ระบอบอำมาตยาธิปไตยไทยอยู่คู่กับระบอบศักดินาและพระมหากษัตริย์ไทยมาช้านานแล้ว เพราะขุนนางไทยได้แอบอิงมีฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทย โดยล้อมรอบพระมหากษัตริย์และมีบทบาทกำหนดว่าใครจะเป็นพระมหากษัตริย์มาช้านานแล้ว นอกจากนั้นยังมีบทบาทในการปกครองในระบอบศักดินา คุมไพร่ คุมเมือง กระทั่งควบคุมพระมหากษัตริย์ ยกเว้นยุคสมัยที่พระมหากษัตริย์มีความโดดเด่นในความสามารถหรือในการรบ จึงจะกดขุนนางเสนาอำมาตย์ให้ขึ้นต่อพระมหากษัตริย์ได้ เช่น ในยุครัชกาลที่ 5, ยุคสมเด็จพระนเรศวร เป็นต้น ถ้ากษัตริย์อ่อนแอ ขุนนางก็จะปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ดังเช่นอยุธยาหรือรัชกาลที่ 1 ตั้งราชวงศ์จักรี เป็นต้น
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ถือเป็นการเปลี่ยนระบอบพระมหากษัตริย์ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร มาเป็นระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุด และพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แปลว่าไม่มีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแล้วก็จริง แต่การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างนิ่มนวลในประเทศไทย ทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่ถูกทำลายและแข็งขืนต่อระบอบประชาธิปไตยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมไทยไม่ถูกกวาดล้างแบบเดียวกับประเทศอาณานิคมทั้งหลาย และไม่ถูกกวาดล้างโดยการปฏิวัติแบบเสียเลือดเนื้อ ไม่ถูกขุดรากถอนโคนในประเทศไทย หมายความว่าขุนนางยุคเก่าได้เปลี่ยนมาเป็นชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมในฐานะข้าราชการ ทหาร พลเรือนตำแหน่งสูงหรือตำแหน่งที่ปรึกษาระดับสูงต่าง ๆ ทั้งที่ดำรงตำแหน่งในอดีตหรือปัจจุบัน รวมทั้งผู้ที่ได้ตำแหน่งสูงใด ๆ โดยไม่ยึดโยงกับประชาชน ไม่ยึดโยงกับระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดโยงกับกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมและระบบอุปถัมภ์ ก็จะกลายเป็นส่วนเครือข่ายของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ยังไม่สลายตัวไปเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเป็นปฏิปักษ์โดยธรรมชาติกับพรรคการเมือง นักการเมืองในเศรษฐกิจทุนนิยมที่ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองประเทศ แล้วเบียดขับให้กลุ่มผู้ปกครองแบบเดิมตกเวทีประวัติศาสตร์ไป
ธิดา ถาวรเศรษฐ
4 ม.ค. 59