ถ้านับวาระการปราบปรามประชาชนรุนแรงและจับกุมคุมขังในปี 2519 ก็ถึงเวลาครบ 40 ปีแห่งการเริ่มต้นศักราชแห่งการใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร และใช้ปฏิบัติการสร้างมวลชนเพื่อปะทะกับมวลชนที่ลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้านอำนาจรัฐจากเวลานั้นมาจนบัดนี้ การสร้างมวลชนมาปะทะมวลชนเพื่ออ้างเป็นเหตุให้มีการยึดอำนาจทำการรัฐประหารในช่วงเวลายุคหลัง พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา จึงเป็นยุทธวิธีสำคัญของอนุรักษ์นิยมไทย
พลังและเครือข่ายอนุรักษ์นิยมในประเทศไทยได้ใช้ยุทธศาสตร์ในการรักษาอำนาจของกลุ่มตน โดยการทำสงครามป้อมค่าย ใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่อต้านพลังประชาชนฝ่ายเสรีประชาธิปไตย โดย
ประการแรกใช้สื่อ วรรณกรรม และการศึกษา โฆษณา ปลูกฝังกล่อมเกลาความคิดแบบอนุรักษ์นิยม พร้อมกับโจมตีฝ่ายก้าวหน้าและเสรีนิยม โดยใช้คำขวัญประจำค่ายอนุรักษ์นิยมคือ “คนดีต้องไม่ให้คนเลวมีอำนาจปกครอง”
ประการต่อมา ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ จัดการนักการเมืองและประชาชนฝ่ายเสรีนิยมและประชาธิปไตยอย่างที่ไม่สนใจสังคมไทย สังคมโลก ว่าจะมองฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ยึดอำนาจรัฐจากประชาชนไปว่าจะมองเป็นแบบไหน? ย่ำแย่เพียงใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้องค์กรอิสระแบบ ป.ป.ช. และองค์กรรัฐอื่น ๆ ศาลรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นในยุทธศาสตร์ประสานเครือข่ายอนุรักษ์นิยม ทำสงครามป้อมค่าย รักษาพื้นที่ในฐานะผู้ปกครองไว้อย่างเต็มกำลัง ใช้ยุทธวิธี กลยุทธ์ทุกอย่างเพื่อทำลายล้างพลังอำนาจใหม่ที่ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนมาเป็นผู้ปกครอง
ประการที่สาม การจัดตั้งกลุ่มมวลชนอนุรักษ์นิยมที่พร้อมก่อความรุนแรงต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่ใช่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมซึ่งใช้ได้ผลในปี 2519, 2548-2549 และ 2556-2557
ประการที่สี่ การใช้กองทัพเพื่อก่อความรุนแรงในระดับสูงสุด คือการประกาศกฎอัยการศึกและการทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ
ประการที่ห้า ใช้นักวิชาการ เนติบริกร เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ออกกฎหมายใหม่ และเข้าสู่องค์กรอิสระต่าง ๆ ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างกติกาสูงสุดและการบังคับใช้ผ่านองค์กรเนติบริการเหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ยาวนานที่สุดจนกว่าพรรคการเมืองของกลุ่มอนุรักษ์นิยมหรือพรรคการเมืองในเครือข่ายกองทัพจะมีอำนาจในฐานะผู้ปกครอง
พลังทั้ง 5 ฝ่ายนี้ล้วนร่วมกันในยุทธศาสตร์เดียวกัน คือ ยุทธศาสตร์ป้อมค่ายและทำลายล้าง ไม่ใช่ยุทธศาสตร์สร้างพื้นที่และโอกาสเป็นผู้ปกครองภายใต้กติกาประชาธิปไตย
นอกจากใช้ยุทธศาสตร์ป้อมค่ายทำลายล้างฝั่งตรงข้ามเพื่อรักษาพื้นที่ของผู้ปกครองไว้ เมื่อดูยุทธวิธีแล้วก็ไม่มีการจำกัดรูปแบบว่าต้องรักษาภาพฝ่ายคนดีมีคุณธรรม เพื่อให้ได้ชัยชนะในการต่อสู้แล้ว สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ “ลับ ลวง พราง” หรือกลยุทธ์ “สร้างสถานการณ์” “การใส่ร้าย ป้ายสี พูดเท็จ” หรือกลยุทธ์ “หลอกลวงและอุ้มฆ่า” ปราบปรามโหดร้ายป่าเถื่อนอย่างไรก็ได้ ขอให้บรรลุภารกิจในการทำลายล้างให้สิ้นซากก็เป็นเรื่องถูกต้องทั้งสิ้น
ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมในประเทศอารยทั้งหลายปัจจุบันเลือกใช้ยุทธศาสตร์แย่งชิงพื้นที่อำนาจการปกครองในฐานะชนชั้นนำโดยใช้วิถีทางในระบอบประชาธิปไตย โดยการตั้งพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมที่มุ่งเอาชนะการเลือกตั้ง แข่งขันตามกติกาประชาธิปไตย ดังที่พรรคอนุรักษ์นิยมในประเทศต่าง ๆ ประสบความสำเร็จ เช่น ในประเทศอังกฤษ, ประเทศในยุโรป และภูมิภาคอื่น ๆ โดยเขาไม่ใช้ยุทธศาสตร์ทำลายล้างหรือสร้างป้อมค่ายต่อต้านฝ่ายก้าวหน้าและเสรีนิยมดังเช่นที่เกิดในประเทศไทยนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
ป่วยการพูดเรื่องปรองดอง เรื่องปฏิรูปเพื่อแก้ความขัดแย้ง ในเมื่อความเป็นจริงความอาฆาตพยาบาททำลายล้างดำรงอยู่อย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นเป็นลำดับ เพราะต้องการดำเนินการต่อจากรัฐประหาร 2 ครั้งนี้ ให้อำนาจอนุรักษ์นิยมที่ไม่ได้มาจากฉันทามติประชาชนอยู่ได้ยาวนานหรือตลอดไป โดยการเปลี่ยนกติกา เปลี่ยนกฎหมาย เปลี่ยนความคิด ล้างสมองและทำความสะอาดประเทศนี้ให้มีชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยม สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ ปัญญาชน เป็นอนุรักษ์นิยม อำนาจบริหาร, นิติบัญญัติ, ตุลาการ และอำนาจที่สี่ ล้วนเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ตลอดจนควบคุมประชาชนให้มีแกนนำและโลกทัศน์แบบอนุรักษ์นิยมทั้งหมด
ถามว่าพวกท่านอาจควบคุมประเทศไทยได้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่โลกและความเป็นจริงของสถานการณ์จะไม่อนุญาตให้ถอยหลังเป็นโลกอนุรักษ์นิยมสวนกระแสโลกาภิวัตน์ ในขณะที่ประชาชนจะเติบโตทางความคิดจิตสำนึกต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้นทุกวัน เราไม่เรียกร้องให้ท่านเสียสละและยอมแพ้ เพียงแต่เปลี่ยนยุทธศาสตร์จากยุทธศาสตร์ป้อมค่ายและทำลายล้างมาเป็นยุทธศาสตร์เข้าสู่กติกาประชาธิปไตย เพื่อแย่งชิงพื้นที่ในฐานะผู้ปกครอง ท่านยังมีโอกาสได้พื้นที่นั้นด้วยการชนะใจประชาชน ท่านไม่ต้องใช้อาวุธและกฎหมายของท่านมาบังคับ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทำลายล้างให้เป็นยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ ลองคิดดูว่าท่านจะยั่วยุประชาชนให้ใช้ยุทธศาสตร์แบบเดียวกับท่าน หรืออย่างไร?
ธิดา ถาวรเศรษฐ
4 ม.ค. 59