ณัฐพงษ์เยือนสิงคโปร์หารือหน่วยงานความมั่นคง ย้ำไทยต้องเอาจริง ตั้ง Special Task Force เป็นเจ้าภาพปราบปรามการฟอกเงินจากสแกมเมอร์
เมื่อวันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม 2568 พรรคประชาชนนำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยรังสิมันต์ โรม และพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้เข้าพบหน่วยงานงานความมั่นคงของสิงคโปร์ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการสืบสวนและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงอาชญากรรมการค้ามนุษย์ข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสแกมเมอร์ และการฟอกเงินผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในเชิงนโยบายและระดับปฏิบัติการ ซึ่งการป้องกันการหลอกลวงทางออนไลน์กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ที่แต่ละประเทศต่างได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของพี่น้องประชาชน
ผู้แทนหน่วยงานความมั่นคงของสิงคโปร์ได้เริ่มกล่าวรายงานข้อมูลว่า ในปี 2024 ผู้เสียหายจากสแกมสูญเสียเงินรวมกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 27,000 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เพียง 6 เดือน มีผู้เสียหายได้รับเสียหายกว่า 20,000 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 456 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 11,300 ล้านบาท โดยรูปแบบการหลอกลวงที่พบบ่อยได้แก่ การหลอกให้กรอกข้อมูลบัญชี , หลอกสมัครงาน และการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งผู้เสียหายในสิงคโปร์ส่วนมากมักโอนเงินให้ด้วยความสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสิงคโปร์สามารถนำเงินคืนให้ผู้เสียหายได้เป็นจำนวนมาก โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานความมั่นคง สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการโทรคมนาคม ร่วมกันอย่างเป็นระบบ
ด้านนายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตการณ์สแกมเมอร์ครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน และเห็นว่าปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ปัญหาเพียงแค่ภายในประเทศไทยที่ต้องประเชิญเท่านั้น แต่เป็นปัญหาทั้งกลุ่มอาเซียนกำลังเผชิญวิกฤตนี้ร่วมกัน โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งประเทศที่ได้รับความเสียหายจากสแกมเมอร์เป็นจำนวนมาก และระหว่างเดือนมีนาคม 2022 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2024 มีคดีอาชญากรรมทางออนไลน์กว่า 540,000 คดี ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องการการจัดการที่ต้องมีประสิทธิภาพ มีการประสานความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงิน และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเสนอให้มีการตั้ง Special Task Force รวมศูนย์ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ธนาคารกลาง ตำรวจ อัยการ คณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ โดยทำงานร่วมกับทุกประเทศที่มีผู้เสียหายจากสแกมเมอร์ การตั้ง Special Task Force นี้จะทำให้การจัดการอาชญากรรมข้ามชาติที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงหลายประเทศและเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้อย่างเท่าทันอาชญากร และปกป้องประชาชนในแต่ละประเทศได้
ณัฐพงษ์ได้กล่าวช่วงท้ายว่า ปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ไม่ใช่เพียงการที่จะการปราบปรามผู้กระทำความผิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องป้องการการฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซีหรือเงินดิจิตอลด้วย และการลงทุนของนักลงทุนในต่างประเทศหลายแห่งมักเป็นการนำเงินผิดกฎหมายที่ไม่มีแหล่งที่มาของเงินนำมาฟอกให้กลายเป็นเงินในระบบเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบกับภาคเอกชนเป็นวงกว้างไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม ซึ่งประเทศไทยเพียงประเทศเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเองเพียงลำพังได้ แต่ทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนต้องแสวงหาความร่วมมือภายใต้กรอบ ASEAN เพื่อยกระดับความมั่นคงทางไซเบอร์ในภูมิภาคนี้ให้เป็นวาระสำคัญ ซึ่งไทยในฐานะประเทศที่ถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินของอาชญากรข้ามชาติ ต้องเป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนเรื่องนี้
