วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“จิราพร” เปิดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค” ประเดิมแก้ปัญหาแบบกลุ่ม คาดช่วยแก้ปัญหาเร็วขึ้นสามเท่า

 


“จิราพร” เปิดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค” ประเดิมแก้ปัญหาแบบกลุ่ม คาดช่วยแก้ปัญหาเร็วขึ้นสามเท่า


วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 09.45 น. นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค” ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและพัฒนากระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกมิติ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิได้รับความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ


นางสาวจิราพร กล่าวถึงความสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภคว่า “ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งผู้บริโภคต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างเท่าเทียมกันการคุ้มครองดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ยังเป็นมาตรฐานที่ทุกคนควรได้รับเพื่อสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาหลักที่พบส่วนใหญ่มีมายัง สคบ. ได้แก่ กรณีการขายสินค้าหรือการให้บริการที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลง ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขเรื่องร้องทุกข์ให้รวดเร็วขึ้น“

 

”การจัดกิจกรรมนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการส่งเสริมการไกล่เกลี่ยมิติใหม่ ในรูปแบบการไกล่เกลี่ยแบบกลุ่ม ซึ่งเป็นการแก้ไขข้อพิพาทกลุ่มที่มีประเด็นร้องทุกข์ในลักษณะเดียวกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนการช่วยเหลือผู้บริโภคได้มากขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อเทียบการดำเนินงานในลักษณะการไกล่เกลี่ยรายกรณี ที่ปัจจุบัน สคบ. มีการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคเฉลี่ยเดือนละ 250 เรื่อง แต่เมื่อเริ่มกิจกรรมการไกล่เกลี่ยเป็นกลุ่ม และมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคได้เป็นจำนวนมากขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งจะช่วยยกระดับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น“ นางสาวจิราพร กล่าว


ทั้งนี้ กิจกรรม “มหกรรมไกล่เกลี่ยเรื่องร้องทุกข์ของผู้บริโภค” จัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนำกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยแบบกลุ่มมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การแก้ไขปัญหามีความรวดเร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการดำเนินการแบบรายกรณี โดยจะช่วยลดขั้นตอน ลดระยะเวลา และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ โดย สคบ. จะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับกระบวนการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจในอนาคต

 

นอกจากนี้ สคบ. ยังได้ใช้ระบบ “OCPB Mediate” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มไกล่เกลี่ยออนไลน์ ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถยื่นเรื่องร้องทุกข์ และขอความช่วยเหลือได้ทุกที่ ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของ สคบ. ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สคบ





“สมศักดิ์” ส่งทีม MCATT สหวิชาชีพระดมเข้าช่วยเหลือเยียวยาจิตผู้ประสบอุบัติเหตุรถทัวร์คณะทัศนศึกษาพลิกคว่ำที่ปราจีนหลังส่งกลับบึงกาฬ เผยมีผู้เสียชีวิต 18 ราย บาดเจ็บ 30 ราย

 


“สมศักดิ์” ส่งทีม MCATT สหวิชาชีพระดมเข้าช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุบัติเหตุรถทัวร์คณะทัศนศึกษาพลิกคว่ำที่ปราจีนหลังส่งกลับบึงกาฬ เผยมีผู้เสียชีวิต 18 ราย บาดเจ็บ 30 ราย


วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2568) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รู้สึกเสียใจมากและห่วงใยต่อกรณีเกิดอุบัติเหตุรถทัวร์คณะทัศนศึกษาจากเทศบาลพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬเสียหลักพลิกคว่ำ บริเวณถนนสาย 304 ทางลงเขาศาลปู่โทน ตำบลบุราพราหมณ์ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกันนี้ก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงาน ดูแล รักษา ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างดีที่สุด โดยได้สั่งการให้นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตให้ส่งทีม MCATT เพื่อลงพื้นทีเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบในครั้งนี้


น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า ทางทีมสหวิชาชีพที่ให้การช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต ได้แก่แพทย์ พยาบาลจิตเวช เภสัชกร นักจิตวิทยานักสังคมสง เคราะห์ นักวิชาการสาธารณสุข ผูู้รับผิดชอบงานด้านสุขภาพจิต หรือ MCATT กรมสุขภาพจิต เขต8 ได้ประสานกับทีม MCATT ในพื้นที่แล้ว ทราบว่าต้องการการสนับสนุนจาก MCATT กรมสุขภาพจิต จึงได้ ส่งทีม operation ดำเนินการลงพื้นที่ ร่วมกับประชุมวางแผนดำเนินการทันทีในเย็นวันรุ่งขึ้นที่ศพผู้เสียชีวิตเดินทางกลับมาถึง ภูมิลำเนา โดยแผนในช่วงแรก 1-2 วันนี้ ได้ดำเนินการประเมินความเสี่ยงและทำการปฐมพยาบาลทางจิตวิทยา( PFA ) ในผู้ที่ได้รับผลกระทบทางตรง โดยทีมจะประจำในพื้นที่ทำงานร่วมกับทีมในพื้นที่ 2 วัน 26-27 กุมภาพันธ์นี้


น.ส.ตรีชฎา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยังมีทีม SHERT (ทีมพิเศษฉุกเฉินสุขภาพ สสจ.บึงกาฬ) ลงร่วมประเมินสถานการณ์ รวมทั้งทีมMCATT กรมสุขภาพจิต มี รพจ.นพม. เข้าร่วม 3 คน (พยบ.2 คน นักจิตวิทยา 1 คน) วันที่ 26- 27 กุมภาพันธ์และ วางแผนเสริมทีม 2 เข้าร่วมในวันฌาปนกิจ จำนวน 5 คน และทีมศูนย์สุขภาพจิตที่ 8 เข้าร่วมด้วย  ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยในเวลา 15.00 น. ทีม MCATT นัดประชุมเพื่อวางแผนการทำงานในพื้นที่ ณ รพ.พรเจริญ  ประมาณ เวลา 20.00 น. ลำเลียงศพมาถึงพื้นที่ ทีม MCATT  จำนวน 29 คน ปฎิบัติหน้าที่เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างเต็มที่


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

นายกฯ เข้าสภา บอกไม่เกินคาดหมายหลังเป็นเป้าถูกอภิปรายคนเดียว ไม่กังวลกล่าวหาเป็นนั่งร้าน “ทักษิณ” มั่นใจไม่ได้ทำอะไรผิด พร้อมแจงทุกเรื่องแต่ไม่รู้จะถูกใจคำตอบหรือไม่ เชื่อพรรคร่วมไม่ลอยแพ ส่งข้อความขอความช่วยเหลือแล้ว บอกมือใหม่ตอบคนเดียวไม่ไหวเดียวคอแห้ง ต้องมีองครักษ์ช่วย


นายกฯ เข้าสภา บอกไม่เกินคาดหมายหลังเป็นเป้าถูกอภิปรายคนเดียว ไม่กังวลกล่าวหาเป็นนั่งร้าน “ทักษิณ” มั่นใจไม่ได้ทำอะไรผิด พร้อมแจงทุกเรื่องแต่ไม่รู้จะถูกใจคำตอบหรือไม่ เชื่อพรรคร่วมไม่ลอยแพ ส่งข้อความขอความช่วยเหลือแล้ว บอกมือใหม่ตอบคนเดียวไม่ไหวเดียวคอแห้ง ต้องมีองครักษ์ช่วย


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เมื่อเวลา 10.45 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ารัฐสภา โดยได้ยกเลิกภารกิจเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติในช่วงเช้า เนื่องจาก ไม่มีวาระพิจารณาที่เป็นประเด็นสำคัญ โดยพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สามารถทำหน้าที่ประธานการประชุมได้เลย


โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า การเข้าสภาวันนี้ตรงกับวันที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนทราบข่าววานนี้ (26 ก.พ.) ว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และมีการวางแผนจะเข้าสภาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว ซึ่งได้จิ้มวันไว้แล้วว่าจะเข้าสภาวันไหน และบังเอิญตรงกับวันที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ อีกทั้งต้องดูเรื่องภารกิจด้วย ไม่เช่นนั้นจะหาวันเข้าสภาไม่ได้ ถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดี


ส่วนเกินความคาดหมายหรือไม่ที่ฝ่ายค้านพุ่งเป้าที่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไม่เกินความคาดหมาย เป็นสิทธิของฝ่ายค้านอยู่แล้ว ซึ่งได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้วว่าจะออกมารูปแบบนี้ ซึ่งในวันที่ไปรับประทานอาหารร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลก็มีการคุยกันเพราะขณะนั้นมีรายชื่อออกมาเป็น 10 รายชื่อ ขณะที่ญัตติอภิปรายของฝ่ายค้านนั้น ยืนยันว่าสามารถตอบได้ทุกข้อ แต่อะไรที่เกี่ยวต้องกับกระทรวงไหนหรือลงรายละเอียดคงให้รัฐมนตรีกระทรวงนั้นช่วยกันตอบ


เมื่อถามว่าเนื้อหาในญัตติของฝ่ายค้านระบุว่านายกรัฐมนตรีเป็นนั่งร้านให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าก็เตรียมตอบในสิ่งที่ถามมาทุกประเด็น และไม่กังวลหากจะมีการพุ่งเป้าไปที่นายทักษิณ เพราะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือจะถามกระทบกับอะไร ถ้าเราไม่หลักยึดอย่างเช่นกฎหมายก็จะแย่ แต่ถ้าหากมีหลักยึด ก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมตอบ


เมื่อถามว่าญัตติของฝ่ายค้านแรงเกินไปหรือไม่ เพราะกล่าวหาว่าไม่มีวุฒิภาวะ ความเป็นผู้นำ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำให้ต่างชาติไม่มีความเชื่อมั่น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าต้องดูข้อมูลจริงประกอบด้วย ว่าต่างชาติไม่เชื่อมั่นจริงหรือไม่ แต่ก็เข้าใจเพราะพรรคเพื่อไทยก็เคยเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชนมา 8-9 ปี ไม่ได้ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้นอยากรู้อะไรมาก็ตอบไป


เมื่อถามต่อว่ามั่นใจว่าตอบได้ทุกข้อกล่าวหาใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามั่นใจว่าตอบได้อยู่แล้วแต่ แต่จะชอบคำตอบหรือไม่ตนไม่ทราบ


นายกรัฐมนตรียอมรับว่าจะมีการตั้งองครักษ์ขึ้นมาแน่นอน เพราะทุกคนต้องช่วยกันตอบ ตอบคนเดียวอาจจะคอแห้ง


ส่วนจะต้องมีการมอบหมายรัฐมนตรีหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไม่มอบหมาย แต่จากที่คุยกันในวงดินเนอร์พรรคร่วมหากเกี่ยวข้องกับกระทรวงใด ตนเชื่อว่าทุกกระทรวงเขาอยากตอบแน่ เพราะเป็นผลงานของเขา แต่ทั้งหมดต้องรอหน้างานเพราะขณะนี้ก็ไม่ทราบว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งมีหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้น


เมื่อถามว่าพรรคร่วมจะไม่ปล่อยลอยแพใช้หรือไม่ หลังญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมีชื่อนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว นายกฯยืนยันว่าไม่ปล่อยลอยแพ และได้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากทุกคนแล้ว ว่าเป็นมือใหม่ ยังไม่เคยถูกอภิปรายมาก่อน ซึ่งทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุน ซึ่งถือว่าเป็นกำลังใจ เพราะพรรคร่วมมีโอกาสได้คุยน้อยกว่าพรรคตัวเอง แต่เมื่อได้คุยกันแล้ว ก็ได้รับการสนับสนุน มีความอบอุ่น ความน่ารักจากหัวหน้าพรรคร่วมทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นกำลังใจมากๆ


เมื่อถามว่านายทักษิณเป็นหัวหน้าองครักษ์พิทักษ์นายกฯเองเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีร้อง “โอ๊ย ไม่แล้วค่ะ ” ก่อนระบุว่าถ้านายทักษิณจะเป็นองครักษ์คงไม่ใช่เรื่องที่มาตอบคำถามในสภา แต่จะตอบคำถามเมื่อเราถามหรือขอคำแนะนำ อย่างเช่น ถ้าเป็นพ่อจะทำอย่างไร จะเดินอย่างไร เป็นการขอคำปรึกษา ซึ่งแบบนั้นให้อยู่แล้ว 100%


เมื่อถามว่าหลังฝ่ายค้านยื่นญัตตินายทักษิณให้กำลังใจอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่านายทักษิณโทรมาตั้งแต่เช้า ตนยังไม่ได้รับ และโทรกลับไปนายทักษิณไม่รับสาย วันนี้ยังไม่ได้คุยกัน จึงไม่รู้จะตอบอย่างไร ส่วนจะต้องขอคำแนะนำหรือไม่เดี๋ยวจะรอดูแต่ขอกำลังใจแน่นอน


ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตอบคำถามว่าจะไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับนายทักษิณหรือไม่ หลังมีกระแสข่าวว่าจะมีการนัดพบกันที่บ้านพิษณุโลกในช่วงเที่ยงวันนี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #นายกแพทองธาร

“ณัฐพงษ์” นำพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ชี้เนื้อหาคลุมทุกประเด็น โฟกัสนายกฯ คนเดียว เพราะรากเหง้าปัญหาเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ ข้ามขั้ว - ไร้ภาวะผู้นำ เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย

 


ณัฐพงษ์” นำพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ชี้เนื้อหาคลุมทุกประเด็น โฟกัสนายกฯ คนเดียว เพราะรากเหง้าปัญหาเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ ข้ามขั้ว - ไร้ภาวะผู้นำ เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อาคารรัฐสภา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยผู้นำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ต่อประธานรัฐสภา และการยื่นร้องให้มีการตรวจสอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 236 พร้อมให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน


ณัฐพงษ์ระบุว่าในส่วนของการยื่นคำร้องให้ตรวจสอบ ป.ป.ช. พรรคร่วมฝ่ายค้านรวมรายชื่อได้ทั้งหมด 145 รายชื่อ โดยในคำร้องพร้อมหลักฐาน 18 รายการประกอบด้วย 3 ประเด็นหลักข้อกล่าวหา คือ 1) ข้อกล่าวหาต่อ 5 ป.ป.ช. และอดีต ป.ป.ช. ต่อกรณีมีมติยุติการสืบหาข้อเท็จจริงทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 2) ข้อกล่าวหาต่อ 9 ป.ป.ช. ที่ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 16 มีนาคม 2566 - 23 พฤษภาคม 2567 กรณีลงมติไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองให้เปิดเผยรายละเอียดของคดีดังกล่าว และ 3) ข้อกล่าวหาต่อประธาน ป.ป.ช. กรณีคลิปหลุดล่าสุดที่มีการเข้าพบประธานรัฐสภาพร้อม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล


ส่วนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ร่วมลงรายชื่อ 166 รายชื่อ โดยขออภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว ทั้งนี้ เนื้อหาที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะครอบคลุมในทุกประเด็นและมิติ ครอบคลุมหลายกระทรวงและหลายพรรคร่วมรัฐบาล ปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินวันนี้เกิดขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาลที่่ผ่านมา ที่นายกรัฐมนตรีขาดภาวะผู้นำ ไม่สามารถควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าสำหรับประเด็นที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เช่น เราไม่อาจไว้วางใจรัฐบาลชุดปัจจุบันให้บริหารราชการแผ่นดินได้ เพราะนายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติ ขาดความรู้ความสามารถ ขาดเจตจำนงที่จะแก้ปัญหาให้กับประชาชน ไม่มีความรับผิดชอบต่อการเป็นนายกรัฐมนตรี การบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว จีดีพีของประเทศเติบโตเกือบรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน มีการแต่งตั้งบุคคลที่เขาขอมาให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ขาดภาวะผู้นำในการบังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชา ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีอำนาจเหนือตน และยินยอมให้ผู้เป็นบิดาสามารถชักนำ จูงใจ มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมถึงมีประเด็นการทุจริตคอร์รัปชัน


วันนี้เราเชื่อว่าทุกปัญหาเกิดจากตัวนายกรัฐมนตรีเองที่ไม่สามารถควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้ ซึ่งเกิดขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วแบบนี้ จึงเป็นที่มาที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเล็งเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เพราะปัญหาทั้งหมดอยู่ที่นายกรัฐมนตรีที่จะต้องเป็นผู้ตอบชี้แจงคนเดียวเท่านั้น


ณัฐพงษ์ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะขอให้ลดวันเวลาในการอภิปรายลงกว่าปกติ เนื่องจากมีการอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว โดยระบุว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่ผ่านมาใช้เวลาในการอภิปรายอย่างต่ำ 4 วัน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนจึงอยากให้รัฐบาลให้กรอบระยะวลามาก ยิ่งนายกรัฐมนตรีมีเวลาให้ฝ่ายค้านได้ซักฟอกมาก ตัวนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งมีโอกาสในการแสดงความเป็นผู้นำของตัวเองมากเท่านั้น ในอดีตก็เคยมีการอภิปรายนายกรัฐมนตรีคนเดียวมาแล้วจนนำไปสู่การยุบสภา แน่นอนว่าบริบทในปัจจุบันไม่เหมือนกัน แต่เนื้อหาที่เตรียมมาค่อนข้างเข้มข้น พุ่งเป้าไปที่ความผิดขอรัฐมนตรีหลายคนรวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย


เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีข่าวว่ามีการต่อรองกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในการแลกเนื้อหากัน ทำให้ไม่สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นหรือไม่ ณัฐพงษ์ระบุว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านมองเนื้อหาเป็นหลัก ที่ตัดสินใจยื่นอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวก็เพราะรากเหง้าของปัญหาทั้งหมดอยู่ที่การจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้และการที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถควบคุมสียงฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมีการตัดสินแบบนั้น ตนอยากให้มองที่เนื้อหาการอภิปรายมากกว่า จะเห็นว่าเราดำเนินการทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคร่วมฝ่ายค้าน #พรรคประชาชน #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #นายกแพทองธาร




วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“ณัฐพล” แนะรัฐขันน็อตการทำงาน แก้ปัญหาปล่อยเช่าคอนโดรายวัน จี้ภาพใหญ่ต้องสะสางปัญหานอนิมี-กำกับธุรกิจคนต่างชาติในไทยให้ชัดเจน

 


“ณัฐพล” แนะรัฐขันน็อตการทำงาน แก้ปัญหาปล่อยเช่าคอนโดรายวัน จี้ภาพใหญ่ต้องสะสางปัญหานอนิมี-กำกับธุรกิจคนต่างชาติในไทยให้ชัดเจน


วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคประชาชน แสดงความเห็นกรณีประชาชนโพสต์ในโลกออนไลน์เกี่ยวกับปัญหาคอนโดปล่อยเช่าเป็นที่พักรายวันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยณัฐพลระบุว่า เรื่องนี้มีกฎหมายกำกับอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือบังคับใช้ไม่ได้ รัฐจำเป็นต้องขันน็อตโดยเฉพาะการจัดการปัญหานอมินีและการกำกับการประกอบธุรกิจของคนต่างชาติในประเทศไทย


การคอนโดปล่อยเช่าที่เป็นปัญหา ตนแยกเป็น 4 ประเด็น (1) กฎหมายปัจจุบันคือ พ.ร.บ.อาคารชุด มาตรา 19 ทวิ อนุญาตให้คนต่างชาติซื้อและเป็นเจ้าของห้องชุดในคอนโดได้ แต่ต้องถือกรรมสิทธิ์ไม่เกิน 49% ของเนื้อที่ของห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้น ดังนั้นข้อกังวลตอนนี้คือการเป็นเจ้าของดังกล่าวเป็นการกระทำในลักษณะนอมินีหรือไม่


(2) การที่ห้องชุดบางยูนิตในคอนโดดังกล่าวถูกนำมาปล่อยเช่า กรณีนี้ก็ทำได้เช่นกัน เจ้าของห้องที่เป็นคนไทยปล่อยเช่าได้ การปล่อยเช่าก็ต้องปล่อยเช่าเป็นรายเดือน ทำสัญญาเช่าระหว่างกัน และขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันของลูกบ้านและนิติบุคคลคอนโดดังกล่าวด้วยว่าอนุญาตให้ทำได้หรือไม่ได้ 


(3) แต่ประเด็นที่เป็นข่าวคือการปล่อยเช่าเป็นที่พักรายวันค้างคืนโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยว ถามว่านับเป็นการประกอบกิจการโรงแรมตาม พ.ร.บ.โรงแรม หรือไม่ ตนเห็นว่าไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะการทำที่พักรายวัน หากไม่เกิน 8 ห้อง หรือ ไม่เกิน 30 เตียง จะไม่นับว่าเป็นสถานที่พักที่เป็นโรงแรม กรณีทำได้แต่ต้องจดแจ้งให้นายทะเบียนท้องที่ทราบ แต่หากเกิน 8 ห้อง หรือ เกิน 30 เตียง คอนโดดังกล่าวทั้งอาคารต้องขออนุญาตเป็นโรงแรม


(4) Airbnb เป็นเพียงแพลตฟอร์มออนไลน์ให้นักท่องเที่ยว ค้น-จอง-จ่าย เท่านั้น เจ้าของห้องชุดสามารถนำห้องเดียวกันไปวางขายในแพลตฟอร์มจองที่พักอื่นๆ ได้เช่นกัน ปัจจุบันก็ยังไม่มีกฎหมายใดๆ มากำกับแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ว่าควรตรวจสอบเอกสารใบอนุญาตอะไรบ้างก่อนที่จะเปิดให้ขายที่พักบนเว็บได้ ดังนั้น การเปิดขายที่พักออนไลน์จึงทำได้ง่ายมากๆ กรอกข้อมูลนิดหน่อย อัปโหลดรูปไม่กี่อย่างก็สามารถเปิดให้จองได้ทันที


ณัฐพลกล่าวต่อว่า ข้อเสนอของตนเพื่อให้รัฐบาลขันน็อตการทำงานคือ ในระดับรัฐบาล กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กำกับ พ.ร.บ.อาคารชุด และ พ.ร.บ.โรงแรม ต้องตรวจสอบเชิงรุกในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวที่เกิดเหตุลักษณะดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง เช่น กทม. ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบการถือครองคอนโดของคนต่างชาติ ว่าการถือครองนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เป็นการกระทำในรูปแบบนอมินีหรือไม่ ต้องสืบค้นว่าคอนโดใดมีห้องชุดที่ถูกนำมาปล่อยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติบ้าง เรื่องนี้ทำได้เพียงค้นหาที่พักออนไลน์ ก็จะพอรู้ว่าผู้ประกอบการนั้นเป็นคนไทยหรือไม่ ได้ทำการจดแจ้งว่าเป็นที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมหรือไม่ หรือปล่อยห้องให้จองเกิน 8 ห้องหรือ 30 เตียง หรือไม่


ส่วนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้กำกับ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ.2565 ควรเร่งออกกฎหมายลูกเพื่อกำกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ให้ดำเนินการสอดคล้องกับกฎหมายไทยมากขึ้น เช่น แพลตฟอร์มจองห้องพัก ต้องสอดคล้องกับ พ.ร.บ.โรงแรม และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง แพลตฟอร์มเรียกรถรับส่ง ก็ต้องสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ขนส่งทางบก เป็นต้น 


สำหรับประชาชน ลูกบ้านในคอนโด นิติบุคคล ผู้อยู่อาศัยย่อมรู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้นในเคหสถานของท่าน หากมีข้อสงสัยสามารถแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด ซึ่งก็คือกรมที่ดิน แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.โรงแรม ซึ่งก็คือกรมการปกครอง หรือแจ้ง สคบ. ให้ทำการตรวจสอบการกระทำของคอนโด เจ้าของห้องชุด และนิติบุคคลได้ 


ส่วนในระยะถัดไป พรรคประชาชนจะเสนอร่าง พ.ร.บ.โรงแรมและสถานที่พักค้างคืน ฉบับใหม่เพื่อแก้ไข พ.ร.บ.โรงแรม ฉบับเดิมที่ใช้มาแล้ว 20 ปี เนื้อหาหลายอย่างมีความล้าหลัง ไม่ตอบโจทย์ปัจจุบัน โดยในส่วนของห้องชุดในคอนโด เราเสนอให้สามารถนำมาทำเป็นที่พักค้างคืนได้ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อ (1) ได้รับความยินยอมร่วมกันจากการประชุมของลูกบ้านและนิติบุคคล และ (2) เมื่อได้รับความยินยอมแล้ว จะต้องดำเนินการขอใบอนุญาตประกอบกิจการสถานที่พักค้างคืน


ณัฐพลย้ำว่า การแก้กฎหมายให้ทันสมัยและสร้างความเป็นธรรมแก่ทุกคนเป็นเรื่องสำคัญ ตอนนี้รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนด้วยการกวดขันจัดการปัญหานอมินีและกำกับการประกอบธุรกิจของคนต่างชาติในไทยให้ชัดเจน มิเช่นนั้นปัญหาแบบที่อยู่จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำเติมเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทยที่ลำบากอยู่แล้วให้รู้สึกสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

"ทนายอั๋น" มาพร้อมหวังเฉา-หม่าฮั่น ขอดูหน้า "อิทธิพร-แสวง" แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ลั่น กกต.ไม่ให้ข้อมูลระวังโดนข้อหาร่วมขบวนการอั้งยี่ซ่องโจร เชื่อ DSl มีอำนาจเต็ม 100% ทำคดีอาญาเอาผิดฮั้วเลือกสว.

 


"ทนายอั๋น" มาพร้อมหวังเฉา-หม่าฮั่น ขอดูหน้า "อิทธิพร-แสวง" แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ลั่น กกต.ไม่ให้ข้อมูลระวังโดนข้อหาร่วมขบวนการอั้งยี่ซ่องโจร เชื่อ DSl มีอำนาจเต็ม 100% ทำคดีอาญาเอาผิดฮั้วเลือกสว. 


วันนี้ (26 ก.พ. 68) เวลา 13.00 น. นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมด้วยอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เดินทางมายัง สำนักคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เพื่อแถลงและแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โดยมีผู้ที่แต่งกายเลียนแบบเป็น"หวังเฉา" และ "หม่าฮั่น" นำตัวผู้ที่สวมชุดนักโทษที่ระบุป้ายข้อความว่าอั้งยี่ซ่องโจรมาประหารตามคำสั่งท่านเปาบุ้นจิ้น


โดยนายภัทรพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้มายื่นหนังสือใดๆกับกกต. อีกแล้ว เพราะถือว่าการสื่อสารระหว่างตัวเองกับ กกต. สิ้นสุดลงแล้วนับแต่กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาว่าจะรับกรณีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษหรือไม่


วันนี้เป็นเหมือนการมาดูหน้านายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. และ นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. แต่ก็ได้ข้อมูลว่าตอนนี้ไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าดูงานเกี่ยวกับอะไร แล้วจะได้อะไรกลับมา เพราะตั้งแต่มีกกต.มาไม่เห็นจะมีการเลือกตั้งครั้งไหนจะสมบูรณ์แบบเลย โดยเฉพาะการเลือก สว. ครั้งที่ผ่านมาที่มันเละตุ้มเป๊ะ มีปัญหาจนตอนนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว ผมว่าไม่ต้องไปดูงานต่างประเทศหรอก ทำอย่างนี้ไปดูงานที่เขากระโดงหรือเปล่าถึงได้มีการเลือกตั้งออกมาแบบนี้


นายภัทรพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด สว. สีน้ำเงิน จึงพยายามให้ กกต.รับเรื่อง ฮั้วเลือก สว.ไปทำเอง มีนอกมีในอะไรกันหรือเปล่า อีกสว.สีน้ำเงิน ยังขู่จะฟ้องประชาชนที่ให้ข้อมูล รวมถึงขู่ดีเอสไอ ถ้าเกิดรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ ตนปวดใจทุกครั้งเวลามีคนถามว่าที่ดีเอสไอทำเรื่องนี้อยู่เป็นเพราะการเมืองบีบหรือไม่ จึงรอดูว่าหลังจากนี้ทางดีเอสไอจะทำอย่างไรต่อ


นายภัทรพงศ์ กล่าวด้วยว่า เรื่องฮั้วเลือก สว. ตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้ามาร้องเรียนกับทาง กกต.รวมถึงดีเอสไอ ตั้งแต่แรกและเคยถูกเรียกไปสอบมาแล้ว วันนี้จึงอยากมาทวงถามฝั่ง กกต. ว่าจะเอาอย่างไร ในหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าจะให้ข้อมูลกับทางดีเอสไอหรือไม่ ซึ่งตนมองว่าหากไม่ให้ข้อมูลก็จะมีข้อสงสัยว่านายแสวง เลขา กกต.เป็นตัวการร่วมสนับสนุนการกระทำ ความผิดหรือไม่ และท้ายที่สุดอาจจะโดนอั้งยี่ซ่องโจรไปด้วย เพราะเห็นว่าเขามีหลักฐานว่า มีเจ้าหน้าที่กกต.ระดับสูงร่วมขบวนการอั้งยี่ซ่องโจรด้วย แต่หากทาง กกต. ไม่ได้ให้ความร่วมมือ ส่วนตัวมองว่าไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว เพราะทางดีเอสไอมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับความผิดในคดีอาญา ซึ่งทางดีเอสไอก็เคยออกมาชี้ชัดแล้วว่ามั่นใจว่ามีอำนาจเต็ม 100% ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ กกต .


อย่างไรก็ตามหากกกต. ไม่ให้ความร่วมมือ เห็นว่า กกต.จะอาจมีความผิดในหลายส่วน เช่นละเว้นการปฎิบัติ หน้าที่ตามมาตรา 157 แต่ถ้าเกิดใช้มาตรานั้นในการเอาผิดก็จะเป็นเหมือนกันดึงเชงเตะถ่วงให้เรื่องไปชั้น ป.ป.ช. ซึ่งเรื่องนี้เข้าทาง สว.ฝั่งน้ำเงิน มองว่าลักษณะนี้ เข้าข่ายความผิดเกินมาตรา 157 ไปแล้ว ลักษณะเหมือนร่วมขบวน การด้วยมากกว่า


นอกจากนี้ยังเชื่อว่าสิ่งที่ผู้กระทำผิดกังวลตอนนี้ คือ ถ้าคดีไปอยู่ในมือของดีเอสไอที่มีอำนาจสอบสวนเต็มก็จะเรียก สว.138 คน รวมถึงพยานอีกกว่า 300 คน ไปสอบ และท้ายที่สุดกลุ่มคนเหล่านี้อาจพูดถึงนายใหญ่ระดับสั่งการ ซึ่งตอนนี้ตัวเองมีข้อมูลว่าคนที่ร่วมอยู่ในขบวนการฮั้ว เลือก สว.หลายคนก็กลับลำเข้ามาให้ข้อมูลกับดีเอสไอแล้ว อย่างก่อนหน้านี้มีผู้สมัคร สว. สายใต้คนหนึ่งทำคลิปข้อมูลแฉเรื่องการฮั้ว สว.และขณะนี้ก็เข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว


นายภัทรพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด สว. สีน้ำเงิน จึงพยายามให้ กกต.รับเรื่อง ฮั้วเลือก สว.ไปทำเอง มีนอกมีในอะไรกันหรือเปล่า อีกสว.สีน้ำเงิน ยังขู่จะฟ้องประชาชนที่ให้ข้อมูล รวมถึงขู่ดีเอสไอ ถ้าเกิดรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ ตนปวดใจทุกครั้งเวลามีคนถามว่าที่ดีเอสไอทำเรื่องนี้อยู่เป็นเพราะการเมืองบีบหรือไม่ จึงรอดูว่าหลังจากนี้ทางดีเอสไอจะทำอย่างไรต่อ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทนายอั๋น #ฮั้วเลือกสว #สว #กกต #DSI




ศูนย์ทนายฯ อัพเดท! 'ขนุน สิรภพ' อดอาหารเข้าสู่วันที่ 6 มีอาการหมดแรง ชาตามตัว ถูกนำตัวไปเช็คที่รพ.ราชทัณฑ์ รอติดตามผล แพทย์จะให้แอดมิทหรือไม่

 


ศูนย์ทนายฯ อัพเดท! 'ขนุน สิรภพ' อดอาหารเข้าสู่วันที่ 6 มีอาการหมดแรง ชาตามตัว ถูกนำตัวไปเช็คที่รพ.ราชทัณฑ์ รอติดตามผล แพทย์จะให้แอดมิทหรือไม่


วันนี้ (26 กุมภาพันธ์ 2568) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายวานว่า Update การประท้วงอดอาหารของ “ขนุน” สิรภพ ประจำวันที่ 26 ก.พ. 2568 (เข้าสู่วันที่ 6 ของการอดอาหาร)


เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แดน 4


เมื่อเช้านี้ ทนายได้เข้าเยี่ยมขนุนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผ่านการ VDO call ขนุนเล่าว่าสุขภาพตอนนี้เหมือนคนป่วย ร่างกายอยู่ในสภาวะพัก เพื่อสะสมพลังงาน มีอาการหมดแรง ไม่ได้มีอาการปวดหัวหรือไมเกรน มีแต่อาการวิงเวียนตอนลุกขึ้นเดิน หรือ ลุกขึ้นยืน บริเวณใต้เล็บยังคงมีสีม่วง และ อาการชาตามตัวยังมีอยู่เรื่อย ๆ


ขนุนเล่าว่าเมื่อวานสมองเริ่มหลอกหลอน ให้นึกถึงอาหารทั้งวัน ซึ่งเขาก็มองว่าเป็นเรื่องตลกดี และยังคิดว่าอาจจะลิสต์เมนูอาหาร ที่นึกถึงตอนที่อดอาหารไว้ด้วย


ขนุนแจ้งว่าหลังจากเยี่ยมเสร็จ เขาจะถูกส่งตัวไป ร.พ. ราชทัณฑ์ เพื่อไปตรวจร่างกาย


ต่อมาเวลา 13:42 น. ทนายได้รับแจ้งว่าขนุนเพิ่งถูกส่งตัวมาที่ ร.พ. ราชทัณฑ์ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปว่าแพทย์จะให้แอดมิทหรือไม่


สำหรับ “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ นักกิจกรรมวัย 24 ปี และผู้ต้องขังในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์มาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2567 หลังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี กรณีปราศรัยในการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563


ขนุน เห็นว่า เขาถูกคุมขังมาจะครบ 1 ปีแล้ว โดยแม้จะพยายามยื่นประกันตัวมาแล้วรวม 14 ครั้ง แต่ศาลยังคงไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยครั้งล่าสุดในการยื่นประกันตัวเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2568 ศาลฎีกายังคงมีคำสั่งไม่ให้ประกัน โดยระบุว่าศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเคยไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์มาแล้วหลายครั้ง เหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม


สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเสมอมา ก่อนหน้านี้เขาต่อสู้คดีมาตลอด ไปตามนัดคดีทุกครั้ง และได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปแล้ว โดยในคดีมาตรา 112 หลายคดี แม้ศาลชั้นต้นลงโทษ แต่จำเลยก็ยังได้รับการประกันตัว จึงไม่ทราบว่าศาลใช้มาตรฐานเช่นใดในการวินิจฉัย


แม้ก่อนหน้านี้เขาจะถูกทักท้วงถึงการตัดสินใจประท้วงด้วยการอดอาหาร จากทั้งทนายความและครอบครัว แต่วันนี้เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาคิดว่ามันเป็นการเดิมพันที่จะต้องเสี่ยง เขารอคอยมา 333 วัน แล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ไม่อยากเสียเวลาชีวิตไปเปล่า ๆ แล้ว


ขนุนจึงได้ประกาศตัดสินใจอดอาหาร ตั้งแต่เมื่อม้นที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมา และฝากข้อความทนายมาระบุว่า จนกว่าจะบรรลุความปรารถนา ไม่หยุดจนกว่าความไม่ชอบธรรมจะหมดไป


1. สร้างอิสรภาพที่ถาวรแก่ผู้ถูกกล่าวหาทางการเมืองโดยไร้เงื่อนไข


2. ยุติการนำมาตรา 112 มาใช้ในทางการเมือง

 

#saveขนุน #ขนุนสิรภพ #UDDnews #ยูดีดีนิวส์