วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดี IO ชี้ว่า เอกสารคำสั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพมีอยู่จริง และปฏิบัติการ IO ขัดต่อหลักสากลที่รัฐไม่ควรใช้กับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในสื่อออนไลน์อาจเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่การดำเนินการของรัฐ จึงยังไม่อาจถือว่ากองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี

 


ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดี IO ชี้ว่า เอกสารคำสั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพมีอยู่จริง และปฏิบัติการ IO ขัดต่อหลักสากลที่รัฐไม่ควรใช้กับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในสื่อออนไลน์อาจเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่การดำเนินการของรัฐ จึงยังไม่อาจถือว่ากองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี


30 ตุลาคม 2568 ศาลปกครองกลางนัดพิพากษาคดีที่ผู้ฟ้องคดี 3 คน คือ สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการไอลอว์ และวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ สื่อมวลชน ยื่นฟ้องกองทัพบกและผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ขอให้หยุดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO (Information Operation) 


คดีนี้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 โดยคำฟ้องในคดีนี้ อาศัยหลักฐานสำคัญจากรายงานของทวิตเตอร์ ที่ตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มบัญชีผู้ใช้ปลอมจำนวนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับกองทัพบกของไทยใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวโพสต์ข้อความโจมตีผู้ฟ้องคดีทั้งสามด้วยถ้อยคำหยาบคาย ประกอบกับมีหลักฐานสำคัญจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหลายครั้งโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ได้แก่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และชยพล สท้อนดี ซึ่งนำเสนอข้อมูลที่ได้รับจากบุคคลในกองทัพ ระบุถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพบก พร้อมแนบเอกสารราชการหลายฉบับที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกองทัพบกดำเนินปฏิบัติการ IO อย่างเป็นระบบในลักษณะเทา/ดำ


ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อ 15 ตุลาคม 2568 โดยระบุว่า แม้รายงานของบริษัททวิตเตอร์จะชี้ว่า มีกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับกองทัพ และเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีปลอมเหล่านั้น แต่การกดไลก์ กดแชร์ แสดงความเห็น อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่เองก็เป็นได้ ศาลเห็นว่า บัญชีที่ถูกทวิตเตอร์ปิดไป มีลักษณะเป็นสแปม (spam) ซึ่งทุกคนอาจเป็นสแปมได้เช่นกัน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล ไม่แน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แม้จะรับฟังได้ว่า มีบัญชีที่เชื่อมโยงกับกองทัพมีการแสดงความเห็นต่อทวิตเตอร์ของผู้ฟ้องคดีจริง แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นเหตุการณ์ใด และเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวหรือปฏิบัติตามหน้าที่ในราชการ ซึ่งไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมีความเห็นไปในทางเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี กระทำละเมิดที่ขัดต่อกฎหมาย ตุลาการผู้แถลงคดีจึงมีความเห็นให้ยกฟ้อง


ในวันนี้ (30 ตุลาคม 2568) ศาลปกครองนัดอ่านคำพิพากษา ผู้ฟ้องคดีทั้งสามคนมาศาล พร้อมด้วยสื่อมวลชนและประชาชนมาสังเกตการณ์การอ่านคำพิพากษา ส่วนฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดีนั้น ไม่มีใครมาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ


ต่อมา ไอลอว์ ได้เผยแพร่คำพิพากษาฉบับเต็ม ดังนี้ 


10.05 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยระบุว่าจะอ่านคำพิพากษาโดยสรุปเนื่องจากเปิดให้ผู้ฟ้องคดีคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม พร้อมแจ้งสิทธิในการอุทธรณ์ไว้ที่ 30 วัน ตามมาตรา 73 ของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542


ศาลชี้ ปฏิบัติการ IO ขัดหลักสากล แต่พึงระวัง “การสื่อสารเชิงบวก” จะกลายเป็น IO


ศาลระบุว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กองทัพบก) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ.) และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบก กระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่


พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โดยหลักสากล รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องไม่กระทำการปฏิบัติการ IO ต่อพลเมืองของตนเอง เนื่องจากประชาชนไม่อาจมีสถานะเป็นศัตรูของชาติได้ 


การดำเนินปฏิบัติการ IO เพื่อขัดขวาง ปฏิเสธ โจมตี ด้อยคุณค่า หรือสร้างความเสียหายต่อข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ต่างทางการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด โดยอาศัยงบประมาณแผ่นดินและทรัพยากรของรัฐที่มาจากภาษีประชาชน มาดำเนินการเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐบาล โดยไม่ได้มุ่งหวังจะให้เกิดความสงบหรือความสามัคคีในหมู่ประชาชนอย่างแท้จริง และไม่ใช่ภารกิจรักษาความมั่นคงของรัฐ ย่อมเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนพลเมืองโดยอำนาจรัฐ 


การปฏิบัติต่อพลเมืองดั่งเป็นอริราชศัตรูของประเทศย่อมมิอาจกระทำได้ ดังนั้น การปฏิบัติการด้านไซเบอร์ของกองทัพบก โดยผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกองทัพบก ในการ เข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนพลเมือง แล้วนำข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย มาวิเคราะห์ สังเคราะห์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการสื่อสารให้กลุ่มผู้รับข้อมูลเกิดทัศนคติเชิงบวก และสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพบกและหน่วยงานความมั่นคง และเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใด อันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจของกองทัพบก ตามมาตรา 8 ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 (พ.ร.บ. จัดระเบียบกลาโหมฯ) กองทัพบก โดยผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกองทัพบก ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง มิให้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน อันอาจกลายเป็นปฏิบัติการ IO ที่ขัดหลักสากล หรือเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการอุ้มหายฯ) ได้


เอกสารสั่งปฏิบัติการ IO ของกองทัพ มีอยู่จริง


ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้องคดี IO ชี้ว่า เอกสารคำสั่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพมีอยู่จริง และปฏิบัติการ IO ขัดต่อหลักสากลที่รัฐไม่ควรใช้กับพลเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในสื่อออนไลน์อาจเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่การดำเนินการของรัฐ จึงยังไม่อาจถือว่ากองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีดีนี้ ฝ่ายผู้ฟ้องคดีนำเสนอหลักฐานเป็นเอกสารราชการ 5 ฉบับ จัดทำโดยกองทัพภาคที่ 2 ที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมือง โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองโต้แย้งว่า บันทึกข้อความส่วนราชการ 3 ฉบับที่ผู้ฟ้องคดีเสนอนั้นเป็นเอกสารปลอม 


ศาลพิเคราะห์บันทึกข้อความส่วนราชการ 3 ฉบับ เห็นว่า เอกสารมีรูปแบบเป็นไปตามระเบียบของเอกสารราชการ มีการระบุเลขหน่วยงานราชการครบถ้วน และมีการลงนามของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามลำดับเกี่ยวเนื่องกัน เนื้อหาในบันทึกข้อความทั้ง 3 ฉบับยังสอดคล้องกัน และตรงกับบันทึกส่วนราชการอีก 2 ฉบับที่มีอยู่ 


อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ติดตามหาตัวผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ข้อโต้แย้งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างความมีอยู่ของเอกสารดังกล่าวซึ่งมีความสอดคล้องต้องกันกับเอกสารราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่า รับฟังไม่ได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้าง


ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า กองทัพบก โดยผบ.ทบ. จัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ทำงานปฏิบัติการข่าวสารในสังกัดของกองทัพบกหรือไม่ 


เมื่อวินิจฉัยแล้วว่า รับฟังไม่ได้ว่าเอกสารบันทึกข้อความส่วนราชการทั้ง 3 ฉบับเป็นเอกสารปลอม เนื้อหาสาระสำคัญในบันทึกข้อความข้างต้นจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ประกอบกับได้พิจารณาบันทึกข้อความส่วนราชการอีก 1 ฉบับ ที่มีสาระสำคัญคือ ให้ “แยกงานการสร้างการรับรู้และความเข้าใจของกองทัพบกออกจากงานการปฏิบัติการ IO” โดยงานสร้างการรับรู้ดังกล่าว มุ่งหมายเพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของกองทัพบก ให้ผู้รับข้อมูลเข้าใจอย่างถูกต้อง มีทัศนคติเชิงบวก และสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพบก กองทัพไทย และหน่วยงานความมั่นคง 


ข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของ “งานปฏิบัติการ IO” ภายในกองทัพบก และสอดคล้องกับบันทึกข้อความส่วนราชการ 3 ฉบับดังกล่าว จึงรับฟังว่า กองทัพบก โดยผู้บัญชาการทหารบกได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านปฏิบัติการ IO ในสังกัด เพื่อดำเนินงานข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ และการปฏิบัติการด้านไซเบอร์อยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งมีแผนแยกงานการสื่อสารข้อมูลเพื่อสร้างทัศนคติเชิงบวกและสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองทัพ อันมีลักษณะเป็นงานประชาสัมพันธ์ ออกจากปฏิบัติการ IO


ศาลชี้ คอมเมนต์ต่อผู้ฟ้องคดี อาจเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของทหาร


ส่วนประเด็นที่ว่า มีการเข้าถึง ติดตาม รวบรวมบัญชีโซเชียลมีเดียของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงของผู้ฟ้องคดีทั้งสามหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น


ศาลปกครองเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสามมีผู้ติดตามจำนวนมาก เป็นไปได้ที่จะปรากฏอยู่ในรายชื่อบัญชีที่ถูกติดตาม ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งสามถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีท่าทีเป็นลบต่อรัฐบาล ซึ่งการดำเนินการเพื่อสื่อสารข้อมูลของกองทัพ และเพื่อตรวจสอบข้อมูล ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ถือเป็นการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ 


นอกจากนี้ บัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดีทั้งสามเปิดให้เข้าถึงแบบสาธารณะ หมายความว่าทุกคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถเข้าชมและติดตามได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป จึงฟังไม่ได้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 


ส่วนประเด็นที่ว่า การจัดกลุ่มโซเชียลมีเดียของประชาชนจำนวนมาก รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกเป็น “ชุดบุคคลที่เป็นลบต่อรัฐบาล” และ “ชุดบุคคลที่เป็นบวกต่อรัฐบาล”​ เห็นว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากข้อมูลที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เตรียมไว้สำหรับอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ซึ่งเป็นเพียงการรวบรวมลิงก์ URL ของข้อมูล คอนเทนต์ ข่าว หรือข้อมูลความคิดเห็นทั้งเชิงลบและเชิงบวกต่อรัฐบาล แต่ก็เห็นได้ว่า เป็นการจัดกลุ่มโดยยึดถือเอาข้อมูลที่แสดงออกเป็นสำคัญ มิใช่การจัดกลุ่มโดยยึดถือเอาตัวบุคคลเป็นสำคัญ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการจัดกลุ่มบัญชีโซเชียลของบุคคลต่างๆ เป็นชุดบุคคลที่เป็นลบกับรัฐบาล และเป็นบวกกับรัฐบาล ตามที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง


ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไป คือ ผู้ถูกฟ้องคดีหรือเจ้าหน้าที่ภายใต้สังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี เป็นผู้โพสต์ข้อความหรือไม่ ศาลเห็นว่า บัญชีของผู้ฟ้องคดีมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก มีบัญชีบางส่วนแสดงความเห็นไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายป้ายสี ใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ สร้างความไม่ชอบธรรมในการใช้สิทธิเสรีภาพ ทั้งนี้ โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนสามารถสร้างคอนเทนต์ให้คนได้แสดงความคิดเห็นเชื่อมโยงเครือข่ายเข้าด้วยกัน คนที่ไม่ชอบใจก็อาจแสดงความเห็นในเชิงลบได้ การเข้าถึงโดยบุคคลที่เห็นต่างจึงเกิดขึ้นได้ ส่วนบัญชีที่ไม่ระบุตัวตนหรือบัญชีอวตาร ก็อาจถูกสร้างโดยผู้ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ถูกฟ้องคดี แม้จะรับฟังได้ว่า มีบัญชีจำนวนหนึ่งนำเสนอข้อความไม่ถูกต้อง บิดเบือน ใส่ร้ายผู้ฟ้องคดี แต่ก็รับฟังไม่ได้ว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของกองทัพบก


แม้ข้อมูลจากรายงานที่เผยแพร่ของบริษัท ทวิตเตอร์ เป็นข้อมูลกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับกองทัพ เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีเข้ามามีส่วนร่วมกับบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ฟ้องคดี แต่การกดไลก์ กดแชร์ แสดงความเห็น อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของเจ้าหน้าที่เองก็เป็นได้ บัญชีที่ถูกทวิตเตอร์ปิดไปเหล่านั้นมีลักษณะเป็นสแปม ซึ่งทุกคนอาจเป็นสแปมได้เช่นกัน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าสแปมเกิดจากสาเหตุใด หรือการทวีตครั้งใด แม้จะรับฟังได้ว่า มีบัญชีที่เชื่อมโยงกับกองทัพมีการแสดงความเห็นต่อทวิตของผู้ฟ้องคดี แต่ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นครั้งใด หรือครั้งดังกล่าวเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวหรือปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะมีความเห็นไปในทางเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า เจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบกกระทำละเมิดที่ขัดต่อกฎหมาย


โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติเกี่ยวกับการละเมิดไว้ว่า การกระทำใดที่จะถือว่าเป็นการละเมิด ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก คือ ต้องขัดต่อกฎหมาย ต้องก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น และต้องเป็นสาเหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย กรณีนี้ เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า รับฟังไม่ได้ว่ากองทัพบก โดย ผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบกใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและการอุ้มหายฯ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า กองทัพบก โดย ผบ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองทัพบกกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสาม


พิพากษายกฟ้อง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลปกครองกลาง #กองทัพบก #ปฏิบัติการIO