วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ศาลอาญา พิพากษายกฟ้อง “ชำนาญ-ปุณิกา” คดีพยายามฆ่าจนท.(ทหาร) ถูกกล่าวหาเป็น “ชายชุดดำ” ก่อเหตุยิงต่อสู้ทหารที่เข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงคืน 10 เม.ย.53 ที่แยกคอกวัว ศาลชี้พยานฝ่ายโจทก์มีพิรุธ-ไม่เห็นหน้าผู้ก่อเหตุ ทั้งสองขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม

 


ศาลอาญา พิพากษายกฟ้อง “ชำนาญ-ปุณิกา” คดีพยายามฆ่าจนท.(ทหาร) ถูกกล่าวหาเป็น “ชายชุดดำ” ก่อเหตุยิงต่อสู้ทหารที่เข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงคืน 10 เม.ย.53 ที่แยกคอกวัว ศาลชี้พยานฝ่ายโจทก์มีพิรุธ-ไม่เห็นหน้าผู้ก่อเหตุ ทั้งสองขอบคุณที่ให้ความเป็นธรรม


วันนี้ (1 ตุลาคม 2567) ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาในคดี “ชายชุดดำ” ร่วมกันก่อเหตุยิงต่อสู้กับทหารที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช. บริเวณ 4 แยกคอกวัวคืนวันที่ 10 เม.ย.2553


คดีนี้อัยการฟ้อง 2 คนได้แก่ ชำนาญ ภาคีฉาย หรือเล็ก จำเลยที่ 1 และ ปุณิกา ชูศรี หรืออร จำเลยที่ 2 ด้วยข้อหาข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย


สำนักข่าวประชาไทได้ สรุปคำพิพากษาของศาลได้ว่าพยานของฝ่ายโจทก์หลายปากที่อ้างว่าอยู่ในที่เกิดมีพิรุธเช่นพยานตำรวจที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 1 พร้อมกับอาวุธสงครามและเปิดหมวกที่คลุมใบหน้าไว้และแต่ไม่ถ่ายภาพอาวุธที่จำเลยกับพวกถือไว้อยู่เลยทั้งที่สามารถทำได้โดยง่าย และพยานบุคคลทั่วไปที่เคยให้การกับพนักงานสอบสวนไว้ตอนปี 2553 อ้างว่าเห็นกลุ่มผู้ก่อเหตุใส่หมวกปิดบังใบหน้ายืนประกอบอาวุธอยู่ในบริเวณใกล้จุดเกิดเหตุไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่เมื่อถูกพนักงานสอบสวนเรียกไปให้การอีก 2 ครั้งในปี 2560 และ 2561 กลับเบิกความว่ากลุ่มชายดังกล่าวได้ถอดหน้ากากออกศาลเห็นว่าพยานปากนี้ให้การขัดแย้งกัน


นอกจากนั้นพยานทหารอย่าง ชัยวัฒน์ ตะเพียรทอง ที่เบิกความว่าขณะที่หน่วยทหารในถนนตะนาวกำลังกลับถอนกำลังออกจากถนนตะนาวตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตนเห็นรถตู้สีขาวขับฝ่าเข้ามาและผู้ก่อเหตุยังเปิดกระจกรถมาและถอดหมวกไอ้โม่งที่คลุมหน้าอยู่ออกและตะโกนด่าทหารนั้น ศาลก็ยังเห็นว่าในถนนเส้นนั้นมีหน่วยทหารที่กำลังถอนกำลังอยู่แต่ผู้ก่อเหตุยังขับรถเข้าไปทั้งที่เสี่ยงต่อการถูกจับกุมแล้วผู้ก่อเหตุที่ใส่หมวกไอ้โม่งปิดใบหน้าก็เพื่อปกปิดตัวตนจากบุคคลอื่นและเจ้าหน้าที่ทำให้คำให้การของพยานทหารปากนี้มีพิรุธเช่นกัน


พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีเนื่องจาก พล.ต.วิจารณ์ จดแตง มาแจ้งกับตนเมื่อ 4 ส.ค.2558 ว่าจับผู้ก่อเหตุได้ เบิกความในฐานะอยู่ในเหตุการณ์แต่พบว่าขณะเกิดเหตุไม่ได้เห็นใบหน้าของคนร้ายเนื่องจากปิดบังใบหน้าและเมื่อพยานเห็นคนร้ายใช้อาวุธยิงแล้วก็หมอบลงด้วยพยานย่อมไม่เห็นตัวผู้ก่อเหตุจึงเชื่อว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้การอ้างอว่าเห็นจำเลยที่ 1 จึงไม่น่าเชื่อถือ


ส่วนพยานของโจทก์ร่วม รณฤทธิ์ สุวิชชา ที่เบิกความรายละเอียดเกี่ยวกับการก่อเหตุว่าได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมก่อเหตุการณ์ในคืนวันที่ 10 เม.ย.2553 และได้พบกับผู้ร่วมก่อเหตุคนอื่น ๆ รวมถึงจำเลยในคดีนี้ก่อนเดินทางไปที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันนำอาวุธไปใช้ยิงใส่ทหารในถนนตะนาวและขึ้นรถตู้หลบหนีและตนได้ให้การไว้หลังจากถูกจับกุมเมื่อ 8 ก.ย.2557 ขณะถูกควบคุมตัวอยู่ในกองพันทหารสื่อสารที่ 1 และต่อมาพยานได้ให้การไว้กับพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษไว้เมื่อปี 2560


แต่รณฤทธิ์ตอบคามทนายความจำเลยด้วยว่า หลังจากตนถูกคุมตัวในค่ายทหารและถูกย้ายไปคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้วตนก็ได้ร้องขอความเป็นธรรมกับพนักงานสอบสวนพร้อมกับมีทนายความเข้ามาช่วยเหลือได้บอกกับทนายความว่าที่เคยให้การไว้กับทหารนั้นไม่เป็นความจริงและเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาก็ให้การปฏิเสธ ศาลเห็นว่าคำให้การของพยานปากนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอย


ดังนั้นจึงเหลือเพียงพล.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเบิกความว่าหลังจากการประกาศใช้กฎอัยการศึกตนได้ใช้อำนาจดังกล่าวพาตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนคือ กิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรืออ้วน ปรีชา อยู่เย็น รณฤทธิ์ และชำนาญ จำเลยในคดีนี้และได้ทำบันทึกคำให้การรายละเอียดการก่อเหตุไว้ อย่างไรก็ตามศาลเห็นว่าพยานปากนี้เป็นเพียงพยานบอกเล่าเท่านั้นจึงห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 (3)


ศาลจึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองคนเพราะเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาล้วนแต่มีพิรุธ และจำเลยทั้งสองคนในคดีก็ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำความผิดตามคำฟ้อง


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้จำเลยทั้งสองสู้คดี จนศาลยกฟ้องทั้ง 3 ศาล ในข้อหาครอบครองอาวุธ และถูกฟ้องในคดีนี้ที่พิพากษาในวันนี้เป็นคดีสอง


โดย ปุณิกา กล่าวกับ ยูดีดีนิวส์ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า คดีที่พิพากษาวันนี้รู้สึกดีกว่าคดีแรก(ครอบครองอาวุธ) เพราะคดีที่แล้วถึงแม้ยกฟ้อง(ทั้ง 3 ศาล) แต่ยังมีข้อสงสัย ทำให้ติดคุกฟรี คดีนี้ไม่ได้ติดคุกและไม่มีข้อค้างคา และยกฟ้องในวันนี้ ทำให้รู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรม


ข้อมูลคดี : ประชาไท


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชายชุดดำ #คนเสื้อแดง #นปช