ยูดีดีนิวส์ : 24 เม.ย. 63 วันนี้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มีการทำเฟสบุ๊คไลฟ์ โดย อ.ธิดา คิดว่าถึงเวลาที่จะพูดถึงรัฐบาลที่บริหารงานในช่วงสถานการณ์สู้ COVID-19 โดยสนทนาในประเด็น
"บทเรียนรัฐบาลอำนาจนิยมในสถานการณ์สู้ศึก COVID-19"
อ.ธิดากล่าวว่า ดูเหมือนกับว่ารัฐบาลอาจจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำได้ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ได้รับคำชมเชย
ดิฉันอยากจะเรียนว่า เราต้องเข้าใจว่าประเทศเราไม่ใช่ประเทศมั่งคั่ง โครงสร้างของเรามีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนมั่งมี 10% กับคน 90%
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างคน 1% กับคน 99% และถ้ามานับเจ้าสัว 20 คน อันนี้เรียกว่า .0001% โครงสร้างที่มีความเหลื่อมล้ำมาก ประเทศของเราต้องจัดอยู่ในประเทศที่เรียกว่า "ประเทศกำลังพัฒนา"
พูดจริง ๆ แล้วก็คือในโลกนี้ก็มีความเหลื่อมล้ำ นั่นคือประเทศที่มั่งคั่ง กับประเทศที่ยากจน เราไม่ได้จัดอยู่ในฐานะประเทศมั่งคั่ง เราอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะประเทศยากจนสุด ๆ เราต้องจัดประเทศเราในฐานะประเทศที่ค่อนข้างยากจนเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศที่มั่งคั่ง
เมื่อมีสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนที่ต้องสู้ภัยวิกฤตของโรคภัย COVID ก็จะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนักหน่วง
อย่าไปกระดี๊กระด๊าว่า นี่ไงเราเหลือผู้ติดใหม่สิบกว่าคน (ซึ่งจริง ๆ ดิฉันไม่แน่ใจว่าเหลือสิบกว่าคนจริง อาจจะมีตัวเลขที่ยังไม่ได้สำแดงออกมาจำนวนหนึ่ง) แต่ด้วยโครงสร้างของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ได้รับผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อตอนวิกฤตต้มยำกุ้งมาก
ในขณะนี้ เมื่อมีการปิดประเทศ ปิดสถานที่ทำงาน ให้มี Social Distance ถูกต้อง สุขภาพต้องมาเป็นที่หนึ่งก็จริง แต่ผลกระเทือนต่อชีวิตประชาชนนั้น มีผลกระเทือนทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่เป็นจำนวนมาก
ตรงนี้เมื่อเรามาอยู่ในระบอบซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แนวโน้มในการจำกัดสิทธิเสรีภาพและความไม่เท่าเทียม คือเราอยู่ในสภาพไม่เท่าเทียมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่แล้ว มาเจอปัญหาวิกฤต COVID ความไม่เท่าเทียมมันจะฟ้องร้อง ดังปรากฎการณ์ที่เราเห็นก็คือ เมื่อมีการแจกข้าว แจกเงิน
เราจะไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ภาพที่ผู้คนพากันไปเข้าแถวแย่งชิง แล้วรัฐบาลใช้วิธีง่าย ๆ ก็คือ "ห้ามแจก" ไม่อย่างนั้นก็เอามาให้รัฐแจกเอง หรือจำกัด อย่างเช่นคุณต้องไปแจกจุดนี้นะ มีการบังคับ มีการไปจับ ไปฟ้องร้องคนที่แจก
ปรากฎการณ์แบบนี้ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อน!
ท่านอาจจะภาคภูมิใจที่มีคนติดเชื้อน้อยลง
แต่ท่านจะภาคภูมิใจไหมที่
- ประชาชนจะอดตาย!
- ประชาชนไปแย่งอาหาร
คุณไปจับคนไร้บ้าน บอกว่าเขาขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เขาไม่มีบ้านอยู่ คุณรู้หรือเปล่า?
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันฟ้องร้องปัญหาโครงสร้างของอำนาจ, ปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำในสังคม
คุณมีสิทธิ์จะภาคภูมิใจ แต่สายตาคุณมองเห็นความทุกข์ของประชาชนหรือเปล่า?
ที่ดิฉันพูดถึงบทเรียนรัฐบาลอำนาจนิยมในถสานการณ์สู้ศึก COVID-19 คือคุณมีความภาคภูมิใจในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดิฉันอยากจะประมวลส่วนหนึ่งที่รัฐบาลนี้จะต้องถอดบทเรียน
ซึ่งในช่วงหลังนี้คุณได้มีคณะทำงาน มีการประสานงานกับคณะแพทย์และฝ่ายสาธารณสุขระดับหนึ่งเพื่อที่จะแก้ปัญหา แต่เราจำเป็นที่จะต้องชี้ให้เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่องตั้งแต่ต้น คือเราเป็นประเทศยากจน มีความเหลื่อมล้ำ ปัญหาต่าง ๆ เราต้องป้องกันแต่เนิ่น ๆ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม มิฉะนั้นพอไฟมันลุกลามขึ้นมาโครงสร้างและทรัพยากรของประเทศเรามันเอาไม่อยู่ ซึ่งผิดกับประเทศมั่งคั่งที่เขามีทรัพยากรเหลือเฟือ อย่ามาบอกว่าเขามีผู้ติดเชื้อตั้งเยอะแยะ อันนั้นเป็นปัญหาทางสาธารณสุขและสุขภาพ แต่ปัญหาที่กระทบกระเทือนด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมนั้น เราจำเป็นที่จะต้องชี้จุดอ่อนและบกพร่อง (อย่ามาชี้หน้ากันนะว่ารัฐบาลนี้แตะต้องไม่ได้ ตำหนิอะไรก็ไม่ได้ ให้ชมอย่างเดียว)
ประการแรกดิฉันอยากจะพูดถึงปัญหาความผิดพลาดของผู้นำรัฐบาล (ซึ่งเคยพูดไปแล้ว) ก็คือ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ทั้งองค์ความรู้และภาวะผู้นำ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องสรุปบทเรียนอันแรกว่า ภาวะผู้นำในยามวิกฤต COVID-19 คุณไม่มียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี คุณไม่รู้เลยว่าโรคระบาดติดเชื้อจากคนสู่คนที่เป็นเหมือนสงครามโรค คุณจะต้องมียุทธศาสตร์อย่างไรในการต่อสู้
อันนี่เป็นบทเรียนว่า คุณต้องมียุทธศาสตร์ในประเด็นของการระบาดของโรคในเรื่องนี้ และต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณต้องเปลี่ยนใหม่ ไม่ใช่เอาความมั่นคงของประเทศไปผูกกับอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่คุณต้องผูกอยู่กับสุขภาพกาย, สุขภาพจิตที่ดี และสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน
ปัญหายุทธศาสตร์ของผู้บริหารในการต่อต้านโรคระบาดต้องมี ไม่ใช่ไม่มี อันนี้ก็คือสอบตกในทัศนะของดิฉัน ส่วนที่คุณพยายามมาปรับแก้ทีหลัง ดิฉันไม่ได้ให้คะแนนในจุดนั้น คุณมาแก้ตัวในช่วงหลัง แต่ไอ้ที่ตกไปแล้วมันทำให้เราสูญเสียไปแล้ว ซึ่งเราแก้ไม่ได้
ในส่วนประการที่สองก็คือ ไม่มีการทำงานด้านการข่าว นี่ก็ถือว่าสอบตกเหมือนกัน อันนี้ที่จริงมันเป็นเรื่องความมั่นคงนะ อย่างเช่นประเทศเวียดนาม, ไต้หวัน อันนี้เขามีการข่าว แม้กระทั่งฮ่องกง เขาก็ยังทำได้ดี
เวียดนามมีพรมแดนติดกับจีน ไต้หวัน-ฮ่องกง ก็ใกล้ชิดกับจีน แต่เขามีงานการข่าว ก็คือสามารถที่จะรู้ได้ว่าประเทศจีนกำลังมีปัญหาอะไรอยู่ และจะต้องมาแก้ในประเทศ
ประเทศเราพูดง่าย ๆ ว่าถือเป็นประเทศมหามิตร จีนทำอะไรก็เชื่อหมด เขาบอกใจเย็น ๆ ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวเขาแก้ปัญหาเอง หมายความว่า ไม่ว่าจีนจะทำอะไร? อย่างไร? คุณไม่มีการข่าวเลย แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นอิสระ ไม่ได้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
ดิฉันเบื่อมากที่จะต้องไปอยู่ภายใต้ของการนำที่ไม่มีองค์ความรู้ แล้วต้องไปขึ้นอยู่กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นองค์กรการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศชาติ ดิฉันเบื่อมากกับปัญหาที่ว่าภาวะการนำที่ไม่มีกึ๋น ต้องถือว่า "สอบตก"
ประการที่สามก็คือการประสานของรัฐบาลระหว่าง
- กระทรวงการต่างประเทศ
- กระทรวงสาธารณสุข
- กระทรวงการคมนาคม
ทำให้การตัดสินใจในการ "บล็อคคนที่เข้ามา" เพราะเราได้บอกแล้วว่า เชื้อโรคมันมากกับคนภายนอก ถ้าคุณไม่บล็อคแล้วปล่อยให้นำเชื้อเข้ามาง่าย ๆ นั่นก็คือคุณจบเลยตั้งแต่ต้น การประสานงานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง "ล้มเหลว" เพราะคุณไม่มีคณะทำงาน หรือถ้าคุณปล่อยให้เข้ามา แต่ถ้าคุณมีการประสานงานที่ดี ปัญหาเริ่มต้นก็จะไม่หนักหน่วงขนาดนี้
การบริหารหลังจากที่มีความเสียหายจนคณะแพทย์ต้องเข้ามาบอกว่าคุณปล่อยอย่างนี้ไม่ได้ ก็เริ่มมีการปิดล็อค บล็อคอะไรต่าง ๆ มีการรับฟัง นี่เป็นความพยายามจะแก้ปัญหา
ดังที่เราได้พูดไปก่อนแล้วก็คือการบริหารจัดการของรัฐบาลอำนาจนิยมก็คือ จะขัดขวางโดยอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นคนแจกอาหาร การที่ประชาชนจะช่วยประชาชนกันเอง ไปเน้นการต่อต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนี้เป็นต้น
ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ ไม่มีการดำเนินคดี คุณไปจับชาวบ้านในเรื่องหน้ากากอนามัย รายเล็ก ๆ ถูกจับเป็นแถว คำถามว่ารายใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี หายเงียบไปเลย คุณปล่อยให้ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยและ PPE ที่ผลิตในประเทศไทยส่งของออกไปต่างประเทศได้โดยอ้าง BOI ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่! เพราะในกฎหมาย BOI คุณสามารถที่จะขอร้องหรือห้ามไม่ให้ส่งออกโดยอ้างความจำเป็นได้
ทั้งหมดนี้ก็คือการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดการกับประชาชนคนเล็กคนน้อย รวมทั้งการที่พยายามจะให้คนกลัว บอกว่าหน้ากากพอ เจ้าหน้าที่คนไหนไปโวยวายหรือขอรับบริจาค ไปห้ามเขาหมด อันนี้เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุขด้วย เจ้าหน้าที่ที่ไปร้อง โรงพยาบาลที่ขอรับบริจาค ไปห้ามเขาหมด ให้ปิดปาก ไม่ให้พูด ต้องบอกว่าทุกอย่างทำดีหมด กระทรวงก็ทำดี รัฐบาลก็ทำดี
ดิฉันมองว่า นี่เป็นการใช้อำนาจของรัฐบาล อำนาจของโครงสร้าง อำนาจนิยม มาจัดการกับคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ได้จัดการในสิ่งที่ควรจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตรายใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกอุปกรณ์ทั้ง ๆ ที่คนภายในมีใช้ไม่พอ
นับต่อไปนี้ถ้าคุณไม่ฟังประชาชน ถ้าคุณไม่ฟังผู้แทนราษฎร หรือคุณไม่ฟังทีมงานสาธารณสุข คุณจะเปิดล็อค หรือคุณจะทำต่อไป ถ้าคุณยังเป็นรัฐบาลอำนาจนิยมที่ขึ้นต่อท่านผู้นำอย่างเดียว คุณเอาแต่หน่วยงานความมั่นคงภายในของคุณซึ่งไม่สันทัดทั้งงานต่างประเทศ ไม่สันทัดทั้งข้อมูลในประเทศจริง
ดิฉันก็มองว่า ต่อไปนี้มันจะต้องไปเกี่ยวข้องกับการเปิดล็อค คุณจะเปิดล็อคยังไงและคุณจะบริหารต่อไปอย่างไร ตรงนี้มันสำคัญมาก ถ้าคุณยังใช้ท่วงทำนองอำนาจนิยมในการจัดการประชาชนและผู้เห็นต่าง ถ้าคุณยังใช้ท่วงทำนองเผด็จการในการปิด/เปิดเมืองและประเทศ
ดิฉันคิดว่าเราจะเจอปัญหาครั้งใหญ่ คุณอย่าคิดว่าอันนี้มันดีแล้ว ดิฉันยังคิดว่า คำย่อ ผนงรจตกม มันยังใช้ได้อยู่ เพราะว่านี่มันเป็นเรื่องของอำนาจนิยม มันไม่ใช่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ฟังเสียงประชาชน
เพราะฉะนั้น บทเรียนของรัฐบาลอำนาจนิยมนี้ มันได้ทำให้เกิดความทุกข์มากกับประชาชน เพราะคุณจำเป็นต้องใช้มาตรการรุนแรงกับประเทศที่มีโครงสร้าง มีปัญหาความยากจนอยู่แล้ว มันซ้ำเติมชีวิตประชาชนจนเขาบอก "เขาไม่กลัวตาย แต่เขากลัวอดอยาก"
ดังนั้นปัญหาของเรา ปัญหาการตายมันก็เป็นปัญหาหนึ่ง ปัญหาที่จะทำให้คนติดเชื้อน้อยลงก็เป็นปัญหาหนึ่ง แต่มันเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ถ้าเราทำไม่ดี หายนะที่รออยู่ข้างหน้าอาจจะไม่ใช่จำนวนตัวเลขการตาย
จำนวนตัวเลขการตายของเราอาจจะดูดีกว่าประเทศอื่น แต่ตัวเลขคนฆ่าตัวตาย ตัวเลขของความทุกข์ยาก คนอดตายของเรามันจะมากกว่าประเทศอื่น เพราะว่าโครงสร้างของเรามันแตกต่างกัน
"สุดท้ายนี้ดิฉันก็ยังมองว่า ถ้ารัฐบาลอำนาจนิยมไม่รับฟังประชาชน ไม่รับฟังหน่วยงานสาธารณสุขอย่างมีเหตุผล และไม่รับฟังผู้แทนราษฎร ดิฉันคิดว่าเราจะหายนะถ้วนหน้า เราต้องการสุขภาพดีถ้วนหน้า เราต้องการการศึกษาดีถ้วนหน้า เราต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดีถ้วนหน้า แต่ว่ามันจะไม่ใช่ รัฐบาลอำนาจนิยมจะทำให้เราหายนะถ้วนหน้า" อ.ธิดากล่าวในที่สุด
"บทเรียนรัฐบาลอำนาจนิยมในสถานการณ์สู้ศึก COVID-19"
อ.ธิดากล่าวว่า ดูเหมือนกับว่ารัฐบาลอาจจะรู้สึกภาคภูมิใจที่ทำได้ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ได้รับคำชมเชย
ดิฉันอยากจะเรียนว่า เราต้องเข้าใจว่าประเทศเราไม่ใช่ประเทศมั่งคั่ง โครงสร้างของเรามีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนมั่งมี 10% กับคน 90%
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างคน 1% กับคน 99% และถ้ามานับเจ้าสัว 20 คน อันนี้เรียกว่า .0001% โครงสร้างที่มีความเหลื่อมล้ำมาก ประเทศของเราต้องจัดอยู่ในประเทศที่เรียกว่า "ประเทศกำลังพัฒนา"
พูดจริง ๆ แล้วก็คือในโลกนี้ก็มีความเหลื่อมล้ำ นั่นคือประเทศที่มั่งคั่ง กับประเทศที่ยากจน เราไม่ได้จัดอยู่ในฐานะประเทศมั่งคั่ง เราอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะประเทศยากจนสุด ๆ เราต้องจัดประเทศเราในฐานะประเทศที่ค่อนข้างยากจนเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศที่มั่งคั่ง
เมื่อมีสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนที่ต้องสู้ภัยวิกฤตของโรคภัย COVID ก็จะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนักหน่วง
อย่าไปกระดี๊กระด๊าว่า นี่ไงเราเหลือผู้ติดใหม่สิบกว่าคน (ซึ่งจริง ๆ ดิฉันไม่แน่ใจว่าเหลือสิบกว่าคนจริง อาจจะมีตัวเลขที่ยังไม่ได้สำแดงออกมาจำนวนหนึ่ง) แต่ด้วยโครงสร้างของประเทศทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ได้รับผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อตอนวิกฤตต้มยำกุ้งมาก
ในขณะนี้ เมื่อมีการปิดประเทศ ปิดสถานที่ทำงาน ให้มี Social Distance ถูกต้อง สุขภาพต้องมาเป็นที่หนึ่งก็จริง แต่ผลกระเทือนต่อชีวิตประชาชนนั้น มีผลกระเทือนทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่เป็นจำนวนมาก
ตรงนี้เมื่อเรามาอยู่ในระบอบซึ่งไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แนวโน้มในการจำกัดสิทธิเสรีภาพและความไม่เท่าเทียม คือเราอยู่ในสภาพไม่เท่าเทียมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่แล้ว มาเจอปัญหาวิกฤต COVID ความไม่เท่าเทียมมันจะฟ้องร้อง ดังปรากฎการณ์ที่เราเห็นก็คือ เมื่อมีการแจกข้าว แจกเงิน
เราจะไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ภาพที่ผู้คนพากันไปเข้าแถวแย่งชิง แล้วรัฐบาลใช้วิธีง่าย ๆ ก็คือ "ห้ามแจก" ไม่อย่างนั้นก็เอามาให้รัฐแจกเอง หรือจำกัด อย่างเช่นคุณต้องไปแจกจุดนี้นะ มีการบังคับ มีการไปจับ ไปฟ้องร้องคนที่แจก
ปรากฎการณ์แบบนี้ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อน!
ท่านอาจจะภาคภูมิใจที่มีคนติดเชื้อน้อยลง
แต่ท่านจะภาคภูมิใจไหมที่
- ประชาชนจะอดตาย!
- ประชาชนไปแย่งอาหาร
คุณไปจับคนไร้บ้าน บอกว่าเขาขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เขาไม่มีบ้านอยู่ คุณรู้หรือเปล่า?
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันฟ้องร้องปัญหาโครงสร้างของอำนาจ, ปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำในสังคม
คุณมีสิทธิ์จะภาคภูมิใจ แต่สายตาคุณมองเห็นความทุกข์ของประชาชนหรือเปล่า?
ที่ดิฉันพูดถึงบทเรียนรัฐบาลอำนาจนิยมในถสานการณ์สู้ศึก COVID-19 คือคุณมีความภาคภูมิใจในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดิฉันอยากจะประมวลส่วนหนึ่งที่รัฐบาลนี้จะต้องถอดบทเรียน
ซึ่งในช่วงหลังนี้คุณได้มีคณะทำงาน มีการประสานงานกับคณะแพทย์และฝ่ายสาธารณสุขระดับหนึ่งเพื่อที่จะแก้ปัญหา แต่เราจำเป็นที่จะต้องชี้ให้เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่องตั้งแต่ต้น คือเราเป็นประเทศยากจน มีความเหลื่อมล้ำ ปัญหาต่าง ๆ เราต้องป้องกันแต่เนิ่น ๆ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม มิฉะนั้นพอไฟมันลุกลามขึ้นมาโครงสร้างและทรัพยากรของประเทศเรามันเอาไม่อยู่ ซึ่งผิดกับประเทศมั่งคั่งที่เขามีทรัพยากรเหลือเฟือ อย่ามาบอกว่าเขามีผู้ติดเชื้อตั้งเยอะแยะ อันนั้นเป็นปัญหาทางสาธารณสุขและสุขภาพ แต่ปัญหาที่กระทบกระเทือนด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมนั้น เราจำเป็นที่จะต้องชี้จุดอ่อนและบกพร่อง (อย่ามาชี้หน้ากันนะว่ารัฐบาลนี้แตะต้องไม่ได้ ตำหนิอะไรก็ไม่ได้ ให้ชมอย่างเดียว)
ประการแรกดิฉันอยากจะพูดถึงปัญหาความผิดพลาดของผู้นำรัฐบาล (ซึ่งเคยพูดไปแล้ว) ก็คือ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ทั้งองค์ความรู้และภาวะผู้นำ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องสรุปบทเรียนอันแรกว่า ภาวะผู้นำในยามวิกฤต COVID-19 คุณไม่มียุทธศาสตร์ ยุทธวิธี คุณไม่รู้เลยว่าโรคระบาดติดเชื้อจากคนสู่คนที่เป็นเหมือนสงครามโรค คุณจะต้องมียุทธศาสตร์อย่างไรในการต่อสู้
อันนี่เป็นบทเรียนว่า คุณต้องมียุทธศาสตร์ในประเด็นของการระบาดของโรคในเรื่องนี้ และต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณต้องเปลี่ยนใหม่ ไม่ใช่เอาความมั่นคงของประเทศไปผูกกับอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่คุณต้องผูกอยู่กับสุขภาพกาย, สุขภาพจิตที่ดี และสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน
ปัญหายุทธศาสตร์ของผู้บริหารในการต่อต้านโรคระบาดต้องมี ไม่ใช่ไม่มี อันนี้ก็คือสอบตกในทัศนะของดิฉัน ส่วนที่คุณพยายามมาปรับแก้ทีหลัง ดิฉันไม่ได้ให้คะแนนในจุดนั้น คุณมาแก้ตัวในช่วงหลัง แต่ไอ้ที่ตกไปแล้วมันทำให้เราสูญเสียไปแล้ว ซึ่งเราแก้ไม่ได้
ในส่วนประการที่สองก็คือ ไม่มีการทำงานด้านการข่าว นี่ก็ถือว่าสอบตกเหมือนกัน อันนี้ที่จริงมันเป็นเรื่องความมั่นคงนะ อย่างเช่นประเทศเวียดนาม, ไต้หวัน อันนี้เขามีการข่าว แม้กระทั่งฮ่องกง เขาก็ยังทำได้ดี
เวียดนามมีพรมแดนติดกับจีน ไต้หวัน-ฮ่องกง ก็ใกล้ชิดกับจีน แต่เขามีงานการข่าว ก็คือสามารถที่จะรู้ได้ว่าประเทศจีนกำลังมีปัญหาอะไรอยู่ และจะต้องมาแก้ในประเทศ
ประเทศเราพูดง่าย ๆ ว่าถือเป็นประเทศมหามิตร จีนทำอะไรก็เชื่อหมด เขาบอกใจเย็น ๆ ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวเขาแก้ปัญหาเอง หมายความว่า ไม่ว่าจีนจะทำอะไร? อย่างไร? คุณไม่มีการข่าวเลย แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นอิสระ ไม่ได้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
ดิฉันเบื่อมากที่จะต้องไปอยู่ภายใต้ของการนำที่ไม่มีองค์ความรู้ แล้วต้องไปขึ้นอยู่กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นองค์กรการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศชาติ ดิฉันเบื่อมากกับปัญหาที่ว่าภาวะการนำที่ไม่มีกึ๋น ต้องถือว่า "สอบตก"
ประการที่สามก็คือการประสานของรัฐบาลระหว่าง
- กระทรวงการต่างประเทศ
- กระทรวงสาธารณสุข
- กระทรวงการคมนาคม
ทำให้การตัดสินใจในการ "บล็อคคนที่เข้ามา" เพราะเราได้บอกแล้วว่า เชื้อโรคมันมากกับคนภายนอก ถ้าคุณไม่บล็อคแล้วปล่อยให้นำเชื้อเข้ามาง่าย ๆ นั่นก็คือคุณจบเลยตั้งแต่ต้น การประสานงานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง "ล้มเหลว" เพราะคุณไม่มีคณะทำงาน หรือถ้าคุณปล่อยให้เข้ามา แต่ถ้าคุณมีการประสานงานที่ดี ปัญหาเริ่มต้นก็จะไม่หนักหน่วงขนาดนี้
การบริหารหลังจากที่มีความเสียหายจนคณะแพทย์ต้องเข้ามาบอกว่าคุณปล่อยอย่างนี้ไม่ได้ ก็เริ่มมีการปิดล็อค บล็อคอะไรต่าง ๆ มีการรับฟัง นี่เป็นความพยายามจะแก้ปัญหา
ดังที่เราได้พูดไปก่อนแล้วก็คือการบริหารจัดการของรัฐบาลอำนาจนิยมก็คือ จะขัดขวางโดยอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นคนแจกอาหาร การที่ประชาชนจะช่วยประชาชนกันเอง ไปเน้นการต่อต้าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังนี้เป็นต้น
ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ ไม่มีการดำเนินคดี คุณไปจับชาวบ้านในเรื่องหน้ากากอนามัย รายเล็ก ๆ ถูกจับเป็นแถว คำถามว่ารายใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี หายเงียบไปเลย คุณปล่อยให้ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยและ PPE ที่ผลิตในประเทศไทยส่งของออกไปต่างประเทศได้โดยอ้าง BOI ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่! เพราะในกฎหมาย BOI คุณสามารถที่จะขอร้องหรือห้ามไม่ให้ส่งออกโดยอ้างความจำเป็นได้
ทั้งหมดนี้ก็คือการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จัดการกับประชาชนคนเล็กคนน้อย รวมทั้งการที่พยายามจะให้คนกลัว บอกว่าหน้ากากพอ เจ้าหน้าที่คนไหนไปโวยวายหรือขอรับบริจาค ไปห้ามเขาหมด อันนี้เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุขด้วย เจ้าหน้าที่ที่ไปร้อง โรงพยาบาลที่ขอรับบริจาค ไปห้ามเขาหมด ให้ปิดปาก ไม่ให้พูด ต้องบอกว่าทุกอย่างทำดีหมด กระทรวงก็ทำดี รัฐบาลก็ทำดี
ดิฉันมองว่า นี่เป็นการใช้อำนาจของรัฐบาล อำนาจของโครงสร้าง อำนาจนิยม มาจัดการกับคนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ได้จัดการในสิ่งที่ควรจัดการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตรายใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกอุปกรณ์ทั้ง ๆ ที่คนภายในมีใช้ไม่พอ
นับต่อไปนี้ถ้าคุณไม่ฟังประชาชน ถ้าคุณไม่ฟังผู้แทนราษฎร หรือคุณไม่ฟังทีมงานสาธารณสุข คุณจะเปิดล็อค หรือคุณจะทำต่อไป ถ้าคุณยังเป็นรัฐบาลอำนาจนิยมที่ขึ้นต่อท่านผู้นำอย่างเดียว คุณเอาแต่หน่วยงานความมั่นคงภายในของคุณซึ่งไม่สันทัดทั้งงานต่างประเทศ ไม่สันทัดทั้งข้อมูลในประเทศจริง
ดิฉันก็มองว่า ต่อไปนี้มันจะต้องไปเกี่ยวข้องกับการเปิดล็อค คุณจะเปิดล็อคยังไงและคุณจะบริหารต่อไปอย่างไร ตรงนี้มันสำคัญมาก ถ้าคุณยังใช้ท่วงทำนองอำนาจนิยมในการจัดการประชาชนและผู้เห็นต่าง ถ้าคุณยังใช้ท่วงทำนองเผด็จการในการปิด/เปิดเมืองและประเทศ
ดิฉันคิดว่าเราจะเจอปัญหาครั้งใหญ่ คุณอย่าคิดว่าอันนี้มันดีแล้ว ดิฉันยังคิดว่า คำย่อ ผนงรจตกม มันยังใช้ได้อยู่ เพราะว่านี่มันเป็นเรื่องของอำนาจนิยม มันไม่ใช่รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่ฟังเสียงประชาชน
เพราะฉะนั้น บทเรียนของรัฐบาลอำนาจนิยมนี้ มันได้ทำให้เกิดความทุกข์มากกับประชาชน เพราะคุณจำเป็นต้องใช้มาตรการรุนแรงกับประเทศที่มีโครงสร้าง มีปัญหาความยากจนอยู่แล้ว มันซ้ำเติมชีวิตประชาชนจนเขาบอก "เขาไม่กลัวตาย แต่เขากลัวอดอยาก"
ดังนั้นปัญหาของเรา ปัญหาการตายมันก็เป็นปัญหาหนึ่ง ปัญหาที่จะทำให้คนติดเชื้อน้อยลงก็เป็นปัญหาหนึ่ง แต่มันเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ถ้าเราทำไม่ดี หายนะที่รออยู่ข้างหน้าอาจจะไม่ใช่จำนวนตัวเลขการตาย
จำนวนตัวเลขการตายของเราอาจจะดูดีกว่าประเทศอื่น แต่ตัวเลขคนฆ่าตัวตาย ตัวเลขของความทุกข์ยาก คนอดตายของเรามันจะมากกว่าประเทศอื่น เพราะว่าโครงสร้างของเรามันแตกต่างกัน
"สุดท้ายนี้ดิฉันก็ยังมองว่า ถ้ารัฐบาลอำนาจนิยมไม่รับฟังประชาชน ไม่รับฟังหน่วยงานสาธารณสุขอย่างมีเหตุผล และไม่รับฟังผู้แทนราษฎร ดิฉันคิดว่าเราจะหายนะถ้วนหน้า เราต้องการสุขภาพดีถ้วนหน้า เราต้องการการศึกษาดีถ้วนหน้า เราต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดีถ้วนหน้า แต่ว่ามันจะไม่ใช่ รัฐบาลอำนาจนิยมจะทำให้เราหายนะถ้วนหน้า" อ.ธิดากล่าวในที่สุด