงหรือไม่
ในกรณีที่คุณพยายามจะช่วยเหลือคสช. เพื่อที่จะยุติคดีของคนตายในปี 53
ท่านต้องรู้เห็นด้วยแน่นอน ท่านถึงได้ส่งเรื่องนี้กลับไปที่อัยการศาลทหารซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันเลยกับคดีพวกนี้
นี่คือประเด็นที่ดิฉันมองว่ากระบวนการยุติธรรมของเรานี้
เราถูกกลั่นแกล้ง ถูกดำเนินการทุกอย่างที่จะให้คดีการตายของประชาชนนั้นจบไปเหมือนเหตุการณ์ในอดีต
คือเจ้าหน้าที่จะไม่มีใครที่จะต้องติดคุก ไม่มีใครที่จะต้องรับโทษ
ดิฉันขอถามประชาชนและญาติวีรชนทุกคนเลยว่า
“ท่านยอมหรือไม่?”
ท่านจะยอมให้คดีของเราถูกซุกใต้พรมเหมือนในอดีตที่ผ่านมาที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่เคยต้องติดคุก
ไม่เคยต้องถูกไต่สวนใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วก็ลอยนวล และเมื่อเลยพ้นไป 20 ปี
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยเปิดเผยมาว่าใครฆ่าใคร ใครฆ่าใคร ถามว่าประชาชนทุกคนยอมไหม?
เพราะฉะนั้นดิฉันถึงต้องสู้จนถึงที่สุด
ประเด็นแรกคือเราต้องสู้ และต้องเข้าใจว่ากระบวนการยุติธรรมที่เราตามหา
ถึงมันจะช้า...แต่เราก็ต้องวิ่งตามหามันให้ได้ ดังนั้นการต่อสู้ กำลังใจ
การเสียใจของดิฉันที่เจอมาตลอด 9 ปี ดิฉันเอาความเสียใจตรงนั้นมาเป็นพลังในการสู้
ในการขับเคลื่อน (เสียงปรบมือยาว)
นางพะเยาว์ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปี
35 ซึ่งรศ.ดร.พวงทอง ได้กล่าวไปแล้วว่าหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”
เจ้าหน้าที่ทหารเขายอมเก็บตัว ใส่ชุดทหารไม่ได้
เหตุการณ์ครั้งนั้นทหารเขายอมรับออกมาว่าเขาทำผิด ก็ถือว่าเป็นชายชาติทหารส่วนหนึ่ง
แต่ในปี 53 มีไหมคะคำว่าชายชาติทหาร มันไม่มีหรอกค่ะ ไม่มีจริง ๆ
แล้วข้อสำคัญอีกเรื่องคือองค์กรอิสระ
ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช., กสม. เป็นองค์กรอิสระจริง ๆ คืออิสระจากประชาชน
ไม่เคยยึดโยงกับประชาชนเลย ยึดโยงกับคสช.อย่างเดียว
ประชาชนเท่านั้นจะเรียกร้องความยุติธรรม
ความถูกต้องในประเทศนี้ก็มีแต่ประชาชน เราอย่าหวังกับคำว่าองค์กรอิสระ
เขาไม่ได้อยู่ข้างเราเลยค่ะ
นี่คือความรู้สึกที่อยากจะบอก
ขอบคุณมากค่ะ นางพะเยาว์กล่าว