ยูดีดีนิวส์ : 18 มี.ค. 63 วันนี้การทำเฟสบุ๊คไลฟ์ของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มาพบกับทุกท่านในปัญหาใหญ่ระดับโลก เปรียบได้กับอยู่ในช่วงภาวะสงคราม ในขณะเดียวกันท่านผู้นำทราบหรือไม่ว่าขณะนี้ตัวท่านเองอยู่ในภาวะอะไร โดย อ.ธิดา ตั้งประเด็นสนทนาว่า
ภาวะการนำที่ล้มเหลวของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
อ.ธิดากล่าวว่า แน่นอนไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบของท่านทั้งหมด แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ ท่านต้องรับเต็ม ๆ ในเรื่องนี้ ที่ท่านมักจะใช้คำว่า "ตระหนัก" แต่ไม่ "ตระหนก" หรืออะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ต้นทุนของเราที่เคยมีการสาธารณสุขอยู่ในระดับ 6 ของโลกในการป้องกันโรคระบาด ในขณะนี้เมื่อเปรียบเทียบภาพปัจจุบันของการสู้รบกับไวรัส COVID 19 ต้องถือว่าเราไม่ใช่อยู่ในลำดับนั้นอีกแล้วก็ได้ คือเราควรจะทำได้ดีกว่านี้
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ท่านตระหนักหรือเปล่าว่านี่คือสงครามโลก!!!
สงครามโลกที่ข้าศึกไม่ได้เป็นคน แต่เป็นไวรัส WHO เขาใช้คำว่า Pandemic ก็เป็นการระบาดทั่วโลก ในขณะที่ผู้นำของเรานั้นเป็นผู้นำที่สืบทอดอำนาจจากการทำรัฐประหาร ท่านอาจจะถนัดในการจัดการปัญหาความมั่นคงภายใน การปราบปรามคนเห็นต่าง การจับกุมคุมขัง หรือการเขียนกติกา มาตรการ ไม่ให้ประชาชนแข็งข้อต่ออำนาจที่ได้มาจากการทำรัฐประหาร ท่านอาจจะเก่งเรื่องนั้น...ดิฉันยอมรับ
แต่เมื่อท่านมาเป็นนายกฯ ในภาวะนี้เป็นภาวะของสงครามโลกในยุคดิจิตอล ในยุคทุนนิยมโลกาภิวัตน์ซึ่งทุกอย่างรวดเร็ว รุนแรง จึงต้องการผู้นำของแต่ละประเทศที่เข้าใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานะอะไร? ถ้าหากว่าท่านไม่ถนัด ท่านถนัดแต่จัดการปัญหาภายใน เราจะพบความอ่อนด้อยจำนวนมากจนดิฉันคิดไม่ถึงว่า คนขนาดอธิบดีหรือเจ้าหน้าที่ระดับกลางยังกล้าพูดแตกต่างหรือท้าทายคำสั่ง เพราะดิฉันต้องการจะให้ท่านทราบว่านี่คือสงครามโลกนะ แต่ข้าศึกคือไวรัส แล้วท่านจะต่อสู้อย่างไร?
ข้ออ่อนด้อยของนายกฯ ที่มาจากการสืบทอดอำนาจและแนวคิดจารีตนิยมจะขาดความเข้าใจในเรื่องของสถานการณ์โลกที่มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามไม่ทันโลกาภิวัตน์ แต่ถนัดที่จะจัดการงานภายใน ไม่ถนัดที่จะจัดการงานภายนอก
อ.ธิดากล่าวต่อไปว่า โดยหลักการประการแรกก็คือมี "วิสัยทัศน์" เพียงพอหรือเปล่าที่จะเข้าใจว่านี่คือสถานการณ์อะไร มีวิสัยทัศน์ที่จะมองเห็นทั่วโลก มีวิสัยทัศน์ที่จะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เลวร้ายปานกลาง และเลวร้ายน้อยที่สุด ท่านต้องตระหนักสิ่งนี้ มันเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ง่ายมากในเหตุการณ์ปัจจุบัน เพราะมีการติดต่อกันอย่างมากมาย
ประการที่สองคือ "องค์ความรู้" ท่านมีองค์ความรู้เพียงพอหรือไม่ เราลองมาเทียบกับผู้นำหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไต้หวัน, เกาหลี, สิงคโปร์ หรือผู้นำจีน กระทั่งลาว ตอนนี้ลาวปิดพรมแดนเราแล้ว เพราะเขารู้ว่าเมื่อศัตรูมาจากภายนอกเขาต้องเตรียมตั้งรับ ต้องปิดไม่ให้เข้ามา ไม่เหมือนของเรา...ปิดอ้าซ่า
ประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ "ภาวะการนำ" เพราะวิสัยทัศน์ท่านอาจจะไม่ดีก็ได้ องค์ความรู้ท่านอาจจะไม่มีก็ได้ แต่ถ้าท่านมีภาวะการนำที่ดีมันแก้ปัญหาทั้งสองอย่างแรกนั้นได้
และดิฉันอยากจะเรียนท่านว่า ภาวะการนำที่ล้มเหลวมันสะท้อนออกจากความไม่เชื่อถือของประชาชน ท่านพูดอย่าง แต่ประชาชนคิดอีกอย่างหนึ่ง ภาวะการนำที่ล้มเหลวตรงนี้หรือวิธีบริหารราชการแผ่นดินแบบนี้มันมาจากท่านเป็นพวกจารีตนิยม อำนาจนิยม ถ้าคนเป็นเสรีนิยมวิธีคิดวิธีทำงานจะขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะรับความรู้ พร้อมที่จะสร้างภาวะการนำที่มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงเห็นภาวะการนำที่ล้มเหลว เพราะท่านไม่สามารถที่จะปรับตัวเองให้ได้รวดเร็วให้ทัน
ดิฉันเคยพูดมาก่อนหน้านี้ จนบัดนี้ 3 เดือนแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม อย่างไต้หวันเขารู้ก่อนแล้ว เพราะว่าเขามีหน่วยข่าว ดิฉันไม่รู้ว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับข่าวกรองระหว่างประเทศเท่าไร รู้แต่ว่าท่านเน้นในประเทศ แต่ของไต้หวันเขารู้ตั้งแต่ธันวาคมแล้วว่าจีนเกิดโรคระบาด แล้วเขาเตรียมตั้งรับอย่างไร เขาใช้องค์ความรู้อย่างไร เขาเตรียมไว้เลย ระยะต้น ระยะปานกลาง ระยะยาว แล้วใช้เทคโนโลยี
ที่สำคัญอีกอย่างซึ่งขัดกับวิธีคิดจารีตนิยมก็คือ "ความตรงไปตรงมาและโปร่งใส" กลุ่มที่มาจากการรัฐประหารสืบทอดอำนาจมันจะขาดสิ่งเหล่านี้ นอกจากวิธีคิดไม่ใช่เสรีนิยมแล้วมักจะให้ข้อมูลไม่หมด ไม่ตรงไปตรงมา ไม่โปร่งใส และขณะนี้คนไม่เชื่อจนถึงขนาดว่ามีปัญหาคอรัปชั่นในเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ เช่น หน้ากากอนามัย
ดังนั้นภาวะในประเทศไทยขณะนี้ ถ้าเรานับจำนวนคนติดเชื้อดูเหมือนไม่มาก แต่ขอโทษ...ตรวจน้อยค่ะ ตรวจสี่พันกว่าคน ในขณะนี้เกาหลีเขาตรวจวันละเป็นหมื่น ๆ คน (นี่ยกตัวอย่างเป็นต้น) แล้วก็ยังมีการอ้างว่าเกาหลีก็ยังไม่ปิดประเทศ
อ.ธิดากล่าวว่า เกาหลีเขาบอกไว้เลยว่า โครงสร้างของเขานั้นมีความสามารถทางเทคโนโลยีและข้อมูล เขาเปิดเผยตรงไปตรงมา ประชาชนมีความเชื่อมั่นในภาวะการนำ สิ้นความสงสัย มันจึงไม่เกิดบรรยากาศของความกลัว ของเราตอนนี้ซุปเปอร์มาเก็ต แม็คโคร อะไรต่าง ๆ คนก็พากันไปตุนของมากมาย ทั้งที่เราเป็นประเทศผู้ผลิตทางด้านอาหาร
ขนาดข้าราชการระดับอธิบดีหรือเจ้าหน้าที่ระดับกลาง เวลาท่านพูดถึงเรื่องมีคำสั่งห้ามเกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ ก็มีหน่วยงานของกระทรวงต่างประเทศมาพูดสิ่งตรงข้าม หรือในปัญหากระทรวงพาณิชย์ กลายเป็นว่าอธิบดีกรมการค้าภายในใหญ่กว่า สามารถทำให้เกิดปัญหามากกว่า มีอิทธิพลสูงกว่านายกฯ ด้วยซ้ำ พอมีการย้ายก็เลยลาออกซะเลย
แต่ที่ดิฉันพูดได้อย่างก็คือความเป็นจารีตนิยม และความอ่อนด้อยในความรู้เรื่องเทคโนโลยี เกาหลีบอกว่าประเทศอื่นเอาอย่างเขาไม่ได้นะถ้าไม่มีโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีที่ดีเพียงพอ และเขาก็มีองค์ความรู้ในการตรวจวันหนึ่งเป็นหมื่น ๆ คน ของเราเป็นหลายเดือนยังตรวจได้ 4-5 พันคน
นี่คือภาพรวมที่อยากพูดและสามารถลำดับเป็นข้อ ๆ ก็คือว่า
1) ปัญหานโยบายในความผิดพลาด ต้องเข้าใจง่าย ๆ นะว่าศัตรูคือไวรัสมันอยู่ภายนอกประเทศ ถ้าคุณไม่มีการจัดการปิดประตู หน้าต่าง ประตูรั้วให้ดี คุณเปิดอ้าซ่าหมด มันก็เข้ามา
อย่างประเทศจีน พอเขารู้ว่า "อู่ฮั่น" เป็นที่ที่สามารถแพร่กระจายได้ เขาก็ปิดอู่ฮั่น นี่ก็คือการสู้รบนะ ข้าศึกอยู่ที่ไหน อย่างของเราอยู่เป็นประเทศคลีน ๆ ข้าศึกอยู่ข้างนอก คุณไม่มีเหตุผลเลยที่คุณจะไม่ป้องกัน คุณจะบอกว่าหมอไทยเก่ง ทำได้ ดิฉันคิดว่าความไม่สันทัดของนายกฯ จึงทำให้ต้องไปฟังเจ้าหน้าที่ระดับกลาง
คือคนที่ทำงานเฉพาะด้านเขาจะสนใจเรื่องราวเฉพาะด้าน ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงการต่างประเทศ เขาก็จะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เขาก็ต้องสนใจว่าเขาจะทำงานได้แค่ไหน แต่ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขเขาควรจะเป็นพระเอก
ถ้ามองในภาพผู้นำรวม กระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทเหนือกว่ากระทรวงสาธารณสุขและเหนือกว่านายกฯ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผิดพลาดตั้งแต่นโยบายที่ตอนแรกไม่มีการปิดกั้น
2) การบริหารการคัดกรอง เราจะพบช่องโหว่มากมายจนกระทั่งผู้ว่าการท่าอากาศยานต้องลาออก ทีมทำงานในการคัดกรองจุดต่าง ๆ นั้นอันนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนายกฯ ท่านจะไปโยนให้ใครก็ไม่ได้ นโยบายในการที่คุณจะห้ามไม่ให้มีการเข้า เราบอกตั้งแต่ทีแรก visa on arrival ไม่ยอมทำ การคัดกรองคนก็ไม่ได้เป็นระบบที่ดีเพียงพอ คนที่มาเข้าสู่กระทรวงสาธารณสุขล้วนมาเอง คือหลุดจากการคัดกรองทั้งนั้น ล้มเหลวในนโยบายการป้องกันศัตรูจากข้างนอกเข้ามา ปล่อยให้กระทรวงสาธารณสุขและหมอในประเทศรับมืออย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว ความผิดพลาดอันนี้ถือเป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง
นอกจากนี้ยังไม่กล้าประกาศภาวะฉุกเฉินและมาตรการในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น แม้กระทั่งแมสที่อธิบดีกรมการค้าออกมาบอกว่าเขาบีโอไอแล้วก็ต้องให้เขาออกไป ไม่จริงหรอก! เพราะในกฎหมายของบีโอไอเขาก็มียกเว้นในเวลาฉุกเฉิน ดิฉันอยากจะถามว่าเมื่อเขามาผลิตในประเทศ มีภาวะฉุกเฉินอย่างนี้ ท่านปล่อยให้เขาส่งออกเหมือนเหตุการณ์ปกติเนี่ย มันน่าสงสัยไหม? กฎหมายบีโอไอก็อนุญาตได้ ทำไมทีเวลาปัญหาความมั่นคง เรื่องของคนคิดต่างนี่เอาตายเอาเป็น แต่เรื่องแบบนี้จัดการไม่ได้ ฉะนั้นมาตรการบริหารในสภาวะฉุกเฉินไม่ได้ออกมาและทันท่วงที
3) การเตรียมการป้องกัน การตั้งรับ โดยระดมสรรพกำลังในการประสานงานไม่ว่าจะเป็นการกักตัวหรืออะไรต่าง ๆ ที่พูดไปแล้ว
4) ความตรงไปตรงมาโปร่งใสและมีข้อมูลจริง สอบตกเลยค่ะ!!! เพราะระบบรัฐไทยนั้นจะไม่เปิดเผยทั้งหมดต่อประชาชน และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกของประชาชนและความไม่เชื่อถือ
5) อุปกรณ์การแพทย์ การเตรียมการ นี่ยังโชคดี ขณะนี้เราบอกว่าเรามีชุดตรวจที่ราคาถูก ดิฉันไม่เคยเห็นมีการออกมาพูดในเรื่องสิ่งเหล่านี้ เพราะไม่กล้าพูดหรืออย่างไร? ก็คือในระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย คุณต้องบอกตรง ๆ เลยว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร และเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจที่ตรวจได้วันละหมื่นคน รัฐให้ฟรีหมด เตียงสนาม โรงพยาบาลสนาม ไม่มีพูดเลย ไม่ได้มีการเตรียมเลย
ตอนนี้เพิ่งจะมีมาตรการเปิดสถานบันเทิงบ้าง อะไรบ้างเหล่านี้ 14 วัน ในทัศนะดิฉันก็คิดว่าจังหวัดบางจังหวัดประชาชนยังพอใจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นบุรีรัมย์ หรืออุทัยธานี พูดง่าย ๆ ว่า ส.ส. ประมาณว่าเหมือนเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพล เขาคิดกันว่าเอานักเลงมาคุมประเทศยังจะดีกว่าเลย คือกล้าทำในสิ่งที่ควรทำ แต่กลับไปกล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่นการทำรัฐประหาร แต่มาตรการสำคัญในการพิทักษ์ และจัดลำดับความสำคัญ ก็ทีแรกยังจะไปแจกเงินเลย จะเอาเงินไปพยุงหุ้น ทำโน่น ทำนี่ ทุกอย่างต้องมาระดมความสำคัญก็คือ คุณกำลังรบ เป็นสงครามโลกค่ะ (เพราะมันเป็นสงครามระบาดทั่วโลก)
ประชาชนต้องการผู้นำที่มีความสามารถ โปร่งใส เข้าใจสถานการณ์ พูดแต่ความเป็นจริง ไม่ต้องกั๊ก ประชาชนไทยยอมรับได้ ตอนนี้เขาสรรเสริญบุรีรัมย์บ้าง อุทัยธานีบ้าง ดิฉันก็ไม่ได้ว่าจะต้องเห็นด้วยกันทั้งหมด แต่บอกได้เลยว่าท่านไม่ตระหนักตั้งแต่ต้นเลย ไม่มีภาวะการนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด แล้วจัดลำดับสถานการณ์ และไม่มีวิสัยทัศน์มองว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำจารีตนิยม อำนาจนิยม ไม่ได้ใช้อำนาจในทิศทางที่ถูกต้องเพื่อประชาชน เพราะที่แล้วมาอำนาจนิยมถูกทำเพื่อชนชั้นนำเท่านั้น พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้..ไปไม่ถูกเลย
แต่ว่าแฟชั่นหน้ากากอนามัยของท่านผู้นำที่เป็นชุดเดียวกันกับเสื้อที่ท่านสวมใส่นั้น ดิฉันว่ามันไม่เท่นะ ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ดิฉันว่าประชาชนจะประทับใจกว่าถ้านายกฯ ใส่เสื้อผ้าง่าย ๆ ใส่หน้ากากที่เหมือนชาวบ้าน หน้ากากท่านก็ต้องเป็นผ้าไหมสีเดียวกันกับเสื้อ ดิฉันขออภัยนะ นี่มันเรื่องเล็ก แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าการจัดลำดับความสำคัญ การทำตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์และภาวะผู้นำของท่านนั้น สอบตก
เพราะว่าผู้นำประชาชนในภาวะวิกฤตจะไม่ใช่เป็นเช่นนี้ ดิฉันจำเป็นต้องพูดอีกครั้งหนึ่ง ท่านล้มเหลว แล้วต่อไปนี้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องสนใจให้มากว่า ภาวะการนำแบบนี้ จะทำให้ประเทศจมดิ่งลงสู่หายนะ แล้วเมื่อไหร่จะได้ขึ้นจากหุบเหวนั้น อ.ธิดากล่าวในที่สุด
ประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ "ภาวะการนำ" เพราะวิสัยทัศน์ท่านอาจจะไม่ดีก็ได้ องค์ความรู้ท่านอาจจะไม่มีก็ได้ แต่ถ้าท่านมีภาวะการนำที่ดีมันแก้ปัญหาทั้งสองอย่างแรกนั้นได้
และดิฉันอยากจะเรียนท่านว่า ภาวะการนำที่ล้มเหลวมันสะท้อนออกจากความไม่เชื่อถือของประชาชน ท่านพูดอย่าง แต่ประชาชนคิดอีกอย่างหนึ่ง ภาวะการนำที่ล้มเหลวตรงนี้หรือวิธีบริหารราชการแผ่นดินแบบนี้มันมาจากท่านเป็นพวกจารีตนิยม อำนาจนิยม ถ้าคนเป็นเสรีนิยมวิธีคิดวิธีทำงานจะขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะรับความรู้ พร้อมที่จะสร้างภาวะการนำที่มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงเห็นภาวะการนำที่ล้มเหลว เพราะท่านไม่สามารถที่จะปรับตัวเองให้ได้รวดเร็วให้ทัน
ดิฉันเคยพูดมาก่อนหน้านี้ จนบัดนี้ 3 เดือนแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม อย่างไต้หวันเขารู้ก่อนแล้ว เพราะว่าเขามีหน่วยข่าว ดิฉันไม่รู้ว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับข่าวกรองระหว่างประเทศเท่าไร รู้แต่ว่าท่านเน้นในประเทศ แต่ของไต้หวันเขารู้ตั้งแต่ธันวาคมแล้วว่าจีนเกิดโรคระบาด แล้วเขาเตรียมตั้งรับอย่างไร เขาใช้องค์ความรู้อย่างไร เขาเตรียมไว้เลย ระยะต้น ระยะปานกลาง ระยะยาว แล้วใช้เทคโนโลยี
ที่สำคัญอีกอย่างซึ่งขัดกับวิธีคิดจารีตนิยมก็คือ "ความตรงไปตรงมาและโปร่งใส" กลุ่มที่มาจากการรัฐประหารสืบทอดอำนาจมันจะขาดสิ่งเหล่านี้ นอกจากวิธีคิดไม่ใช่เสรีนิยมแล้วมักจะให้ข้อมูลไม่หมด ไม่ตรงไปตรงมา ไม่โปร่งใส และขณะนี้คนไม่เชื่อจนถึงขนาดว่ามีปัญหาคอรัปชั่นในเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ เช่น หน้ากากอนามัย
ดังนั้นภาวะในประเทศไทยขณะนี้ ถ้าเรานับจำนวนคนติดเชื้อดูเหมือนไม่มาก แต่ขอโทษ...ตรวจน้อยค่ะ ตรวจสี่พันกว่าคน ในขณะนี้เกาหลีเขาตรวจวันละเป็นหมื่น ๆ คน (นี่ยกตัวอย่างเป็นต้น) แล้วก็ยังมีการอ้างว่าเกาหลีก็ยังไม่ปิดประเทศ
อ.ธิดากล่าวว่า เกาหลีเขาบอกไว้เลยว่า โครงสร้างของเขานั้นมีความสามารถทางเทคโนโลยีและข้อมูล เขาเปิดเผยตรงไปตรงมา ประชาชนมีความเชื่อมั่นในภาวะการนำ สิ้นความสงสัย มันจึงไม่เกิดบรรยากาศของความกลัว ของเราตอนนี้ซุปเปอร์มาเก็ต แม็คโคร อะไรต่าง ๆ คนก็พากันไปตุนของมากมาย ทั้งที่เราเป็นประเทศผู้ผลิตทางด้านอาหาร
ขนาดข้าราชการระดับอธิบดีหรือเจ้าหน้าที่ระดับกลาง เวลาท่านพูดถึงเรื่องมีคำสั่งห้ามเกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศ ก็มีหน่วยงานของกระทรวงต่างประเทศมาพูดสิ่งตรงข้าม หรือในปัญหากระทรวงพาณิชย์ กลายเป็นว่าอธิบดีกรมการค้าภายในใหญ่กว่า สามารถทำให้เกิดปัญหามากกว่า มีอิทธิพลสูงกว่านายกฯ ด้วยซ้ำ พอมีการย้ายก็เลยลาออกซะเลย
แต่ที่ดิฉันพูดได้อย่างก็คือความเป็นจารีตนิยม และความอ่อนด้อยในความรู้เรื่องเทคโนโลยี เกาหลีบอกว่าประเทศอื่นเอาอย่างเขาไม่ได้นะถ้าไม่มีโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีที่ดีเพียงพอ และเขาก็มีองค์ความรู้ในการตรวจวันหนึ่งเป็นหมื่น ๆ คน ของเราเป็นหลายเดือนยังตรวจได้ 4-5 พันคน
นี่คือภาพรวมที่อยากพูดและสามารถลำดับเป็นข้อ ๆ ก็คือว่า
1) ปัญหานโยบายในความผิดพลาด ต้องเข้าใจง่าย ๆ นะว่าศัตรูคือไวรัสมันอยู่ภายนอกประเทศ ถ้าคุณไม่มีการจัดการปิดประตู หน้าต่าง ประตูรั้วให้ดี คุณเปิดอ้าซ่าหมด มันก็เข้ามา
อย่างประเทศจีน พอเขารู้ว่า "อู่ฮั่น" เป็นที่ที่สามารถแพร่กระจายได้ เขาก็ปิดอู่ฮั่น นี่ก็คือการสู้รบนะ ข้าศึกอยู่ที่ไหน อย่างของเราอยู่เป็นประเทศคลีน ๆ ข้าศึกอยู่ข้างนอก คุณไม่มีเหตุผลเลยที่คุณจะไม่ป้องกัน คุณจะบอกว่าหมอไทยเก่ง ทำได้ ดิฉันคิดว่าความไม่สันทัดของนายกฯ จึงทำให้ต้องไปฟังเจ้าหน้าที่ระดับกลาง
คือคนที่ทำงานเฉพาะด้านเขาจะสนใจเรื่องราวเฉพาะด้าน ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงการต่างประเทศ เขาก็จะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข เขาก็ต้องสนใจว่าเขาจะทำงานได้แค่ไหน แต่ตอนนี้กระทรวงสาธารณสุขเขาควรจะเป็นพระเอก
ถ้ามองในภาพผู้นำรวม กระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทเหนือกว่ากระทรวงสาธารณสุขและเหนือกว่านายกฯ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผิดพลาดตั้งแต่นโยบายที่ตอนแรกไม่มีการปิดกั้น
2) การบริหารการคัดกรอง เราจะพบช่องโหว่มากมายจนกระทั่งผู้ว่าการท่าอากาศยานต้องลาออก ทีมทำงานในการคัดกรองจุดต่าง ๆ นั้นอันนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนายกฯ ท่านจะไปโยนให้ใครก็ไม่ได้ นโยบายในการที่คุณจะห้ามไม่ให้มีการเข้า เราบอกตั้งแต่ทีแรก visa on arrival ไม่ยอมทำ การคัดกรองคนก็ไม่ได้เป็นระบบที่ดีเพียงพอ คนที่มาเข้าสู่กระทรวงสาธารณสุขล้วนมาเอง คือหลุดจากการคัดกรองทั้งนั้น ล้มเหลวในนโยบายการป้องกันศัตรูจากข้างนอกเข้ามา ปล่อยให้กระทรวงสาธารณสุขและหมอในประเทศรับมืออย่างเต็มกำลังเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว ความผิดพลาดอันนี้ถือเป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง
นอกจากนี้ยังไม่กล้าประกาศภาวะฉุกเฉินและมาตรการในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น แม้กระทั่งแมสที่อธิบดีกรมการค้าออกมาบอกว่าเขาบีโอไอแล้วก็ต้องให้เขาออกไป ไม่จริงหรอก! เพราะในกฎหมายของบีโอไอเขาก็มียกเว้นในเวลาฉุกเฉิน ดิฉันอยากจะถามว่าเมื่อเขามาผลิตในประเทศ มีภาวะฉุกเฉินอย่างนี้ ท่านปล่อยให้เขาส่งออกเหมือนเหตุการณ์ปกติเนี่ย มันน่าสงสัยไหม? กฎหมายบีโอไอก็อนุญาตได้ ทำไมทีเวลาปัญหาความมั่นคง เรื่องของคนคิดต่างนี่เอาตายเอาเป็น แต่เรื่องแบบนี้จัดการไม่ได้ ฉะนั้นมาตรการบริหารในสภาวะฉุกเฉินไม่ได้ออกมาและทันท่วงที
3) การเตรียมการป้องกัน การตั้งรับ โดยระดมสรรพกำลังในการประสานงานไม่ว่าจะเป็นการกักตัวหรืออะไรต่าง ๆ ที่พูดไปแล้ว
4) ความตรงไปตรงมาโปร่งใสและมีข้อมูลจริง สอบตกเลยค่ะ!!! เพราะระบบรัฐไทยนั้นจะไม่เปิดเผยทั้งหมดต่อประชาชน และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกของประชาชนและความไม่เชื่อถือ
5) อุปกรณ์การแพทย์ การเตรียมการ นี่ยังโชคดี ขณะนี้เราบอกว่าเรามีชุดตรวจที่ราคาถูก ดิฉันไม่เคยเห็นมีการออกมาพูดในเรื่องสิ่งเหล่านี้ เพราะไม่กล้าพูดหรืออย่างไร? ก็คือในระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย คุณต้องบอกตรง ๆ เลยว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร และเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจที่ตรวจได้วันละหมื่นคน รัฐให้ฟรีหมด เตียงสนาม โรงพยาบาลสนาม ไม่มีพูดเลย ไม่ได้มีการเตรียมเลย
ตอนนี้เพิ่งจะมีมาตรการเปิดสถานบันเทิงบ้าง อะไรบ้างเหล่านี้ 14 วัน ในทัศนะดิฉันก็คิดว่าจังหวัดบางจังหวัดประชาชนยังพอใจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นบุรีรัมย์ หรืออุทัยธานี พูดง่าย ๆ ว่า ส.ส. ประมาณว่าเหมือนเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพล เขาคิดกันว่าเอานักเลงมาคุมประเทศยังจะดีกว่าเลย คือกล้าทำในสิ่งที่ควรทำ แต่กลับไปกล้าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่นการทำรัฐประหาร แต่มาตรการสำคัญในการพิทักษ์ และจัดลำดับความสำคัญ ก็ทีแรกยังจะไปแจกเงินเลย จะเอาเงินไปพยุงหุ้น ทำโน่น ทำนี่ ทุกอย่างต้องมาระดมความสำคัญก็คือ คุณกำลังรบ เป็นสงครามโลกค่ะ (เพราะมันเป็นสงครามระบาดทั่วโลก)
ประชาชนต้องการผู้นำที่มีความสามารถ โปร่งใส เข้าใจสถานการณ์ พูดแต่ความเป็นจริง ไม่ต้องกั๊ก ประชาชนไทยยอมรับได้ ตอนนี้เขาสรรเสริญบุรีรัมย์บ้าง อุทัยธานีบ้าง ดิฉันก็ไม่ได้ว่าจะต้องเห็นด้วยกันทั้งหมด แต่บอกได้เลยว่าท่านไม่ตระหนักตั้งแต่ต้นเลย ไม่มีภาวะการนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด แล้วจัดลำดับสถานการณ์ และไม่มีวิสัยทัศน์มองว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำจารีตนิยม อำนาจนิยม ไม่ได้ใช้อำนาจในทิศทางที่ถูกต้องเพื่อประชาชน เพราะที่แล้วมาอำนาจนิยมถูกทำเพื่อชนชั้นนำเท่านั้น พอมาเจอสถานการณ์แบบนี้..ไปไม่ถูกเลย
แต่ว่าแฟชั่นหน้ากากอนามัยของท่านผู้นำที่เป็นชุดเดียวกันกับเสื้อที่ท่านสวมใส่นั้น ดิฉันว่ามันไม่เท่นะ ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ดิฉันว่าประชาชนจะประทับใจกว่าถ้านายกฯ ใส่เสื้อผ้าง่าย ๆ ใส่หน้ากากที่เหมือนชาวบ้าน หน้ากากท่านก็ต้องเป็นผ้าไหมสีเดียวกันกับเสื้อ ดิฉันขออภัยนะ นี่มันเรื่องเล็ก แต่มันสะท้อนให้เห็นว่าการจัดลำดับความสำคัญ การทำตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์และภาวะผู้นำของท่านนั้น สอบตก
เพราะว่าผู้นำประชาชนในภาวะวิกฤตจะไม่ใช่เป็นเช่นนี้ ดิฉันจำเป็นต้องพูดอีกครั้งหนึ่ง ท่านล้มเหลว แล้วต่อไปนี้ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ประชาชนจะต้องสนใจให้มากว่า ภาวะการนำแบบนี้ จะทำให้ประเทศจมดิ่งลงสู่หายนะ แล้วเมื่อไหร่จะได้ขึ้นจากหุบเหวนั้น อ.ธิดากล่าวในที่สุด