‘ณัฐวุฒิ’ ตบมุกตลกร้าย ดีที่ ‘ประธานฯ’ ไม่ใช่ ‘อภิสิทธิ์’
นปช.เล็งล่ารายชื่อยื่น ‘สภา’
ส่งศาลฎีกาสอบป.ป.ช.ปมใช้ดุลยพินิจต่อกรณีสลายชุมนุมเสื้อแดง 99 ศพ คดีไม่คืบ - ขำขื่นกลางวงเสวนา ‘รำลึก 9 ปี
เมษา-พฤษภา53’ เผยเจ้าหน้าที่อ้างพบอาวุธในวัดปทุมฯ
หลังยุติการชุมนุมไปแล้วหลายเดือน
ซ้ำถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ระบุวันที่เมื่อผ่านเหตุการณ์ ‘19พฤษภา53’ ไปอีกไม่น้อย
สะท้อนหลักฐานขัดแย้งข้อเท็จจริง!!! นสพ.มาจากโลกอนาคต? - เปิดใจ
9 ปี ถูกกล่าวหา ‘เผาเมือง’ ต่อสู้โต้แย้ง
ทั้งในศาลและทางสังคม เชื่อ ‘ความจริง’ จะขับไล่การใส่ร้ายได้ในที่สุด
นายณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)
กล่าวระหว่างเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 ...พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"
จัดโดยศูนย์ข่าวนปช.(ยูดีดีนิวส์) ณ ห้องประชุมศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์
อาคารเอเวอรี่มอลล์ สี่แยกแคราย ถ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 26 พ.ค.62
วิทยากรประกอบด้วย
รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการ นายปกาสิต ไตรยสุนันท์และนายโชคชัย อ่างแก้ว
ทนายความ นายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์และนางพะเยาว์ อัคฮาด ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา53
ทั้งนี้สำหรับคำบรรยายของวิทยากรในการเสวนาดังกล่าว
สามารถติดตามชมคลิปและอ่านข่าวได้ทางแฟนเพจ ‘ยูดีดีนิวส์ - UDD News’
นายณัฐวุฒิ
กล่าวว่า ‘เราไม่มีเจตนาจะไปจุดชนวนความขัดแย้ง
ไม่มีจุดประสงค์จะทำให้เวทีนี้เป็นการกล่าวหาให้ร้ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น
เราเพียงต้องการให้ความจริงถูกบันทึกไว้
เราเพียงต้องการให้ผู้สูญเสียเข้าถึงและได้รับความยุติธรรมเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง
ไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์เหนือใครๆ และก็ขอให้ทุกท่านได้ติดตามการเสวนาวันนี้
เพราะหลายเรื่องอาจจะไม่เคยได้ยินกันมาก่อนหรือเคยได้ยินมาแล้ว
แต่ไม่ครบถ้วนทุกแง่มุมอย่างที่จะปรากฏในวันนี้
เราเชิญวิทยากรที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อ
9 ปีที่แล้วและยังคงเกี่ยวข้องต่อเนื่องจนปัจจุบัน
นายปกาศิต ไตรยสุนันท์, รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์, นางพะเยาว์ อัคฮาด, นายโชคชัย อ่างแก้ว และนายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ |
คณะนักวิชาการกลุ่มนี้ออกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลหลังการชุมนุมยุติ
ซึ่งเป็นวันเวลาที่พวกผมอยู่ในเรือนจำ แกนนำอีกบางส่วนต้องหลบลี้หนีภัย
พี่น้องประชาชนขวัญเสีย แตกกระจัดพลัดพราย
แต่นักวิชาการกลุ่มนี้เดินหน้ารวบรวมความจริง
วิทยากรจากครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์
10เมษาและ19 พฤษภา53 วันนี้มานั่งกับผมอยู่ที่นี่
2 คน คุณบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ คุณพ่อของน้องเทิดศักดิ์
ฟุ้งกลิ่นจันทร์ และคุณพะเยาว์ อัคฮาด คุณแม่ของน้องกมนเกด อัคฮาด
ทั้งพ่อและแม่ของเทิดศักดิ์
ยังคงมาร่วมกิจกรรมรำลึกวีรชนในทุกวาระที่มีการจัดงาน พร้อมๆ
กับญาติของผู้สูญเสียทั้งหลาย ผมแน่ใจว่าการได้รับเงินเยียวยาและการที่วันเวลาผ่านไปแล้ว
9 ปี ไม่ได้ลบเลือนความรู้สึกอยากเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้น
ไม่ได้ลบเลือนความเจ็บปวดจากการสูญเสียโดยรัฐใช้ความรุนแรงในคืนนั้น
เหตุการณ์ในคืนวันที่
10 เมษา 53 สำหรับผมเป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาที่สุดในชีวิต
กว่าจะผ่านแต่ละนาทีในคืนนั้นมาได้ ผมไม่นึกว่าจะมีการกระทำกันได้ขนาดนั้น
ผมอยู่เวทีผ่านฟ้าจนเช้าวันที่ 11 เมษายน
ออกจากที่นั่นเพื่อไปนอนพักเพราะว่าทั้งร่างกายทั้งจิตใจมันระบมล้าไปหมด
เนื่องจากทั้งคืน ต้องอยู่กับผู้สูญเสีย คือญาติๆ ผู้สูญเสียส่วนหนึ่งไปโรงพยาบาล
อีกส่วนหนึ่งเขามาที่เวที แล้วเขามาบอกว่าคนในครอบครัวหายไปติดต่อไม่ได้ โทรไม่รับ
บางคนก็บอกว่าเห็นชื่อญาติเป็นรายชื่อผู้เสียชีวิตแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน ก็มาที่เวที
วันนั้น
อกเสื้อผมเปียกน้ำตาของญาติพี่น้องครอบครัวผู้บาดเจ็บผู้เสียชีวิต เปียกชุ่มจริงๆ
นะครับ เพราะทุกคนมา ผมก็ต้องไปกอดไว้ กอดไว้เค้าก็ร้องไห้ตรงอกเสื้อนี่ล่ะครับ
มันเปียกและซึมเข้าไปข้างใน ทำให้ผมยืนยันว่าจะอย่างไรก็ตาม
เราจะไม่หยุดพูดเรื่องนี้ เราจะไม่หยุดถามเรื่องนี้
เราจะไม่ยอมให้ใครลืมเรื่องนี้ไปโดยที่ความยุติธรรมยังไม่ปรากฏออกมานะครับ
ก็ต้องพยายามกันต่อไป
เหตุการณ์วันที่
19 พฤษภา 53 ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ถ้าผมรู้ว่าเขาจะยิงกันอีก
ผมจะไม่ลงจากเวที
ผมนึกว่าเหตุการณ์มันจะเป็นเหมือนปี
52 ที่เราประกาศยุติการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล แล้วก็มีรถบัส
มีเจ้าหน้าที่พาพี่น้องที่ชุมนุมขึ้นรถกลับภูมิลำเนาโดยปลอดภัย
ผมนึกว่ามันจะเป็นแบบนั้น ผมก็เลยไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อให้ชัดเจนว่าเรายุติการชุมนุมแล้ว เพราะถ้าพวกผมยังอยู่ที่เวที
เขาก็จะบอกว่ายังไม่ยุติการชุมนุม เดี๋ยวความรุนแรงก็จะพุ่งเข้ามาอีก
แต่ว่า
มารู้ข่าวเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะผมถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายนเรศวร ว่ามีคนเสียชีวิตอีก
6 ราย ทั้งที่ไม่มีการชุมนุม ไม่มีเวที ไม่มีการปราศรัยใดๆ แล้วทั้งสิ้น
ประกาศหยุดโดยสิ้นเชิงไปแล้วหลายชั่วโมงนะครับ แต่กมนเกด อัคฮาด คือ 1 ในเหยื่อ ซึ่งไม่มีเหตุผลเลยนะครับว่าทำไมต้องทำกันขนาดนั้น
แล้วคุณแม่ก็ติดตามทวงถาม ต่อสู้เรื่องนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
สำหรับวิทยากรซึ่งเป็นทนายความ
ทนายปกาสิต ไตรยสุนันท์ เป็นหัวหน้าทนายความที่ผมเจอมาตลอดนับแต่อยู่ในเรือนจำ
ทนายโชคชัย อ่างแก้ว เป็นอีกคนที่ต่อสู้คดีความ รับผิดชอบคดีหลังการต่อสู้ในปี 53
ทีมทนายไม่ได้ทำเพียงแค่หน้าที่ต่อสู้คดีความ
แต่ทำการจดบันทึกประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน ให้ถูกต้องตรงไปตรงมา
เรื่องเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้า
เพลิงไหม้ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลเวลานั้น โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อภิปรายในสภา ชี้ว่าผู้ชุมนุมเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ระบุชื่อนายสายชล แพบัว นายพินิจ
จันทร์ณรงค์ ศาลพิพากษายกฟ้องนะครับ คดียุติแล้ว แล้วผมเนี่ยไปเจอ 2 ผู้ต้องหาในเรือนจำ
ติดคุกในแดนเดียวกัน
สายชล แพบัว และ พินิจ จันทร์ณรงค์ |
ถ้าท่านได้ไปเห็น
‘สายชล แพบัว’ อย่างที่ผมเห็น จะไม่เชื่อว่าสายชลจะบุกเข้าไปวางเพลิงอะไรได้ คือ
เขาเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรจะไปบ่งชี้ว่า สามารถฝ่ากำลังทหารที่คุมตึกทั้งตึก แล้วไปจุดไฟวางเพลิงโดยที่เจ้าหน้าที่เป็นร้อยๆ
ทำอะไรไม่ได้เลย
ถ้าสายชลกับพินิจ
2 คนทำได้เนี่ย ยิ่งกว่าทีมอเวนเจอร์อีกนะครับ(เสียงผู้ฟังหัวเราะ)
มีอยู่วันหนึ่ง
ผมได้รับการบอกกล่าวจากผู้ต้องขังคนอื่นว่า ‘พี่ไปดูเสื้อแดงคนโน้นหน่อย
คนที่โดนคดีเผาห้าง มันนั่งร้องไห้อยู่ ไม่รู้ร้องทำไม’
ผมก็เลยเดินไปหา
ถามว่าสายชล เป็นอะไร เขานั่งกอดเข่าร้องไห้นะครับ แล้วบอกว่า ‘ผมเพิ่งกลับจากศาล
เค้าฟ้องผม 8
พันล้าน ข้อหาเผาห้าง’
ผมก็เลยบอกสายชล
จะร้องไห้ทำไม นี่กังวลว่าจะต้องหาตังค์มาชดใช้เค้า 8 พันล้านเหรอ
ผมบอกว่า ฟ้องระดับนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว
เรื่องเป็นแบบนี้ครับ
แล้วนี่คือคนที่ถูกกล่าวหา คนที่ถูกตราหน้านะครับว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง
ทั้งๆ
ที่หัวหน้าทีมผจญเพลิงของห้าง เค้าพูดชัดว่าไม่ใช่คนเสื้อแดงเผา เพราะเค้ารู้จัก
เค้าคุ้นหน้า การ์ดเสื้อแดงกี่คนกี่คนเค้าเห็นหน้าหมด เพราะอยู่ร่วมกับการชุมนุมเป็นเดือนๆ
เค้าไปประจำการอยู่บนตึก พี่น้องเสื้อแดงกับหน่วยผจญเพลิงที่ไปอยู่บนตึก
เป็นมิตรกัน
แต่เขาบอกว่า
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่บุกไปเผาวันนั้น เขาไม่เคยเห็นหน้า
แล้วเป็นกลุ่มบุคคลที่เข้าไปโดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย
นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น และนี่คือสิ่งที่การต่อสู้ของประชาชนในปี 53 ถูกทำให้ต้องแบกรับมายาวนาน
แต่เวลาและความจริง
มันก็เยียวยาสิ่งเหล่านี้ได้นะครับ ผมเจอคนหนุ่มคนสาว 2-3 คนแล้วที่บอกว่า
‘ผมนึกว่าพี่สั่งเผา’ (เสียงหัวเราะ)
ผมก็บอกว่า
ก็เข้าใจได้ล่ะว่าเค้าตัดต่อคลิปนั้น แล้วเผยแพร่อยู่ 9 เดือนกว่า
ตอนผมถูกขัง ผมไม่มีสิทธิ์ชี้แจงอธิบายตอบโต้ จนคนจำนวนหนึ่งก็เชื่อไป
ผมก็ถามว่า
อ้าวแล้วรู้ได้ยังไงล่ะว่าผมไม่เกี่ยว เขาบอกว่า ก็ศาลตัดสิน
แล้วเขาก็ไปดูคลิปฉบับเต็มก่อนที่จะถูกตัดต่อ เขาเข้าใจ
แล้วผมเชื่อว่าความจริงนี่ล่ะครับจะขับไล่การใส่ร้ายป้ายสีนี้ได้ในที่สุด
ยกเว้นคนที่หัวใจไม่พร้อมที่จะรับความจริงอะไร อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับนะครับว่า
สภาพความขัดแย้งในสังคมนี้ มีคนประเภทนั้น...
อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นเลย
เพื่อนฝูงกันเองนี่ล่ะครับก็มีความเชื่อว่า ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง
ผมเป็นคนสั่งเผา
แล้วผมก็นั่งอธิบายว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง
แล้วผมก็บอกด้วยว่า ผมสู้คดีในศาล พยานปากสำคัญของคดีนี้ของฝ่ายรัฐบาล คือนายถวิล
เปลี่ยนศรี แกก็เอาคลิปนี้ไปเปิดหน้าบัลลังก์ศาล แล้วแกก็ให้การต่อศาลว่า
ผมเป็นคนประกาศให้เผาบนเวทีราชประสงค์เมื่อวันที่ 8 เมษา 53
ผมก็บอกทนายผมเลยครับว่า
เดี๋ยวพอคุณถวิลให้การกับอัยการเสร็จ ทนายถามค้าน เอาคลิปเต็มไปเปิด
แล้วถามหน้าบัลลังก์ศาลนี่ล่ะครับว่าคุณถวิลยังยืนยันไหมว่าผมประกาศที่ราชประสงค์ 8 เมษา 53
พอคุณถวิลดูอันเต็ม
‘คุณถวิล เปลี่ยนศรี ก็ เปลี่ยนเสียง’ (คนฟังหัวเราะ) คุณถวิลบอกศาลว่า
‘อ๋อไม่ใช่ครับ ผมเข้าใจผิด ผมนึกว่าเหตุเกิดที่ราชประสงค์ ผมนึกว่ามันเกี่ยวข้องกับการชุมนุมใหญ่’
นี่คือสิ่งที่จะปรากฏในสำนวนการต่อสู้คดีซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าศาลท่านจะพิพากษาอย่างไร
แต่นี่เล่าสู่กันฟัง...
สำหรับเรื่องอาวุธ
ในวัดปทุมวนารามที่ค้นพบหลังการชุมนุมหลายเดือนไปแล้ว
ยังพบว่ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่ออาวุธไว้เป็นกระดาษที่พิมพ์หลังเกิดเหตุหลายเดือน
จึงเป็นเรื่องที่ขัดข้อเท็จจริง...
ผมได้ยินจากทนายโชคชัยในการสืบพยานหลายๆ
คดี ผมก็มีความรู้สึกว่า คนเสื้อแดงนี่มันช่างร้ายกาจ โหดเหี้ยมเหลือเกินนะครับ
ถึงขั้นที่ซุกซ่อนอาวุธไว้ในเดือนพฤษภาคม
โดยเอาหนังสือพิมพ์เดือนที่ระบุวันที่หลังจากนั้นหลายเดือนมาห่อไว้ (เสียงหัวเราะ
ปรบมือ)
ถ้าไม่โหดจริง
ทำแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ นี่คือมันเป็นตลกร้ายนะครับ มันเป็นความเจ็บปวด
แต่ในขณะเดียวกันก็น่าสังเวชใจในความพยายามสร้างความเป็นมารร้ายให้กับการต่อสู้ของประชาชน
ซึ่งทำโดยไม่เลือกวิธีการ
ถ้าจะเอาหนังสือพิมพ์ไปห่อ
ก็คงหาเอาใกล้ไม้ใกล้มือโดยลืมนึกไปว่า หนังสือพิมพ์ทุกหน้า มันเขียนวันที่
(เสียงหัวเราะ)
ทีนี้ปัญหาคือ
อย่างที่บอก ฝ่ายผู้ชุมนุม ซุกซ่อนอาวุธไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
โดยห่อไว้ในหนังสือพิมพ์ที่ระบุวันที่หลังจากนั้นหลายเดือนเนี่ย
มันก็เจ็บปวดนะครับ
ท่านที่เคารพ
เรามาพูดกันวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยตั้งวงคุยกัน
ไม่ใช่นะครับ
แต่เป็นวาระครบรอบ
9 ปีของเหตุการณ์ แล้วเป็น 9 ปีที่ความจริงหลายเรื่องมันยังถูกบิดเบือน
แล้วเป็น 9 ปี ที่ความยุติธรรมในกรณีนี้ยังไม่เกิดขึ้น
ในส่วนที่เราจะดำเนินการ
ผมเคยแถลงข่าวไว้ว่า คดีผู้เสียชีวิต 99 รายจะต้องมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง
เมื่อคดียังไม่คืบหน้า เราสงสัยในการใช้ดุลยพินิจการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.
เมื่อมีสภาจากการเลือกตั้งแล้ว
ก็จะต้องรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นชื่อ ยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้สภามีมติเห็นชอบส่งประธานศาลฏีกา
เพื่อตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระต่อกรรมการป.ป.ช.ในที่สุด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
เป็นสิทธิโดยชอบของประชาชนตามกฎหมาย
ถ้าถามผมว่ารัฐสภาชุดนี้คาดหวังได้แค่ไหนว่าเขารับรายชื่อประชาชนไปไม่ต่ำกว่า
2 หมื่นชื่อแล้ว เขาจะเห็นชอบและส่งต่อไปยังศาลฎีกา
ก็ตอบกันตรงไปตรงมาให้สบายใจนะครับว่า
ผมดูทรงแล้ว
คาดหวังยากมาก (เสียงหัวเราะ ปรบมือ)
แต่ว่า
เราสิ้นหวังไม่ได้
เราท้อถอยต่อภาระหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบต่อพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ไม่ได้...
แล้วท่านสื่อมวลชนก็รายงานข่าวให้ตรงนะครับ
ที่บอกว่าเดี๋ยวสภาเปิดแล้วเราจะดำเนินการทันที
ไม่ใช่ว่าผมจะออกไปเดินขบวนนะครับ(หัวเราะ) แต่ช่องทางทางกฎหมายมันมี
แล้วก็วัดใจสมาชิกสภาชุดนี้ ว่ากับเรื่องที่เป็นอยู่เนี่ย ท่านเห็นยังไง
ดีนะครับ
ประธานสภา เป็นคุณชวน หลีกภัย ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเข้าให้ (เสียงหัวเราะ)
เพราะถ้าประธานสภาเป็นอภิสิทธิ์ แล้วเราไปยื่นเรื่องนี้ ก็คงแปลกตาดีพิลึก...
เป้าหมายสำคัญที่เราพยายามทวงถามเรื่องนี้
และจัดเวทีวันนี้ คือ เราไม่ต้องการให้ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะรัฐบาลคณะไหนชุดใดก็ตาม
ใช้กำลังปราบปรามการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนอีกต่อไป’ นายณัฐวุฒิกล่าว