ธิดา ถาวรเศรษฐ : ไม่ไว้วางใจ "นายกฯและรมต." ในปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม

ยูดีดีนิวส์ : 3 ก.พ. 63 เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมาพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้วันอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่ได้มีการกำหนดออกมาว่าจะเป็นเมื่อไหร่ 

ทั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านได้เปิดเหตุผลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้ง 6 รัฐมนตรี แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มาสนทนากับทุกท่านถึงเหตุผลที่ไม่ไว้วางใจ "นายกฯและรมต." เพิ่มเติม โดยตั้งประเด็นสนทนาในวันนี้ว่า

"ไม่ไว้วางใจ นายกฯและรมต. ในปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม"

อ.ธิดา กล่าวว่า การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีการตระเตรียมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภา เป็นเรื่องที่อยากให้ฝ่ายค้านทำงานให้ดีที่สุด แต่เราก็ควรมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ในการไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ เป็นเรื่องของประชาชนนอกรัฐสภาที่จะแสดงความคิดเห็น

อ.ธิดา กล่าวต่อว่า วันนี้ที่ดิฉันอยากจะเพิ่มเติมโดยจะพุ่งเป้าไปที่ "นายกฯ กับนายดอน ปรมัตถ์วินัย" เนื่องจากขณะนี้ประชาชนมีความทุกข์และเดือดร้อนในปัญหาสิ่งแวดล้อม/โรคภัยไข้เจ็บมาก 

คือไม่ว่าคุณจะมีการเมืองอย่างไร คุณจะมีความคิดเห็นต่างอย่างไร แต่โดยหลักการของมนุษยธรรมแล้ว เราต้องแก้ปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและสิ่งแวดล้อมมลพิษอย่างเต็มที่ คุณต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นรัฐบาล และนี่เป็นโอกาสอันดีถ้าคุณมีความสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ มันก็เป็นเครดิต อย่างน้อยประชาชนก็ยังรู้สึกได้ว่าแม้การมาของคุณจะไม่ชอบธรรมอย่างไรก็ตาม แต่เขาได้พยายามทำเต็มที่และได้ผล

สำหรับเหตุผลที่พรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯ ส่วนใหญ่จะเน้นประเด็นการเมืองและเศรษฐกิจ ส่วนนายดอน ปรมัตถ์วินัย นั้นอ้างถึงการไร้ประสิทธิภาพทางคุณธรรม จริยธรรม วันนี้ดิฉันจึงขอเพิ่มเติมปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม อันหมายถึงการดูแลโรคภัยไข้เจ็บด้วย

ปัญหาฝุ่น PM2.5 ปกคลุมกรุงเทพมหานคร (ภาพจากโพสต์ทูเดย์)

เริ่มด้วยเรื่อง "ฝุ่น" ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตมาก เรามีปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ยกตัวอย่าง การจัดอันดับคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษตามมาตรฐาน US AQI ของโลก

วันที่ 2 ก.พ. เราอยู่ในลำดับที่ 5 อยู่ที่ 173-174

วันที่ 3 ก.พ. เราอยู่ในลำดับที่ 7 อยู่ที่ 168

พอมีเรื่องไวรัสโคราน่ามา คนก็พูดเรื่องฝุ่น PM2.5 น้อยลง แต่มันอยู่ในสภาพวิกฤต!!!

อ.ธิดากล่าวว่า อย่าคิดว่าอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศแล้วมันจะรอดนะ คุณต้องมีเครื่องดักฝุ่นในแต่ละห้องด้วย ขณะนี้ค่าใช้จ่ายของประชาชนก็ต้องเพิ่มสิ่งนี้เข้าไป ลำพังมีเครื่องปรับอากาศในรถ ในบ้าน ไม่เพียงพอ อ.ธิดา เช็คค่าฝุ่น PM2.5 แล้วค่าใกล้เคียงกันกับข้างนอก นี่จึงเป็นสภาพที่วิกฤตมาก!!!

สภาพของโคโรน่าไวรัส ขณะนี้สถานการณ์รุนแรง ไข้อู่ฮั่นเพิ่มเป็น 361 ราย ติดเชื้อใหม่ในจีน 3,000 คน ยอดรวมพุ่งพรวด 17,205 คน นี่ก็แปลว่าประเทศจีนเอาไม่อยู่ นอกจากนั้นยังมีไข้หวัดนกเพิ่ม!!!

ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นว่า ในประเด็นสิ่งแวดล้อม รัฐบาลนี้อนุญาตให้มีโรงงานแปรรูปขยะ นั่นคือเราสร้างมลพิษจากโรงงานแปรรูปขยะซึ่งย้ายมาจากจีน ตรงนี้ดิฉันมองว่าถ้าพรรคฝ่ายค้านไม่ได้อภิปราย ประชาชนต้องพูด และดิฉันคิดว่าการพูดของดิฉันวันนี้ถ้าฝ่ายค้านได้ยิน ต้องเอาไปพูด

ไทยเป็นศูนย์กลางขยะอีเลคทรอนิคของโลก ขยะโยกจากจีนมาไทย 4 เดือน เกือบ 40,000 ตัน 

คุณมีนโยบายอย่างไร ทำไมถึงมีโรงงานแปรรูปขยะเข้ามา

คุณมีนโยบายต่อปัญหาคุณภาพอากาศและฝุ่นพิษอย่างเป็นรูปธรรม อยากให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นอย่างไรบ้าง 

ตัวเลขของมูลนิธิบูรณะนิเวศที่เอามาพูด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมโรงงาน หรือการควบคุมคุณภาพเรื่องอื่น ๆ โรงงานขยะ การปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ กฎหมายและระบบของราชการแก้ปัญหาเรื่องนี้แค่ไหน?

หรือเพียงแต่เรียกร้องให้ทหารมาฉีดน้ำ แก้ปัญหาขี้ฝุ่น

คุณมีมาตรการแม้กระทั่งการดูแลวัดที่มีเมรุเผาศพแค่ไหน? 

ตรงนี้ดิฉันขอเพิ่มเติมในเรื่องว่าดิฉันไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ในการแก้ปัญหา และรวมทั้งแก้ปัญหาเรื่อง "โคโรน่าไวรัส"

นี่โชคดีนะที่ประเทศไทย "หมอ" ขอเราเก่ง การแพทยของเรา ที่เราได้อยู่ในลำดับ 6 ไม่ใช่ผลงานของคุณนะ (รัฐบาลนี้) มันเป็นผลงานมาก่อนหน้านี้และมันเป็นความสามารถของแพทย์ไทย เป็นความสามารถของรัฐบาลชุดก่อน ๆ ที่แก้ปัญหาเรื่อง "ซาร์" แก้ปัญหาเรื่อง "ไข้หวัดนก" โรคอุบัติใหม่ต่าง ๆ ที่มีมาก่อนในอดีต

ดิฉันอ่าน 12 เหตุผลเบื้องหลังยังพาคนไทยออกจากอู่ฮั่นไม่ได้ ของนายดอน ดิฉันประเมินเอาว่า ทั้งนายดอนและนายกฯ เห็นชอบด้วยกัน จึงทำให้

1) การที่จะไปรับคนไทยจากประเทศจีน เรียกว่า "ประดักประเดิด" ไม่ยอมไปรับ

2) ไม่ยอมมีมาตรการใด ๆ ออกมาจนกระทั่งปัจจุบัน เช่น การที่เราเปิดวีซ่าฟรี เขาเรียกว่า Visa on arrival ก็คือมาทำวีซ่าในประเทศไทยซึ่งควรจะยกเลิก หรือมีมาตรการไปเลยว่าคนจีนในมณฑลหูเป่ยอย่างไรก็ตามขอวีซ่าไม่ได้ มาไม่ได้

ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำเลย แล้วมาอ้างเหตุผลของนายดอน ซึ่งดิฉันมองแล้วเป็นเหตุผลที่ใช้ไม่ได้ที่สุด เหลวไหล แสดงถึงความไม่มีวุฒิภาวะ แสดงเหมือนกับว่าเราเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เพราะนายดอนบอกว่าเขาเชื่อพื้นฐานที่จีนมีความมั่นใจในการควบคุมสถานการณ์ และแก้ปัญหาซาร์ได้ และจีนได้ขอให้ทุกประเทศเชื่อมั่นและสนับสนุน

ถามว่าทำไมจีนเขาจะไม่เขียนอย่างนั้น เขาก็ต้องบอกว่าคุณกรุณาเชื่อมั่น แต่ไม่ได้หมายความว่าการเขียนของประเทศจีนนั้นจะทำให้คุณไปวางน้ำหนักอยู่ที่ประเทศจีนจนคุณไม่ทำอะไรให้กับประเทศไทยเลย คุณเป็นใคร ประเทศไทยเป็นอย่างไร นี่มันแย่ยิ่งกว่าเป็นลูกน้องเขาอีกนะ เหมือนกับคุณไม่มีสมองหรือไม่ได้ใช้ความคิดในการที่จะดูแลประเทศไทยเลย

คุณเป็นรัฐบาลแบบไหนกันที่ไม่ห่วงใยประชาชน 

แล้วไม่มีมาตรการใด ๆ ในฐานะประเทศเอกราชที่มีความสามารถ กลับไปขึ้นอยู่กับประเทศจีนทั้งหมด

รวมทั้งอ้างว่า ทางการไทยได้รับทราบจากจีนว่ายังไม่มีนโยบายส่งเสริมการนำคนต่างชาติออกจากอู่ฮั่น แล้วทำไมประเทศอื่นเขาต้องไปรับคนกลับ 

อ.ธิดากล่าวว่า เพราะเขาไม่คิดแบบคุณไง เพราะเขาเป็นรัฐบาลที่รับผิดชอบต่อประชาชน ห่วงใยประชาชนที่ไปอยู่ในประเทศอื่น 

หรือเพราะว่าคุณเป็นมลฑลหนึ่งของประเทศจีน ต้องรอให้ สี จิ้นผิง สั่งการมา 

ดิฉันว่าเรามีรัฐบาลที่ไม่สมควรเรียกว่าเป็นรัฐบาลของประเทศไทย ทำตัวประหนึ่งเป็นมณฑลบางมลฑลของประเทศจีน ขึ้นอยู่กับ สี จิ้นผิง ดิฉันว่ารัฐบาลแบบนี้ อย่ามีเสียดีกว่า

นอกจากปัญหาการเมืองที่คุณแก้ไม่ได้ ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งเกิดความเหลื่อมล้ำ แล้วคุณแก้ไม่ได้ คุณใช้วิธีแก้แบบเอาเงินไปแจก แต่ปัญหาทางด้านสังคมซึ่งเกิดขึ้นกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะมีความคิดทางการเมืองอย่างไร ดิฉันถือว่านี่เป็นความผิดรุนแรงมาก 

1) ความผิดที่คุณทำให้มีโรงงานแปรรูปขยะ แล้วคุณต้องนำเข้าขยะจากต่างประเทศ ถามว่ามันบ้าแค่ไหน? คุณปล่อยให้ข้าราชการบอกว่าดี มีโรงงานเพิ่ม สุดท้ายทางโรงงานบอกว่าขยะทางเมืองไทยมีไม่พอต้องนำเข้า คุณก็อนุญาตให้นำขยะเข้า ถามว่าคุณเป็นรัฐบาลแบบไหนที่มาซ้ำเติมประเทศไทย

2) คุณไม่มีนโยบายในปัญหาสิ่งแวดล้อม ขณะนี้ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คนไทยนอกจากมีแมสปิดปากแล้ว อาจจะต้องสวมหัวแล้วมีท่ออากาศเป็นพิเศษเหมือนมนุษย์อวกาศ มีถังอากาศติดตัวไป...หรืออย่างไร?

อ.ธิดากล่าวอีกว่า แล้วตอนนี้ถ้าบ้านไหนมีคนป่วยและมีเด็ก ก็ต้องมีเครื่องกรอง PM2.5 ในพื้นที่ เพราะว่าเสี่ยง แล้วเวลาป่วยบางทีก็จะเป็นการป่วยด้วยโรคหวัด โรคภูมิแพ้ โรคอะไรซ้ำเติม ซึ่งมันบอกไม่ได้ เพราะว่าตัว PM2.5 มันไม่ใช่เชื้อโรค แต่มันทำให้คนเป็นโรคเพิ่มเติมง่ายขึ้น แล้ว PM2.5 อนุภาคมันเล็กมาก (ไม่สามารถมองเห็น) มันเข้าไปอยู่ในสมองได้ด้วยค่ะ ไม่รู้ใครสูดเข้าไปมากหรือเปล่า สมองมีน้อยอยู่แล้วเหลือแค่ 84,000 ถ้าไปเจอ PM2.5 อีกก็เรียบร้อยเลยค่ะ

มันเข้าไปในสมองได้ แล้วส่วนต่อสมองที่เชื่อม โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นเด็กเล็ก มันจะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองมีปัญหา นอกจากนี้มันเข้าไปสู่ปอดได้ และตัวนี้มันจะเป็นพาหะนำธาตุหรือโลหะที่เป็นพิษเข้าไปสู่ปอด PM2.5 มันไม่ใช่เชื้อโรค แต่มันทำให้เกิดปัญหาการเจ็บป่วยในร่างกายที่รุนแรงมากขึ้น

ดังนั้นดิฉันถือว่ารัฐบาลนี้กำลังฆ่าประชาชนให้ตายแบบผ่อนส่ง แต่ถ้าเป็นคนแก่และเด็กก็จะตายเร็วขึ้น ในทัศนะดิฉันไม่ใช่ "รัฐบาลเฮงซวย" อย่างเดียวนะ ดิฉันไม่อยากจะใช้คำพูดรุนแรง เอาเป็นว่า "ไม่ฉลาด" ก็แล้วกัน

ขณะนี้ปัญหาประเทศไทยวิกฤตมาก เรามีวิกฤตการเมือง เรามีวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือวิกฤตของสุขภาพ ไม่ว่าคุณจะมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันก็ตาม แต่เรื่องมนุษยธรรม (ไม่ต้องพูดถึงจริยธรรม) อย่างที่สุดคนที่เป็นรัฐบาลต้องดูแลประชาชนในปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมก่อนอื่น

คุณต้องมีอากาศที่ดีให้กับประชาชนหายใจ
คุณต้องมีน้ำสะอาดให้กับประชาชน ไม่ใช่ไปบอกว่า "มันเค็มก็ให้ไปต้ม"
คุณต้องแก้ปัญหาโรคระบาดได้

อันนี้มันเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่รัฐบาลต้องทำ แต่คุณสอบไม่ผ่าน!!!

"ยังไม่ต้องพูดเรื่องการเมือง ยังไม่ต้องพูดเรื่องเศรษฐกิจ
รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้แล้วค่ะ ขออภิปรายไม่ไว้วางใจ" อ.ธิดากล่าวในที่สุด