วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“วีระยุทธ” แนะรัฐบาลเปิดวงรับฟังผู้ได้รับผลกระทบ “ภาษีทรัมป์” ใน 8 สัปดาห์ที่เหลือก่อนปิดดีลยกที่สาม ชี้กรณี “แรร์เอิร์ธ” เพิ่งเริ่มยกแรก แต่ยุทธศาสตร์ต้องชัด

 


“วีระยุทธ” แนะรัฐบาลเปิดวงรับฟังผู้ได้รับผลกระทบ “ภาษีทรัมป์” ใน 8 สัปดาห์ที่เหลือก่อนปิดดีลยกที่สาม ชี้กรณี “แรร์เอิร์ธ” เพิ่งเริ่มยกแรก แต่ยุทธศาสตร์ต้องชัด


วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้ส้มภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงกรณีการลงนามข้อตกลงร่วม (Joint Statement) ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา


วีระยุทธระบุว่า เรื่องที่มีการลงนามระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้นมีอยู่ 2 เรื่องที่คาบเกี่ยวกัน กรณีแรกคือข้อตกลงร่วมเรื่องภาษีทรัมป์ ที่รอบแรกเมื่อเดือนเมษายน 2568 มีการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเป็น 36% รอบที่สองเมื่อเดือนสิงหาคม-กันยายน มีการประกาศลดเหลือ 19% แต่ในเวลานั้นสังคมไทยยังไม่รู้ว่าเราเอาอะไรไปแลกบ้าง


และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไปประชุมสุดยอดอาเซียน ก็มีการประกาศเป็นข้อตกลงร่วมออกมา นี่เป็น “โค้งสุดท้าย” ที่มีความสำคัญ และพรรคประชาชนอยากให้รัฐบาลเชิญชวนคนที่เกี่ยวข้องเข้าไปพูดคุยกับทีมไทยแลนด์ให้มากขึ้นกว่านี้ เช่น เกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพราะในรอบที่สองที่มีการลดภาษีมา มีแต่ผู้แทนระดับแกนนำของแต่ละภาคธุรกิจเข้าไปคุย เมื่อเป็นรอบที่สามแล้ว รัฐบาลและทีมไทยแลนด์ควรเปิดกว้าง ให้คนที่จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจริงเข้าไปพูดคุย และหารือว่าเป็นการคุ้มหรือไม่ที่จะแลก หากต้องเยียวยาและปรับตัวควรทำอย่างไร


ในรอบสามนี้ ข้อดีคือประเทศไทยเห็นแล้วว่าประเทศคู่แข่งต่อรองกับสหรัฐอเมริกาอย่างไร ควรเปรียบเทียบว่าสิ่งที่ประเทศไทยเอาไปแลกกับสหรัฐอเมริกาเยอะเกินไปหรือไม่ เช่น เครื่องบินที่สหรัฐอเมริกาบังคับให้ทุกประเทศซื้อหมด แต่ประเทศไทยซื้อเยอะที่สุดจำนวน 80 ลำ รวมมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการต่อรองอัตราภาษีจาก 36% ให้เหลือ 19% ขณะที่เวียดนามต่อรองจาก 46% ลงมาเหลือ 20% แต่ซื้อเครื่องบินแค่ 50 ลำ ขณะที่มาเลเซียเสนอซื้อเพียง 30 ลำเท่านั้น 


วีระยุทธกล่าวต่อไปว่า ส่วนอีกเรื่องที่เป็นประเด็นขึ้นมา คือเรื่องของแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) ว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการต่อรองในรอบแรก เป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพราะประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางมาพร้อมกับยุทธศาสตร์ใหญ่ที่อยากมีส่วนร่วมในเรื่องแร่หายากกับประเทศเอเชีย ซึ่ง ณ จุดนี้ยังไม่มีใครได้ใครเสีย แต่ประเทศไทยต้องมีการเตรียมตัวและสำรวจได้แล้ว และหากจะมีการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในอนาคต สิ่งที่จะมีการปันผลประโยชน์ต้องมีความชัดเจน เมื่อยังเป็นรอบที่หนึ่งก็ต้องเริ่มคุย หากปล่อยไปก็อาจถูกเอาเปรียบได้ เมื่อยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจชัดเจนแล้ว ยุทธศาสตร์ของไทยเราก็ต้องชัดเจนเช่นเดียวกัน


สำหรับสิ่งที่น่ากังวล หากมองภาพในขณะนี้ เรื่องที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยึดเป็นหลักในการเจรจากับประเทศในเอเชียคือเรื่อง “ภาษีดิจิทัล” ซึ่งบริการและผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเป็นแหล่งรายได้สำคัญและเป็นสิ่งที่ประเทศไทยมีการสูญเสียออกนอกประเทศอยู่มาก บริการต่างๆ ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบันมาจากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก มีการเขียนไว้ในข้อตกลงร่วมว่าขอให้ประเทศไทยละเว้นการเก็บภาษีในส่วนนี้ 


แต่ถ้าเราไปดูเวียดนาม พบว่ามีการระบุไว้กว้างๆ เพียงว่าจะมีการไปเจรจาและหาข้อสรุปต่อ ต่างจากไทยที่มีการผูกมัดไว้แล้วว่าจะไม่เก็บ ทั้งที่ควรมีการพูดคุยกันภายในก่อนว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่กับสิ่งที่ประเทศไทยจะเสียไป แล้วจะทำอย่างไรกับบริการดิจิทัลจากประเทศอื่น


วีระยุทธกล่าวต่อไปว่า อีกกรณีที่อาจจะยังไม่ค่อยเป็นข่าว คือในข้อตกลงร่วมที่ไทยลงนามกับสหรัฐอเมริกา มีการระบุไว้ชัดเจนว่าขอให้กรมศุลกากรยกเลิก “ระบบการให้เงินสินบนและรางวัลนำจับ” ซึ่งประเทศไทยใช้มายาวนาน เป็นอีกกรณีที่ยังไม่เคยมีการหารือกันภายในประเทศมาก่อนและน่าจะเป็นข่าวครั้งแรก ซึ่งตนอยากให้กระทรวงการคลังศึกษาให้ชัดว่าจะไปทางนี้จริงหรือ จะมีผลได้ผลเสียอย่างไรทั้งกับประเทศและกลไกราชการ


“เมื่อเป็นยกที่สามแล้ว เรารู้แล้วว่าผู้ได้ผู้เสียมีใครเกี่ยวข้องบ้าง เกษตรกร กรมศุลกากร ฝ่ายที่ต้องซื้อเครื่องบิน หรือผู้บริโภคต่างๆ ที่ใช้บริการดิจิทัลของสหรัฐอเมริกา ตรงนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะใช้เวทีนี้ อย่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ระบุไว้ ว่าจะจัดการให้เสร็จภายในปลายปี 2568 จึงเหลือเวลาอีกราวสองเดือนเท่านั้น ที่ประเทศไทยจะมาจัดการกันภายใน อยากให้รัฐบาลเปิดเวทีรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 8 สัปดาห์ 8 วาระได้เลย“ รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าว


วีระยุทธยังกล่าวเสริมถึงกรณีแรร์เอิร์ธ โดยระบุว่า เรื่องนี้อยู่ในยกที่หนึ่ง แต่รัฐบาลควรสื่อสารเรื่องแรร์เอิร์ธกับสังคมให้ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ จะวางกรอบการปันผลประโยชน์ในอนาคตอย่างไร ทั้งนี้ เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เพราะการลงนาม MOU กับสหรัฐอเมริกาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จีนก็จะถามว่าแล้วกับจีนประเทศไทยจะเอาอย่างไร หากประเทศไทยเริ่มยอมมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ก็อาจจะต้องมีการยอมให้กับมหาอำนาจประเทศอื่นต่อ และอาจจะต้องยอมให้เขามากกว่า


นอกจากนี้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้คนไทยกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากเรามีการผลิตแรร์เอิร์ธเพิ่มขึ้นจริงจัง จะมีการควบคุมได้จริงหรือไม่ เช่นเดียวกับการแบ่งปันผลประโยชน์ หากประเทศไทยมีสินแร่และมีความสามารถในการผลิต สุดท้ายจะมีการปันผลประโยชน์อย่างไรให้เป็นธรรม เมื่อประเทศมหาอำนาจมียุทธศาสตร์แรร์เอิร์ธแล้ว เราก็ต้องมียุทธศาสตร์เช่นกันว่าจะอยู่จุดไหนในซัพพลายเชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #แรร์เอิร์ธ