ยูดีดีนิวส์ : 27 ส.ค. 62 ในการทำเฟสบุ๊คไลฟ์ของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ บ่ายวันนี้ สิ่งที่อ.ธิดานำมาสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับปัญหาคดีความที่เพิ่งมีคำตัดสินในศาลแพ่ง ซึ่งจะแตกต่างไปจากคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาในกรณี "ก่อการร้าย" อันนี้ก็เป็นปรากฎการณ์ย้อนแย้งกันอยู่ โดยอ.ธิดาได้ตั้งประเด็นสนทนาว่า "ไฟ" ยังเผา "สังคมไทย" อย่างรุนแรง แม้ "ไฟ" ที่เผาอาคารดับไปแล้ว
อ.ธิดากล่าวว่า มันเป็นความรู้สึกของดิฉันเองว่า "ไฟ" ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2553 ไฟเผาอาคารดับไปแล้ว มีคนจำนวนหนึ่งถูกพิพากษา แม้ว่าจะมีความรู้สึกติดค้างอยู่ในใจประชาชนจำนวนหนึ่งในปัญหากระบวนการตั้งแต่ชั้นต้นมาค่อนข้างมีปัญหาที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่เป็นคุณต่อผู้ถูกกล่าวหา
แต่เหตุการณ์จากปี 2553 มาถึงเวลานี้ก็ร่วม 9 ปีมาแล้ว จนกระทั่งผู้ที่ถูกพิพากษาในต่างจังหวัดส่วนหนึ่งก็ออกมาจากเรือนจำ อีกส่วนหนึ่งก็เข้าไปในกรณีคำพิพากษาศาลฎีกา จนกระทั่งมาถึงกรณีคำตัดสินของศาลแพ่ง ชะตากรรมของแกนนำนปช.ก็ยังวนเวียนอยู่กับคดีความมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเผามันผ่านมาแล้วตั้ง 9 ปี แต่คดีความยังไม่สิ้นสุด ยังเป็นปัญหาอยู่อีกมากมาย
ในวันนี้ดิฉันก็จะขออ้างถึงบุคคล 2 คนที่ออกมาแสดงความคิดเห็น คนแรกก็เป็นการพูดของนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งอ้างว่าพูดในฐานะทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ โดยพูดว่าตนไปฟังคำพิพากษาแทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ในคดีแพ่งตามคำพิพากษษศาลฎีกาที่ 6646-6647/2561 ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการวางเพลิงเผาทรัพย์ช่วงระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยมีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย
อ.ธิดากล่าวว่า ในคดีนี้โจทก์เขามีการฟ้องตั้งแต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงการคลัง, กองทัพบก, แล้วก็ตามมาด้วยคุณจตุพร พรหมพันธุ์, คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, คุณอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, คุณทักษิณ ชินวัตร, กรุงเทพมหานคร และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร
แสดงว่าโจทก์ฟ้องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ได้ตั้งใจฟ้องเฉพาะในส่วนของนปช.แต่ประการใด ก็ต้องถือว่าเขามีสิทธิ์และรอบคอบ จำเลยที่ 1 ไม่ใช่นปช.ด้วยว้ำ แต่เป็นคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามด้วยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ หลังจากนั้นก็เป็นกระทรวงการคลัง กองทัพบก อะไรต่าง ๆ กระทรวงกลาโหม ส่วนผลแห่งคดีนั้นทุกคนก็คงทราบว่าทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ยกฟ้อง แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ "คุณจตุพร-ณัฐวุฒิ-อริสมันต์" ร่วมกันรับผิดชอบค่าเสียหายรวมทั้งดอกเบี้ยก็น่าจะประมาณ 30 ล้าน
อ.ธิดากล่าวต่อไปว่า ที่จริงดิฉันก็ไม่ได้ติดใจในเนื้อหาที่คุณราเมศออกมาแสดงความคิดเห็น เพราะเป็นเนื้อหาที่จริง แต่ว่าทนายของนปช.ในคดีอาญาก่อการร้าย "คุณวิญญัติ ชาติมนตรี" ได้มาท้วงติงว่า ในฐานะคุณราเมศที่เป็นตัวแทนของคุณอภิสิทธิ์ได้ออกมาพูดนั้น คุณวิญญัติเห็นว่าไม่น่าจะมีความเหมาะสมในหลายอย่าง
ที่จริงตัวเองก็คือจำเลย เป็นตัวแทนของจำเลยที่ไปฟัง และเป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ด้วย แต่เมื่อมีการพิพากษาว่าเป็นจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 7 จำเลยที่ 8 ให้มารับผิดชอบค่าเสียหาย คือทำตัวประหนึ่งตัวเองเป็นโจทก์หรือเปล่า? แล้วก็จะรับผิดชอบในรายละเอียดแห่งคดีได้แค่ไหน เพราะคุณวิญญัติก็พูดในฐานะที่ว่าเป็นทนายของกลุ่มนปช. ในคดีที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ก็คือ พฤติการณ์แห่งคดีนั้นแบบเดียวกัน แต่ผลของคำพิพากษาคนละอย่าง
แน่นอนในศาลแพ่ง คำพิพากษาชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ก็เป็นการ "ยกฟ้อง" ทั้งหมดเลย ดิฉันเองก็เคารพในคำพิพากษาของศาล และเชื่อว่าจำเลยทุกท่านและประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ต้องรับผลแห่งคดีนั้นก็ยินดีรับคำพิพากษามาตลอด
ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่กรณีหุ้น กรณีทุกคดีของพรรค วิธีคิดของคนในสังคมก็จะคิดว่าจะมีม็อบไปเล่นงาน อาจจะไปล้อมศาลหรืออะไร แต่ในความเป็นจริงมันไม่มี อาจจะมีไปให้กำลังใจ เช่น กรณีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือมีคนไปให้กำลังใจแกนนำบ้าง แต่ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ประท้วงศาลจากนปช.แต่ประการใด
นี่ดิฉันต้องการยืนยันให้ทราบว่า การที่มีคนประชดประชัน แม้กระทั่งนายกฯ ประชดประชันว่า ทำไมไม่เห็นชมว่าศาลยุติธรรมเมื่อตอนที่กรณีคดีอาญาที่ศาลยกฟ้อง หรือแม้กระทั่งแพ่งที่ชั้นต้นกับอุทธรณ์ยกฟ้อง ก็คือไม่มีความจำเป็นต้องชม เพราะไม่ได้เคยมีการประท้วงจากกลุ่มคนเสื้อแดงหรือนปช.แต่ประการใด
แต่ว่าความคิดเห็นของคนภายนอก นักวิชาการ หรือของสังคม อันนั้นเป็นเรื่องกระจัดกระจาย มันไม่ได้มาจากการชี้นำ มันไม่ได้มาจากการสั่งการแต่ประการใด สำหรับคำสั่งศาล คำวินิจฉัยศาล หรือคำพิพากษาศาล ไม่เคยปรากฎ!!! อันนี้ก็ต้องการพูดอีกครั้งหนึ่งว่า "เราเคารพ"
แต่ดิฉันอยากจะชี้ว่า มันก็เกิดปมของสังคม ในคำพิพากษาของศาลฎีกาแพ่ง และคำพิพากษาในคดีอาญา
ในคำพิพากษาในคดีอาญานั้นหลายคนก็ได้รับทราบแล้วว่า แกนนำนปช.ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่ได้เป็นคนไปสั่งการให้มีการเผาบ้านเผาเมือง แล้วการวางระเบิดที่ไหน ๆ ก็ตามไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแกนนำนปช.แต่ประการใด รวมทั้งไม่สามารถที่จะจับตัวผู้ร้าย ไม่ว่าจะเป็น "ชายชุดดำ" เรื่องเผา ต่าง ๆ เหล่านี้ มันไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการปราศรัยของแกนนำ นี่คือในส่วนของศาลชั้นต้นซึ่งดิฉันจะไม่ลงรายละเอียด แต่พูดง่าย ๆ ว่าในคำพิพากษาศาลอาญากรณีก่อการร้ายได้ชี้ให้เห็นว่า แกนนำนปช.นั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้สั่งการ ไม่ได้เป็นเหตุของเรื่องชายชุดดำ เรื่องการเผา เรื่องการวางระเบิดแต่ประการใด แต่เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นมันจึงเกิดปมที่ดิฉันต้องการจะทิ้งให้รู้ว่า ปัญหาในสังคมไทย "เผาอาคาร" มันจบไปแล้วตั้ง 9 ปี แต่ว่าหัวใจของคนและในสังคมไทยนั้น "ไฟแห่งความเกลียดชัง" มันยังดำรงอยู่อย่างมาก ซึ่งเราจะเห็นเลยว่า พอมีผลแห่งคดีเช่นนี้ บางคนในฐานะจำเลยด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นจำเลยนะ ก็ออกมาแสดงในลักษณะซึ่งยังอยู่บนพื้นฐานของความคิดอ่านและความเชื่อของตัวเอง
ดังนั้นปมแรกคือปมย้อนแย้ง เอาคำพิพากษาของศาลอาญากับศาลแพ่ง ก็เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจว่ามันจะมีปัญหาต่อไปหรือเปล่า?
อันที่สอง ดิฉันอยากจะชี้ให้เห็นจากที่เราได้พูดแล้วว่า "ไฟไหม้อาคาร" มันดับไปแล้วตั้ง 9 ปี แต่ในสังคมไทย "ไฟแห่งความเกลียดชัง" และความเป็นศัตรูกันมันยังดำรงอยู่ตลอดมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ และดิฉันมองว่ามันยังจะไปข้างหน้า
เพราะว่าเราจะเห็นว่าสื่อจำนวนหนึ่งของฝ่ายที่มีความเกลียดชังนั้น ไม่มีการชุมนุมนะ แต่ยังมีการพูดในสื่อสิ่งพิมพ์ ในสถานีโทรทัศน์บางสถานี และรวมทั้งโซเชียลมีเดียด้วย มีการพูดอยู่ตลอด ในอดีตไฟแห่งความเกลียดชังที่สะสมและสร้างความรุนแรง ก็คือในช่วงหลังปี 2516 มาจนถึง 2519 และรุนแรงมากเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 คนเหล่านั้นไม่ได้ชุมนุม
ที่ดิฉันพูดเพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่า ในบางส่วนของคำพิพากษานั้นน่าสังเกตที่น่าสนใจ ก็คือ พูดถึงเรื่องการยุยง ปลุกปั่น ซึ่งดิฉันเองก็เคารพศาล แต่ดิฉันอยากจะพูดว่า ยุยงปลุกปั่น แม้นไม่ได้มีการชุมนุม แต่ปรากฎว่ามันมีผลมาก และเกิดไฟที่เผาอยู่ในสังคมไทยขณะนี้ ยังมีไฟแห่งความเกลียดชังเผาอยู่ตลอด
หลักการในการพิพากษาอะไรต่าง ๆ ดิฉันก็จะไม่ไปก้าวล่วง แต่ดิฉันจะพูดหลักทั่วไปก็คือว่า ปัญหาความจริงทางภววิสัยกับความเชื่อทางอัตวิสัย ถ้าเราปล่อยให้ความเชื่ออยู่เหนือความเป็นจริง สำหรับดิฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและเป็นนักวิทยาศาสตร์สังคม สังคมต้องใช้ความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ มันต้องพิสูจน์ด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่ปล่อยให้ความเชื่อที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์อยู่เหนือความเป็นจริง
เราเชื่อว่าคน ๆ นี้เป็นคนเลว
เราเชื่อว่าคน ๆ นี้เป็นผู้ทำ
ปัญหาว่ามันพิสูจน์ได้แล้วหรือยัง?
ถ้ามันพิสูจน์ไม่ได้ เราจะใช้ความเชื่ออันนั้นแล้วบอกว่าเป็นความจริง
ในทัศนะดิฉันในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ทำอย่างนั้นไม่ได้!!!
แม้กระทั่งรายงาน คอป. ซึ่งดิฉันและนปช. เรายังโจมตีมาจนถึงปัจจุบันนี้ เขียนรายงานโดยไม่มีความละอายเลยว่าอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงหรือเปล่า? นั่นคือรายงานความเป็นจริง คอป.
สำหรับดิฉัน สังคมไทยจะยุติไม่ได้ถ้าหากว่าสังคมนี้ยังเอาความเชื่อและมโนไปอยู่เหนือความเป็นจริง ดังนั้นความจริงทางภววิสัยที่ตรวจสอบและพิสูจน์ได้มันจึงสำคัญ และดิฉันต้องขอบคุณในคำวินิจฉัยในการไต่สวนคดีความต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครไปอ่านคำไต่สวนในกรณี 6 ศพวัดปทุมฯ จะเห็นสถานการณ์ในเวลานั้นเลยว่าพื้นที่มันถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว
มีคนมาขอเงิน อ้างว่าถูกตำรวจตีตอน 6 โมงเย็นที่ราชประสงค์ ดิฉันยังไม่เชื่อเลย เพราะเรารู้ว่าตอนนั้นทหารควบคุมพื้นที่ไว้หมดแล้ว ผู้ชุมนุมบางส่วนอยู่ในวัดปทุมฯ ที่เหลือไม่มีแล้ว มีนั่งอยู่คนเดียวหน้าเวที (คุณผสุดี งามขำ)
ดังนั้นการก่อเหตุที่อยู่นอกเหนือการชุมนุมมันจึงต้องมีคำถามว่า...มันอยู่ในความรับผิดชอบของแกนนำเพียงใด?
แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องการยุยงปลุกปั่นใด ๆ ก็ตาม ดิฉันก็อยากจะฝากทิ้งท้ายว่า มันไม่ใช่แต่เฉพาะในการชุมนุม ในสถานีโทรทัศน์ ในวิทยุ ในสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ คำถามว่าขณะนี้ในสังคมไทยเมื่อมีการแตกแยกเป็นฝักฝ่าย ได้มีการใช้วาทะกรรมที่ลวงโลก วาทะกรรมที่สร้างความชอบธรรมในฝ่ายตนเองเพื่อเผาประเทศไทยยังดำรงอยู่ และยังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ยังมีการใช้วาทะกรรมซึ่งมันไม่จริง
พอคำพิพากษาศาลอาญาออกมา อาจจะลดบางส่วน
แต่พอมีคำพิพากษาศาลแพ่งออกมา ก็มีการเพิ่มขึ้นมาอีก
ดังนั้นดิฉันก็อยากจะทิ้งท้ายไว้ว่า ปัญหาสำคัญก็คือ สังคมไทยยังถูกเผาด้วยความคิดที่ไม่ถูกต้อง และไม่ได้เป็นผลร้ายกับฝ่ายตรงข้ามตัวเองนะ เพราะวาทะกรรมลวงโลกและให้เกลียดชังกัน มันเผาคนพูดด้วย และเผาฝั่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ต้องการทำลายฝั่งอื่น
และดิฉันอยากจะฝากเตือนประชาชนด้วยว่า เราจะใช้วิธีการสกปรก คำพูดที่ไม่จริงมาทำลายฝั่งตรงข้าม ไม่ได้นะ!!! เพราะว่าในฝ่ายประชาชนไม่อนุญาตให้ใช้ความสกปรก เราต้องอยู่บนความน่าเชื่อถือของประชาชน เพราะฉะนั้นวิธีการใช้วาทะกรรมลวงโลกและต้องการเผาสังคมไทยให้อยู่ในความเกลียดชังนั้น มันไม่ใช่วิธีการของฝ่ายประชาชน
วิธีการของฝ่ายประชาชนนั้นต้องมองอนาคตให้เห็นความสดใส ความก้าวหน้า และสิ่งที่รุ่งเรืองที่จะต้องเกิดขึ้นในประเทศพร้อมกับเสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน และความสุขของประชาชน การทำให้ประชาชนเกลียดชังกันนั้นไม่ใช่เป็นบาปอย่างยิ่ง แต่มันไม่สมควรจะเกิด เพราะประชาชนนั้นต้องร่วมมือกันเพื่อทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า
ในขณะนี้มันยังก้าวไปไม่ได้ เพราะคนไทยยังเกลียดชังกัน
และจุดไฟเผาความเกลียดชังกันมากเหลือเกิน ดิฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องการปรองดอง แต่พูดถึงเรื่องการมองประเทศไปข้างหน้า สิ่งที่ถูกต้องที่ฝ่ายประชาชนควรทำ แน่นอนว่าเรายังต้องแก้ปัญหา ซึ่งมันมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำให้เกิดขึ้นอยู่ เราต้องแก้ไป เพราะฉะนั้นความยากลำบากของฝ่ายประชาชนมันมีมาก ก็คือ ต้องไปแก้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกัน เราจะใช้ความไม่ถูกต้องมาเป็นหนทางในทางต่อสู้ประชาชนนั้นไม่ได้
ดิฉันขอให้กำลังใจว่า ฝ่ายประชาชนนั้นยากมาก ต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก ต้องมีความแน่วแน่ในวิสัยทัศน์มาก แต่ก็ยังต้องต่อสู้ แล้วก็ใช้วิธีการที่ถูกต้องต่อไป เรายังมีเรื่องราวอีกมากมาย แต่ว่าการต่อสู้ของประชาชนโดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ มีทั้งสงครามทางเศรษฐกิจ สงครามทางวัฒนธรรม และความเชื่อ ทำให้เกิดการเมืองที่ไม่ถูกต้อง ดิฉันขอให้กำลังใจฝ่ายประชาชนทุกคนว่า ต้องก้าวไปข้างหน้า ต้องต่อสู้กับความยากลำบากแสนสาหัส กระทั่งติดคุกติดตะราง หรือแม้กระทั่งต้องบาดเจ็บล้มตาย และเจอสิ่งที่เรียกว่าเป็นฆาตกรรมอำพรางก้ได้ แต่ยังต้องเดินต่อไป.