ยูดีดีนิวส์ : 15 พ.ค. 62 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวในการทำเฟสบุ๊คไลฟ์วันนี้ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่เป็นความต่อเนื่องของการทำรัฐประหาร นั่นก็คือ "สภานายพล...ผลการรัฐประหารในยุคที่ 2"
คำว่า "สภานายพล" หลายคนคงจะเข้าใจ เพราะการประกาศรายชื่อวุฒิสมาชิก 250 คน สำนักข่าวอิศราได้ลงรายละเอียดเลยว่ามีนายพลกว่าร้อยคน (ทั้งทหารและตำรวจ) ดังนั้นคำว่า "สภานายพล" น่าจะเป็นคำเรียกขานที่เหมาะสมแล้ว
นอกจากนี้แล้วยังมีอดีต ส.ว., สนช., สปท. ซึ่งเหล่านี้เราควรจะเรียกว่าเป็น "กลุ่มแม่น้ำ 5 สาย" และหลายคนในกลุ่มนี้ก็เป็นมาตั้งแต่รัฐประหารปี 49 พูดง่าย ๆ ว่ากินบุญในฐานะที่สนับสนุนการทำรัฐประหารทั้ง 2 รอบ ได้เงินจากภาษีประชาชนไปหลายล้าน โดยเฉพาะชุดใหม่นี้มีผู้คำนวณไว้ถ้าอยู่ครบ 5 ปีก็รับไป 5,500 ล้านบาท
นอกจากจะเป็น "สภานายพล" แล้ว จริง ๆ ก็คือ วุฒิสภาของคสช.นั่นเอง เพราะว่ามีองค์ประกอบของแม่น้ำ 5 สายเข้ามา และรวมทั้งรัฐมนตรีที่ลาออกไปได้กลับมาเป็นส.ว.ครบเลย
และทำไมถึงเรียกว่าเป็น "ยุคที่ 2" อ.ธิดาได้อธิบายว่า นี่เข้าสู่ยุคใหม่อีกรอบหนึ่ง พระราชกฤษฎีกาเรียกประชมรัฐสภาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป
ใครจำและใครลืมแล้วบ้างว่า การทำรัฐประหารนั้นคือ 22 พฤษภาคม 2557 นั่นก็แปลว่าล่วงเลยผ่านมาแล้ว 5 ปี ดิฉันก็เลยมองว่านี่คือการเข้าสู่ยุคที่ 2 ของคสช.ในการทำรัฐประหารไม่ให้เสียของ
ส่วนยุคที่ 1 ก็คือการใช้อำนาจตามมาตรา 44, ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว, ตามกฎอัยการศึก, ประกาศ/คำสั่ง คสช.หลายร้อยฉบับที่ iLaw รณรงค์ให้ลงชื่อกันเพื่อไปยกเลิกประกาศ/คำสั่งคสช.
แล้วยังมีกฎหมายซึ่งท่านมีความภาคภูมิใจว่าผ่านสนช. 500 กว่าฉบับ แสดงถึงประสิทธิภาพการทำงานของสนช.ในยุคของท่าน ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่จะมาเป็นวุฒิสมาชิก (ส.ว.) ในยุคใหม่
ดังนั้น ที่มีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิกมานั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องชอบธรรม
นี่ก็เป็นเรื่องที่ท่านมีความภาคภูมิใจ และท่านก็ไม่รู้สึกว่าสะดุดเลย
ดิฉันจะขยายคำว่า "ยุคที่ 2" โดยขอเริ่มตั้งแต่มีการเปิดประชุมรัฐสภา คือครบ 5 ปีการทำรัฐประหารพอดี และเข้าสู่ยุคใหม่ของคสช.เป็นยุคที่ 2 ดิฉันใช้คำว่า "ยุคที่ 2" แปลว่ามันอาจจะมี ยุคที่ 3 ยุคที่ 4 หรือเปล่า? ก็ไม่รู้
หรืออาจจะจบในยุคที่ 2 แล้วก็มีรัฐประหารใหม่ เกิดยุคที่ 1 ของการทำรัฐประหารรอบใหม่อีกก็ได้ถ้ารัฐบาลยุคที่ 2 ไม่ราบรื่น แต่ถ้าราบรื่นก็อาจจะมีต่อเป็นยุคที่ 3 ยุคที่ 4 เพราะท่านเตรียมยุทธศาสตร์ 20 ปีเอาไว้แล้ว
ต้องถือว่าการทำรัฐประหารครั้งนี้ถ้าใช้ภาษาอังกฤษก็คือ Well Planned วางแผนไว้อย่างดิบดี แล้วก็มีการปรับแผนเพื่อที่จะทำให้เป็นการทำรัฐประหารที่สามารถรักษาอำนาจและมีความต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำรัฐประหารใหม่ ๆ ซ้ำ
การที่เกิดปรากฎการณ์ "สภานายพล" เมื่อวานนี้ แล้วก็มีการเตรียมการในการเรียกประชุมและเปิดรัฐสภาที่วันที่ 22 ทั้งหมดนี้แสดงถึงความเข้มแข็งของคสช. ใช่หรือเปล่า?
เราดูโฉมหน้าวุฒิสมาชิก ดูการที่ท่านกล้าที่จะให้ครม.ลาออกไปเหลือ 10 กว่าคน ซึ่งคนที่ลาออกไปนั้นแน่นอนแล้วว่ามีตำแหน่งวุฒิสมาชิก แต่คสช.ยังอยู่ เพราะฉะนั้นแม่น้ำ 5 สายก็ลงมาเหลือ 2 สาย กับอีกหนึ่งสายก็คือองค์กรอิสระ
นี่คือในยุคที่ 2 แปรสภาพแม่น้ำ 5 สาย มาเป็นแม่น้ำสายนิติบัญญัติ
แม่น้ำสายนิติบัญญัติคือส่วนหนึ่งของแม่น้ำ 5 สายเกือบทั้งหมดเป็นวุฒิสภา อีกส่วนหนึ่งไปดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งเป็นที่รู้กันว่าชื่อพรรคอะไร เพราะขนาดวุฒิสมาชิกยังมีฝ่ายการเมืองของพรรคพลังประชารัฐเข้ามาเลย
ดังนั้นในสายนิติบัญญัติก็คือมีวุฒิสภาซึ่งเป็นของคสช.เกือบร้อยเปอร์เซ็นทั้งหมด เพราะว่าที่เลือกกันไปเลือกกันมา สุดท้ายคสช.ก็มาจิ้ม ทั้งหมดนี้ที่ว่าใช้ 1,300 กว่าล้าน แล้วกำลังตามหากันอยู่ ดิฉันว่า 1,300 กว่าล้านนั้นไปตามหาเงินยังไม่เท่ากับเรื่องราวของคนที่แสดงถึงความไม่สนใจการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่สนใจความไม่ชอบธรรม เพราะว่าที่มาของอำนาจนิติบัญญัติมาจากวุฒิสมาชิกที่ท่านคัดมาจากแม่น้ำ 5 สาย แล้วส.ส. ท่านก็ไปตั้งพรรคส่วนหนึ่ง ใช้โครงการที่ทำมา 5 ปีมาเป็นชื่อพรรคการเมือง ตัวรัฐมนตรีก็ลงไปดำเนินงานจำนวนหนึ่ง
แต่ที่สำคัญที่ท่านยังไม่แคร์ แต่ดิฉันคิดว่ามันเป็นปัญหาก็คือ ครั้งนี้ถ้าจะจัดตั้งในฝ่ายรัฐบาล พูดง่าย ๆ ว่า ส.ส. จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบัญชีรายชื่อที่ปรากฎอยู่คือพรรคเล็กที่คะแนนไม่ถึงมาตรฐานขั้นตำ่ 71,000 แต่ได้มา 11 คน และ 11 คนนี้จะเป็นตัวแปรที่ทำให้ท่านสามารถได้อำนาจบริหารได้ด้วย
เพราะว่าถ้าไม่มี 11 คนนี้ ถามว่าจะตั้งรัฐบาลเสียงเกินกว่า 250 ของส.ส.ได้ไหม? ไม่ได้แน่นอน
เพราะฉะนั้นอำนาจนิติบัญญัติของท่าน และอำนาจบริหารที่จะมีการจัดตั้งขึ้นนั้นอยู่ในความหวั่นไหวคลอนแคลนเป็นอย่างยิ่ง แต่มาถึงขั้นนี้ได้ก็อุตส่าห์วางแผนเอาไว้อย่างดิบดีว่า ในยุคที่ 2 นี้ คสช.ต้องสามารถเป็นทั้งรัฐบาลและมีอำนาจวุฒิสมาชิกอยู่ 5 ปี (5 ปีหมายความว่าเตรียมสำหรับจะเลือกนายกฯ ยุคใหม่) คือถ้าอยู่ราบรื่น 4 ปี วุฒิสมาชิกชุดนี้ยังสามารถเลือกนายกฯ ในยุคที่ 3 ถ้าคสช.จะอยู่ต่อได้ด้วย
เรามาดูว่าในยุคที่ 2 ที่ว่านี้วุฒิสภาก็มีคำถามว่ามันจะมีปัญหากับรัฐธรรมนูญหรือเปล่า? เพราะว่าในรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 114 นั้นเขาห้ามการขัดแย้งโดยผลประโยชน์ แต่ท่านก็มาอ้างว่าบทเฉพาะกาล จำเป็นต้องตั้งวุฒิสมาชิก พูดง่าย ๆ ก็คือมันก็คือการขัดกันใหม่ผลประโยชน์ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร คุณวิษณุบอกช่วยไม่ได้ก็ต้องทำตามบทเฉพาะกาล
แต่ถามว่าบทเฉพาะกาลที่เขาเขียนไว้ เขาเขียนให้ตั้งวุฒิสมาชิกโดยมีคณะกรรมการอย่างเปิดเผยและเป็นกลาง!!!
เพราะฉะนั้นวุฒิสมาชิกนี้ก็มีปัญหาขัดกับรัฐธรรมนูญ ถ้าไปยกมือให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 114
ส่วนผู้แทนราษฎร 11 คนที่อาจจะทำให้ท่านได้เป็นรัฐบาลมีปัญหาแน่นอน ในทัศนะของอ.ธิดาคือทำไมไม่เลือกเอาชนะโดยวิธีอื่น ชนะโดยวิธีการคำนวณผิด ๆ นี่มันอายเขา อายทั้งโลกเลย
ดังนั้นในยุคที่ 2 ของท่าน ต่อให้ท่านมีอำนาจ (นิติบัญญัติและบริหาร) และได้เป็นรัฐบาลก็ตาม ทุกอย่างมันหมิ่นเหม่ รัฐบาลก็เป็นเสียงปริมน้ำ (รวมเสียงภูมิใจไทย, ประชาธิปัตย์ รวมทั้ง 11 เสียงนี้ด้วย) เสียงมากกว่าอีกข้างนิดหน่อย ไอ้ความมากกว่านิดหน่อยนี้ก็ไม่ได้มากกว่าอย่างชอบธรรมด้วยนะ มันมากกว่าอย่างผิดรัฐธรรมนูญ
ส.ว.ก็ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 114 (เวลาไปโหวตนายกฯ)
ส.ส.ก็ผิดรัฐธรรมนูญในมาตรา 91 และผิดมาตรา 128 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วก็มาผิดมาตรา 114 ด้วยนะ เพราะคุณได้เข้ามาโดยกกต.ซึ่งถูกเลือกมาจากคสช. แล้วกลับมายกมือให้หัวหน้าคสช.เป็นนายกฯ ถ้าตีความตรง ๆ มันผิดหมดเลย!
ที่สำคัญคือมันผิดอย่างน่าเกลียดว่าคุณคำนวณตัวเลยอย่างไรจึงทำให้มาตรฐานของคนที่จะเป็นส.ส.แตกต่างกันขนาดนี้ และความเป็นธรรมของพรรคการเมืองซึ่งกว่าจะได้ส.ส. 1 คน ต้องผ่านด่าน 71,000 กับพวกที่ไม่ต้องผ่านด่าน 71,000
ดิฉันอยากจะถามว่าแค่นี้เขาก็ฟ้องร้องคนได้ทั้งโลก และมันเป็นเรื่องที่น่าตลก มันเหมือนการเล่นเกมหรือเล่นกีฬา ที่ฝ่ายหนึ่งเอาเปรียบทุกอย่าง และไม่สนใจกติกาแม้กระทั่งกติกาที่ตัวเองเขียนเอง
ในทัศนะของอ.ธิดาเห็นว่าไม่น่าเอาชนะด้วยวิธีนี้ ต่อให้คุณทำรัฐประหารมา คุณมีทางเลือกอื่น แล้วก็ต้องยอมรับความจริงว่าแพ้คือแพ้ แต่เกิดตัวละครใหม่ ซึ่งดิฉันบอกทุกครั้งเลยว่าคุณเขียนรัฐธรรมนูญนั้นคุณแก้ปัญหาในอดีตทั้งนั้น และรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่แก้ปัญหาในอดีตมันมาแก้ปัญหาปัจจุบันไม่ได้
"นี่ก็คือผลจากการเขียนรัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งเกิดปัญหาขึ้นใหม่ เพราะฉะนั้นดีที่สุดวิธีแก้ปัญหาก็คือมีสปิริต แข่งความสามารถ ดิฉันไม่ชอบฝ่ายอนุรักษ์นิยมและอำนาจนิยมที่ไม่ฉลาดและไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ประชันกันด้วยความสามารถ ไม่ใช่เอาเปรียบเขาทุกอย่าง และบางอย่างเป็นการเอาเปรียบอย่างโง่ ๆ ในทัศนะของดิฉันและมันไม่มีเกียรติยศเลย" อ.ธิดากล่าว
ดังนั้นวันนี้อยากเรียนว่า นี่เป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ เริ่มต้นยุคใหม่ของคสช.ในยุคที่ 2 หลังจากผ่านเวลามา 5 ปี (22 พ.ค. 57 - 22 พ.ค. 62) แล้วเข้าสู่สมัยประชุมรัฐสภาใหม่ แล้วก็เตรียมวุฒิสมาชิกไว้อีก 5 ปี นี่คือยุคที่ 2
ในทัศนะดิฉัน ยุคที่ 2 นี้ไม่ง่าย! เพราะว่าไม่ว่าคุณจะคิดให้ดีอย่างไร แต่มันมีสิ่งที่คุณไม่คาดคิดเกิดขึ้น เพราะคนอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม มองไปข้างหลัง แต่คนเสรีนิยมและคนที่ก้าวหน้าเขาจะมองไปข้างหน้า ต่อให้คุณเขียนรัฐธรรมนูญและพยายามที่จะแหกกติกาโดยอำนาจอย่างไร ดิฉันมองว่ายุคที่ 2 ของคสช.ไม่ง่ายแล้วนะ
และเมื่อคงไม่ง่าย มีสปิริตสักหน่อยไหม? ลงสู่เลือกตั้งครั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญนี้ กติกานี้ เลือกตั้งครั้งใหม่อย่างคนที่มีความสามารถ อย่างคนที่ไม่โง่เขลา อย่างคนที่มองเห็นการณ์ข้างหน้า ถ้าคุณจะแก้ปัญหาโดยมองข้างหลังเพื่อแก้เหตุการณ์ในอดีต คุณจะเจอสิ่งที่คุณไม่คาดคิด เพราะว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว
ดิฉันมองว่า 5 ปีนี้จะไม่เหมือน 5 ปีที่แล้ว ประชาชนไทยอดทนมาก ให้โอกาสท่านมาก แต่ต่อไปนี้ดิฉันคิดว่าท่านไม่น่าจะมีโอกาสแบบเดิมแล้วนะ เพราะว่าเรามีตัวละครใหม่ มีคนรุ่นใหม่ และมีความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
ท่านอาจจะรู้สึกมีความสุขว่ามาได้ถึงขนาดนี้ แต่ดิฉันบอกได้เลยว่าที่ท่านคิดว่าแน่ ไม่แน่หรอกค่ะ แล้วดิฉันมองไปแล้วว่า 4 ปีนี้ไม่น่าจะถึง แต่ท่านอาจจะเตรียมแผนที่ 3 ไว้อีกก็ได้ ท่านอยากจะทำอะไรก็ทำ
แต่ดิฉันคิดว่าประชาชนได้แสดงออกส่วนหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้พอสมควร แม้ท่านจะใช้วิทยายุทธแบบเก่า ท่านสามารถที่จะไปแย่งคะแนนเสียงและฐานเสียงของพรรคการเมืองเก่า ของคนก่อน ๆ ของมวลชนรากหญ้าได้จำนวนหนึ่ง แต่คนรุ่นใหม่ คนชั้นกลาง และปัญญาชนก็เปลี่ยนไปเยอะ
ดิฉันเชื่อว่ารอบใหม่นี้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ถ้าท่านจะใช้วิธีการแบบเก่า ๆ ก็ไม่น่าจะได้ผล ก็มองว่ายุคที่ 2 ของคสช.ที่ท่านได้ทำปรากฎการณ์ "สภานายพล" และรวมทั้งการคิดคะแนนแบบพิศดาร ทั้งหมดนี้คงไม่ทำให้ยุคที่ 2 ของท่านราบรื่นแน่ ๆ อ.ธิดากล่าวในที่สุด