วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

“วิโรจน์” แฉเครือข่ายแบงก์-ทุนใหญ่กัมพูชาโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์พยายามเข้าฮุบหุ้นบางจาก-ล้วงลูกกระบวนการสรรหาผู้ว่า ธปท. ตั้งข้อสังเกตหลายบุคคลใน ครม. มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวหรือไม่ หวั่นเปิดประตูทุนเทาข้ามชาติขนเงินสีเทาเข้ายึดประเทศ

 


“วิโรจน์” แฉเครือข่ายแบงก์-ทุนใหญ่กัมพูชาโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์พยายามเข้าฮุบหุ้นบางจาก-ล้วงลูกกระบวนการสรรหาผู้ว่า ธปท. ตั้งข้อสังเกตหลายบุคคลใน ครม. มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวหรือไม่ หวั่นเปิดประตูทุนเทาข้ามชาติขนเงินสีเทาเข้ายึดประเทศ


วันที่ 30 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงนโยบายข้อที่ 9.1 ว่าด้วยการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีการซื้อขายหุ้นของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (BCP) 


วิโรจน์ระบุว่ากรณีดังกล่าวเริ่มจากสำนักข่าว Asia Sentinel รายงานว่า ในปี 2567 มีกองทุนลึกลับพยายามจะเข้าซื้อหุ้นบางจากทั้งหมด ที่กองทุนประกันสังคมถือครองอยู่ 14.18% เป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการบริหารการลงทุนสำนักงานประกันสังคม พยายามสอบถามว่าผู้ที่จะซื้อหุ้นนั้นเป็นใครแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ จึงทำให้การซื้อหุ้นบางจากครั้งนั้นไม่เกิดขึ้น แต่ต่อมาก็มีกองทุนจากประเทศสิงคโปร์ แคปปิตอล เอเชีย อินเวสต์เมนท์ (CAI) ได้เข้ามาถือครองหุ้นบางจากในสัดส่วนสูงถึง 14% แต่ต่อมาในเดือนมีนาคม 2568 ก็ได้มีการเทขายหุ้นกว่า 9% ให้กับบริษัทไทย อัลฟ่า ชาร์เตอร์ด เอนเนอจี้ (ACE) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นในปีเดียวกัน


โดยบริษัท ACE ยังได้ไล่ซื้อหุ้นบางจากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 9 เมษายน 2568 สามารถครอบครองหุ้นไปได้ถึง 20% ตนซึ่งได้ไปสืบค้นต่อก็พบว่าธุรกรรมเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึง เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (เบน สมิธ) ซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ ฮุน เซน และนายทุนกับกลุ่มทุนธนาคารในกัมพูชา โดยที่ในฝั่งไทยเองเบนจามินก็มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับนักการเมืองใหญ่หลายคนอย่างแนบแน่นด้วย


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ยังเคยปรากฏภาพถ่าย เบนจามิน นั่งร่วมโต๊ะกาแฟกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้งยังมีภาพถ่ายการทำบุญตักบาตรร่วมกันในงานทอดกฐินที่ จ.อุตรดิตถ์ แม้การมีภาพถ่ายร่วมกันจะยังไม่อาจสรุปได้ว่า ทักษิณ และ ธรรมนัส มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจหรือทางการเมืองโดยตรงกับ เบนจามิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เกิดคำถามและข้อสงสัยว่าความเชื่อมโยงที่แท้จริงคืออะไรกันแน่


เบนจามินถูกตั้งข้อสงสัยอย่างหนักว่าอาจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับธุรกิจสีเทา ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งมีฐานปฏิบัติการใหญ่ในประเทศกัมพูชา และมีมูลค่าถึง 12,900–19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4–6 แสนล้านบาท เท่ากับ 60% ของจีดีพีประเทศกัมพูชา ซึ่งคนไทยตกเป็นเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ สูงถึงปีละ 1.15 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นวันละ 316 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจพนันออนไลน์ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึงปีละ 20,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย วันละ 55 ล้านบาท เมื่อรวมตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง ปีละประมาณ 1.35 แสนล้านบาท


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าที่น่าสนใจคือหนึ่งในผู้จัดการกองทุน CAI คือ แคทรียา บีเวอร์ ซึ่งเป็นภรรยาของ เบนจามิน โดยเบนจามินไม่ได้เป็นแค่ชาวต่างชาติที่ได้สัญชาติกัมพูชา แต่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ ฮุน เซน โดยตรง และทำงานคู่กับ ยิม เลียก ลูกชายของ ยิม ไช ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของ ฮุน เซน โดยที่น้องสาวของ ยิม เลียก คือ ยิม ไช ลิน ได้แต่งงานกับ ฮุน มานี ลูกชายคนเล็กของ ฮุน เซน ด้วย


ปัจจุบัน ยิม เลียก ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ BIC Group กลุ่มทุนการเงินขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับตระกูลฮุน โดยที่บนหน้าเว็บไซต์ของ BIC Group เคยมีการแอบอ้างเอาชื่อของ วรภัค ธัญยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ ร่วมกับ อดีตปลัดสองกระทรวงคือกระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน และอดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทั้ง 3 เพิ่งถูกเอาชื่อออกจากหน้าเว็บไซต์เมื่อกลางเดือนกันยายน 2568 นี้เอง


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าเมื่อปี 2563 แคทรียา บีเวอร์ ได้เข้ามาซื้อหุ้น บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟเอเชีย จำกัด (UPA) ซึ่งต่อมา UPA ก็ไปซื้อหุ้น บริษัท One Central Tower จาก ยิม เลียก ในสัดส่วนถึง 33.84% ซึ่งเมื่อพิจารณาเชื่อมโยงกันแล้วย่อมตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า เบนจามิน, แคทรียา และ ยิม เลียก ทั้งสามคนน่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แนบแน่นมาก


ที่ตนต้องเอ่ยถึงชื่อ วรภัค ก็เพราะ วรภัคเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท พิลกริม ฟินันซ่า อินเวสท์เม็นต์ โฮลดิ้งส์ (PFIH) และในช่วงแรกถือหุ้นมากถึง 60% ต่อมาหุ้นบริษัท ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด (FSX) ที่เคยถือครองโดยบริษัท พิลกริม ตกไปอยู่กับกองทุน CAI ซึ่ง แคทรียา เป็นผู้จัดการกองทุน คำถามจึงเกิดขึ้นว่า วรภัค รู้จักกับ แคทรียา และ เบนจามิน อยู่ก่อนแล้วหรือไม่


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าบริษัท ACE ที่เข้ามาซื้อหุ้นบางจากต่อจากกองทุน CAI มีผู้ถือหุ้นเพียง 2 ราย คือ บริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด ถือหุ้น 51% และบริษัท อังกอร์ อิสชูแอนซิส ถือหุ้นอีก 49% แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ บริษัท อัลฟ่า โกลบอล จำกัด กลับมีที่ตั้งอยู่ที่เดียวกันและชั้นเดียวกันกับ BIC Group ในประเทศไทย และยังเป็นที่เดียวกันกับ บริษัท เอเพกซ์ เอคควิตี้ เวนเจอร์ ของ แคทรียา นั่นก็คือชั้น 28 อาคารเกษรทาวเวอร์


ตนเชื่อว่า อนุทิน น่าจะรู้จัก เบนจามิน อยู่บ้าง เพราะในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 บุคคลนี้เคยขอสละสัญชาติกัมพูชาแล้วมายื่นขอสัญชาติไทย แต่ อนุทิน ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ลงนามอนุญาต โดยที่กระบวนการในครั้งนั้น มีหนึ่งในผู้รับรองประวัติให้กับ เบนจามิน คือ วราห์ สุจริตกุล รองประธานกรรมการบริษัท ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด (FSX) ซึ่งเป็นหุ้นที่ บริษัท พิลกริม ที่ วรภัค เคยถือหุ้นใหญ่ ขายให้กับกองทุน CAI ที่มี แคทรียา เป็นผู้จัดการกองทุน


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าหุ้นบางจากในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ บริษัท ACE กำลังเข้าซื้อ นั้น มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาท ดังนั้น การซื้อหุ้นบางจาก 20% จะต้องใช้เงินมากถึง 10,000 ล้านบาท คำถามคือ บริษัท ACE เอาเงินที่ไหนมาซื้อ เพราะทุนจดทะเบียนของ บริษัท ACE มีเพียงแค่ 50 ล้านบาทเท่านั้น จึงมีข้อสงสัยจากบรรดานักลงทุนว่าแหล่งเงินทุนที่เอามาซื้อหุ้นบางจากนั้น มีความเกี่ยวพันกับ BIC Group หรือกลุ่มทุนอื่นๆ ของประเทศกัมพูชาหรือไม่ 


ปัจจุบัน บริษัท บางจาก ไม่ได้เป็นเพียงแค่ธุรกิจโรงกลั่นและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป แต่ได้ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะบริษัทในเครืออย่าง BCPR ที่จัดตั้งทั้งในประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ เพื่อดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 บริษัท BCPR เพิ่งประกาศความร่วมมือกับเชฟรอน เพื่อสำรวจปิโตรเลียมในแปลง G2/65 ในอ่าวไทย


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าแต่ประเทศไทยและกัมพูชายังมีข้อตกลง MOU44 ที่กำหนดการแบ่งพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (OCA) ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลมูลค่ามหาศาล มีการวางแผนเรื่องสัมปทานไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กิจกรรมสำรวจและผลิตยังไม่เกิดขึ้น เพราะข้อพิพาทเขตแดนไทย–กัมพูชายังไม่สิ้นสุด คำถามคือถ้าวันหนึ่งฝ่ายการเมืองดีลกันลงตัวระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองและกลุ่มทุนไทย กับเครือข่ายอำนาจของ ฮุน เซน บางจากในฐานะที่เป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของประเทศ จะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเปิดทางไปสู่อภิมหาโครงการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลหรือไม่


หากเงินที่ถูกนำมาไล่ซื้อหุ้นบางจากเป็นเงินสกปรก มีที่มาจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ การฟอกเงินของเครือข่ายก่อการร้าย หรือแม้แต่อาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบต่างๆ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศกัมพูชา ก็หมายความว่าทุนเทาข้ามชาติกำลังคืบคลานเข้ามายึดประเทศไทยผ่านกลไกตลาดหลักทรัพย์ โดยไม่ได้เป็นเพียงการเอาเงินสกปรกมาฟอก แต่คือการเอาเงินที่หลอกคนไทยมาทำกำไรผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์ โดยการเข้ามาซื้อหุ้นในธุรกิจยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงของประเทศ


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่ายังมีข้อสันนิษฐานว่าเงินทุนสีเทาก้อนนี้ อาจทะลักเข้ามายึดกุมระบบการเงินการธนาคารของประเทศไทยโดยตรง ซึ่งถ้าเป็นจริงประเทศไทยจะกลายสภาพเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของโลก เงินสกปรกจะไหลทะลักเข้ามาในประเทศอย่างไม่ขาดสาย และจะกลายเป็นกำแพงกีดกันเม็ดเงินลงทุนสุจริตไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุนสมัยใหม่ และโอกาสในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่สร้างการจ้างงานแรงงานทักษะสูง


BIC Group มีธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ชื่อว่า BIC Bank ซึ่งปัจจุบันมี ยิม เลียก นั่งเป็นประธานกรรมการ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือประธานกรรมการ BIC Bank คนแรกกลับปรากฏชื่อ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลังของประเทศไทย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น ยิม เลียก ในปี 2562 และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สถิตย์ก็ได้รับการแต่งตั้งจาก พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น ให้เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สถิตย์ ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง


“ประชาชนและนักลงทุนจะไม่ตั้งข้อสงสัยอะไรเลยได้อย่างไร ในเมื่ออดีตประธานกรรมการ BIC Bank กลุ่มทุนทางการเงินขนาดใหญ่จากกัมพูชา ซึ่งถูกสื่อมวลชนตั้งข้อกังขาในเรื่องของความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ และอาชญากรรมไซเบอร์ เข้ามามีบทบาทโดยตรงในกระบวนสรรหาและคัดเลือกบุคคลในตำแหน่งสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย ในระดับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลระบบการเงินและการธนาคารของประเทศ” วิโรจน์กล่าว


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าส่วนบริษัท ACE ที่เข้าซื้อหุ้นบางจากต่อจากกองทุน CAI มีผู้ถือหุ้นอยู่ 2 ราย นั่นก็คือ บริษัท อัลฟ่า โกลบอล และ บริษัท อังกอร์ อิชชูแอนซิส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Chartered Group ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นหลักทรัพย์ ซึ่งมีบริษัทในเครืออีกบริษัทหนึ่งคือ บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส เมื่อตนติดตามการซื้อหุ้นของ บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส จึงได้พบว่ามีการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีจีไอ จำกัด (VGI) โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 11% และเมื่อตามไปดูข้อมูลการซื้อขายหุ้นต่อก็พบว่ากองทุน CAI ก็เข้าซื้อหุ้น VGI ด้วยเช่นกัน โดยถือครองหุ้น VGI ในสัดส่วน 14.5% ซึ่งมีการวิเคราะห์เอาไว้ว่าเป็นเพราะ VGI กำลังพยายามขอใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจากธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ก็ขออนุญาตไม่สำเร็จ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนที่มีความสัมพันธ์หรือรู้จักคุ้นเคยกับ BIC Group บริษัท VGI จะได้รับใบอนุญาตหรือไม่


สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงคริปโต ย่อมรู้จัก KuCoin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคริปโตระดับโลก แต่ที่น่าสนใจคือบริษัทแม่ของ KuCoin เคยถูกปรับเงินสูงถึง 300 ล้านดอลลาร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2567 เนื่องจากประกอบธุรกิจโอนเงินโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่สามารถหยุดยั้งการฟอกเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐได้ ซึ่ง KuCoin ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล และเป็นผู้ออก SiriHub Token ให้กับ บริษัท แสนสิริ ที่เกี่ยวข้องกับ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แม้อาจจะเป็นเรื่องของธุรกิจปกติ แต่ก็อดสงสัยว่าทำไมในตอนที่ เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงต้องอาสามาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง 


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าบริษัท ERX เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เวลาซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ลงทุนจะต้องทำธุรกรรมผ่านระบบธนาคารที่ผูกบัญชีเอาไว้ จึงมีข่าวเชื่อมโยงในแวดวงการเงินการลงทุนว่ามีกลุ่มทุนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะเจรจาซื้อหุ้นของธนาคารอิสลาม โดยมีข้อสันนิษฐานว่าจะนำเอาธนาคารอิสลามมาใช้ผูกบัญชีกับแพลตฟอร์ม KuCoin Thailand ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่จะเข้ามาสนับสนุนโครงการ G‑Token อย่างเต็มตัว ซึ่ง G-Token ก็คือพันธบัตรรัฐบาลในรูปแบบดิจิทัลของรัฐบาลไทยที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งจะทำการซื้อขาย รับผลตอบแทน และไถ่ถอนบนแพล็ตฟอร์มของ KuCoin Thailand


ที่น่าสนใจก็เพราะเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 KuCoin Thailand ภายใต้การบริหารของ บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (FSS) เพื่อร่วมผลักดันและขยายโอกาสด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่ง บริษัท FSS ก็คือบริษัทในเครือของ บริษัท ฟินันเซีย เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งมีรองประธานกรรมการบริษัทคือ วราห์ สุจริตกุล ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่รับรองประวัติให้กับ เบนจามิน ในการขอแปลงสัญชาติจากกัมพูชาเป็นสัญชาติไทย ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่ตนก็จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ อนุทิน ได้รับทราบ


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าแม้ว่าการซื้อหุ้นธนาคารอิสลามจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าโครงการนำร่องในการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลบาทและนำไปใช้จ่ายของ กลต. เกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเฝ้าระวังและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโครงการที่อนุญาตให้เงินคริปโตสามารถนำมาใช้จ่ายประหนึ่งเป็นเงินสดได้ ถ้าเงินคริปโตที่เอามาใช้จ่ายมีที่มาจากเงินสีดำสีเทา ก็เท่ากับว่านี่คือโครงการนำร่องที่ปั้นขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องฟอกเงินให้กับอาชญากรไซเบอร์ข้ามชาติ


นอกจากนี้ บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Chartered Group ที่เป็นเสมือนพี่น้องกับ บริษัท อังกอร์ อิชชูแอนซิส ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอ็นเนอจี้ ที่ไปเข้าซื้อหุ้นบางจาก บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส นอกจากจะซื้อหุ้นบริษัท VGI แล้ว ยังเข้าไปซื้อหุ้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ซึ่งถือเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่มีหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจรวมกันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกด้วย โดยที่ บริษัท MFC เองเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสังคมก็ถือหุ้นบางจากอยู่ที่ 15.1% หากจะบอกว่า บริษัท โอปัส ชาร์เตอร์ด อิชชูแอนซิส อยู่ในฐานะที่ได้รับประโยชน์จากหุ้นบางจากทางอ้อม ก็พอจะอนุมานเช่นนั้นได้


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่าเรื่องที่บังเอิญอย่างน่าสงสัย คือการที่เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ ได้มีมติการประชุมครั้งที่ 5/2567 ในสมัยที่ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ เรื่อง ข้อกำหนดการฝากหรือลงทุนของสหกรณ์ ที่เปิดทางให้สหกรณ์สามารถนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ที่มีหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ ซึ่งบังเอิญไปสอดคล้องกับคุณสมบัติของกองทุน MFC อย่างลงตัว


เรื่องนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงการขายอาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 เพราะถูกขายโดยบริษัท MFC ให้กับกองทุนประกันสังคมในราคา 7,000 ล้านบาท ทั้งที่การประเมินมูลค่าตลาดอยู่เพียง 3,428–3,863 ล้านบาทเท่านั้น ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่ากรณีดังกล่าวนอกจากจะเป็นการทำกำไรเกินควรที่เข้าข่ายการเอารัดเอาเปรียบผู้ประกันตนแล้ว ยังเป็นกรณีที่ทำให้ประเทศไทยอาจกำลังเผชิญกับขบวนการทางการเมืองที่เปิดช่องให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศ เข้ามาเบียดบังผลประโยชน์ของผู้ประกันตนด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะหากเป็นเงินสีดำเงินสีเทาจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ หรืออาชญากรรมไซเบอร์


“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่มันคือหายนะระดับชาติ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังเปิดประตูเมืองให้ทุนเทาข้ามชาติขนเงินสกปรกก้อนมหาศาลเข้ามาในประเทศ เอาเงินที่หลอกคนไทยอยู่ทุกวัน วันละ 370 ล้านบาท ปีละ 1.35 แสนล้านบาท ผ่านกลไกทางการเมือง การเงิน การลงทุน และการธนาคาร เข้ามายึดครองประเทศของเรา” วิโรจน์กล่าว


วิโรจน์กล่าวต่อไปว่า มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าทุนเทาข้ามชาติเหล่านี้มักจะมีเป้าหมายไปที่หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างพื้นฐานของชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่มีหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยไม่ได้หยุดอยู่ที่การซื้อหุ้นเท่านั้น แต่ยังมีการอุ้มสมเครือข่ายทางการเมือง ซื้อข้าราชการระดับสูงไปเป็นลูกสมุน ใช้เงินสีเทาไปใช้ซื้อเสียง เพื่อสร้างเครือข่ายทางการเมืองสีเทา เพื่อไปกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับตน อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จำเป็นต้องเร่งสั่งการ ปปง. และ กลต. ให้เร่งตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


ถ้า อนุทิน มีความตั้งใจที่จะทำตามคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในข้อที่ 9.1 ต้องเดินหน้าสั่งการมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ และ ปปง. ให้เตรียมการเดินหน้าลงสัตยาบันอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (UNCC2024) ในฐานะเป็นรัฐผู้ก่อตั้ง 40 ประเทศ ให้ทันกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2569 รวมทั้งสั่งการให้ ปปง. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอท.) เร่งทำความร่วมมือกับองค์กรระดับโลก ทั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินสหรัฐ (FinCen) สำนักงานควบคุมสินทรัพย์ต่างประเทศ (OFAC Egmont Group) คณะทำงานการปราบปรามการฟอกเงินของโลก (FATF) ตำรวจสากล (INTERPOL) เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงออนไลน์ ให้สิ้นซาก 


นอกจากจะทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในเวทีโลกแล้ว ยังจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้เม็ดเงินสุจริตจากประเทศต่างๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยังจะทำให้ประชาชนคนไทยและผู้ประกอบการธุรกิจไทยมีความปลอดภัยในทรัพย์สิน แต่ถ้ารัฐบาลเปิดประเทศให้เงินสกปรกเหล่านี้เข้ามาผสมพันธุ์กับนักการเมืองได้ อย่าว่าแต่หุ้นบางจากเลย แม้แต่ ปตท. ธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารไทยพาณิชย์ เงินสกปรกเหล่านี้ก็ยึดได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #พรรคประชาชน

“พริษฐ์” ย้ำรัฐบาลเลี่ยงนโยบายหรือกระทำที่เสี่ยงจะเป็นการ “ขายของ ขายฝัน ขายสมบัติชาติ” จี้นายกฯ รักษาสัญญาดันแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระสำคัญ ไม่ใช่ภาระแต่เป็นวาระซ่อมประเทศ ย้ำต้องไม่มีมวยล้มต้มคนดู 'คดีเขากระโกง-ฮั้ว สว.'

 


“พริษฐ์” ย้ำรัฐบาลเลี่ยงนโยบายหรือกระทำที่เสี่ยงจะเป็นการ “ขายของ ขายฝัน ขายสมบัติชาติ” จี้นายกฯ รักษาสัญญาดันแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระสำคัญ ไม่ใช่ภาระแต่เป็นวาระซ่อมประเทศ ย้ำต้องไม่มีมวยล้มต้มคนดู 'คดีเขากระโกง-ฮั้ว สว.'


วันที่ 30 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้เป็นผู้อภิปรายสรุปในส่วนของพรรคประชาชน โดยเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจอยู่สั้นแต่ก่อความเสียหายที่อยู่ยาว รวมถึงความสำคัญของข้อตกลงในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตาม MOA กับพรรคประชาชน


พริษฐ์ระบุว่าการอภิปรายคำแถลงนโยบายครั้งนี้ไม่เหมือนกับการแถลงนโยบาย 2 ครั้งก่อนหน้านี้ เพราะตนไม่ได้คาดหวังให้รัฐบาลชุดนี้ทำงานครบวาระ แต่เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล ที่สภาจะอนุญาตให้มีอายุได้ไม่เกิน 4 เดือนหลัง เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ คือมีหน้าที่หลักในการยุบสภาและปลดล็อกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเป็นรัฐบาลเฉพาะลักษณะที่ถูกคาดหวังให้ต้องคงสภาวะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะผ่านกฎหมายในสภาไม่ได้หากฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย จะนอกลู่นอกทางก็ถูกฝ่ายค้านล้มได้


ตลอด 2 วันที่ผ่านมา สมาชิกจากพรรคประชาชน ได้พูดไปเกือบครบถ้วนแล้วว่ารัฐบาลควรทำนโยบายอะไรเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนในระยะ 4 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งสรุปออกมาได้เป็น 3 สงครามที่ต้องแก้ด่วน คือ 


1) สงครามเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลต้องกระตุ้นให้ประชาชนมีกินมีใช้ พวกตนไม่ติดกับการเดินหน้าคนละครึ่งพลัส แต่ควรพลัสให้มีเงื่อนไขที่กระตุ้นให้การบริโภคเพิ่มขึ้นจริง ไม่ใช่แค่การดึงยอดขายจากร้านค้านอกโครงการมาสู่ร้านค้าในโครงการ 


2) สงครามการค้าระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลต้องพยุงให้ผู้ประกอบการลืมตาอ้าปากได้ภายใต้ระเบียบเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน โดยเน้นย้ำไปที่การแก้ปัญหาเรื่องสินค้าสวมสิทธิ บนฐานข้อมูลที่แท้จริงจากภาคเอกชนถึงสภาพปัญหา รวมถึงการดำเนินมาตรการในการป้องกันการทุ่มตลาด ที่ผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรมเข้าถึงได้ 


3) สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลต้องเร่งคืนความปกติที่ปลอดภัยให้ประชาชนโดยเร็ว ที่สำคัญที่สุดคือการทลายกระเป๋าสตางค์และความชอบธรรมในเวทีโลกของผู้นำกัมพูชา ด้วยการการเร่งทลายธุรกิจสีเทาที่หล่อเลี้ยงเครือข่ายดังกล่าว


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ในเมื่อรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อายุสั้น สิ่งที่ตนกังวลที่สุด อาจไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะ “ไม่ทำอะไร ที่ควรทำ” แต่คือรัฐบาลจะ “ทำอะไร ที่ไม่ควรทำ” เพราะหากรัฐบาลก่อให้เกิดความเสียหายที่รัฐบาลถัดไปย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ อาจจะนำไปสู่สภาวะที่ “รัฐบาลจะอยู่สั้น แต่ความเสียหายอยู่ยาว”


ดังนั้น นโยบายและการกระทำของรัฐบาลจะต้องไม่ทำ 3 อย่าง คือ “ไม่ขายของ ไม่ขายฝัน ไม่ขายสมบัติชาติ”


ปัญหาแรก รัฐบาลต้องไม่ดำเนินนโยบาย “ขายของ” ที่เน้นหาเสียงเลือกตั้งมากกว่าเน้นหาทางออกให้ประเทศ มุ่งเป้าในการสร้างคะแนนนิยมให้รัฐบาลนี้แต่สร้างภาระและข้อจำกัดให้รัฐบาลชุดถัดไป ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลดค่าครองชีพแบบลดแลกแจกแถม แต่ยังขาดรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถลดค่าครองชีพได้จริง โดยไม่ใช่เพียงการเอาภาษีของประชาชนในอนาคตมาทำโปรโมชั่นก่อนเลือกตั้ง


เช่น ตนไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนนโยบายจาก “20 บาทตลอดสาย” มาเป็น “40 บาทตลอดวัน” หรือไม่อย่างไร แต่รัฐบาลต้องรู้ดีว่าตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถผลักดัน พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ให้ผ่าน สว. ออกมาได้ ตราบใดที่นิยามค่าโดยสารร่วยังไม่ชัดเจนและรัฐบาลยังไม่มีกลไกในาการไปเจรจากับเอกชนให้ลดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน สุดท้ายจะลดค่าโดยสาร ใน 4 เดือนนี้ได้ต่อเมื่อเอาภาษีประชาชนในอนาคตไปโปะ ตนไม่รู้ว่ารัฐบาลจะประกาศลดค่าไฟกี่บาท แต่ตราบใดที่นายกรัฐมนตรียังเดินรอยตามอดีตนายกรัฐมนตรี ไปตีกอล์ฟกับนายทุนพลังงาน แต่ไม่พยายามเจรจาเรื่องสัญญาโรงไฟฟ้าเอกชน หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ adder สุดท้ายก็จะลดค่าไฟไม่ได้เว้นแต่จะเอาเงินภาษีประชาชนมาโปะ


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่าข้อกังวลของตนคือรัฐบาลนี้จะอยู่ในตำแหน่งเต็มเพียง 4 เดือน แต่หากนับเฉพาะโปรโมชั่นที่รัฐบาลได้แถลงไปแล้ว คือคนละครึ่งพลัส ตัวเลขบ่งชี้ว่ารัฐบาลนี้กำลังจะใช้ทั้ง 100% ของงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งงบประมาณปี 2569 หรือหากรวมเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินในงบกลางไปด้วยก็คิดเป็น 33% ถ้าบวกกับโปรโมชั่นที่จะมีเพิ่มเติมอีกช่วง 4 เดือน ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลชุดนี้จะนำเงินภาษีประชาชนในอนาคตมาหาเสียงล่วงหน้ามากแค่ไหน และรัฐบาลใหม่ถัดไปจะเหลือพื้นที่ทางการคลังเท่าไหร่ในการแก้ปัญหาให้ประชาชน


อีกนโยบายที่สังคมตั้งคำถามว่าเน้นหาเสียงหรือเน้นหาทางออกมากกว่ากัน คือข้อเสนอในการเร่งเดินหน้าทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชาให้เสร็จภายใต้รัฐบาลชุดนี้ เราคนไทยทุกคนเห็นตรงกันว่าประเทศไทยจะต้องไม่ถูกบีบให้ไปยอมรับแผนที่ที่ทำให้เสียเปรียบในการเจรจาอย่างไม่เป็นธรรม เห็นตรงกันว่า MOU ต้องไม่ใช่เป็นเพียงกระดาษที่ทำอะไรไม่ได้แม้กัมพูชาจะละเมิดข้อตกลงกี่ร้อยครั้ง แต่ถ้ารัฐบาลอยากให้พวกตนเชื่อว่านโยบายนี้คิดมาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่เพียงเทคนิคหาเสียงกับประชาชนบางกลุ่ม รัฐบาลตอบได้หรือไม่ว่าคณะกรรมาธิการวิสามัญ MOU ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน จะศึกษาเรื่องสลับซับซ้อนนี้เสร็จภายใน 4 เดือนได้จริงหรือไม่ มีแผนจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่รอบด้านใน 4 เดือนได้อย่างไร และในการทำประชามติจะถามกี่คำถาม และหากประชาชนมีมติให้ยกเลิก รัฐบาลจะมีกลไกอะไรมาแทนที่หรือไม่ เพื่อทำให้ไทยได้เปรียบมากที่สุดในเวทีโลก


พริษฐ์กล่าวต่อไปถึงปัญหาที่สองคือนโยบายขายฝัน ที่ชัดเจนที่สุดคือสิ่งถูกระบุไว้ในคำแถลงนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายระดับ พ.ร.บ. อย่างน้อย 8 ฉบับ หลายฉบับเป็นประโยชน์จริง แต่ตนดูไม่ออกว่ารัฐบาลกฎหมายเหล่านี้ให้ทัน 4 เดือนได้อย่างไร เช่น พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ประชาชนรอมาแล้วกว่า 2 ปีหลังเลือกตั้ง แต่ยังไม่มีร่างจากฝ่ายบริหารคลอดออกมา ร่างที่ถูกเสนอโดยพรรคการเมืองและภาคประชาชนก็มีทั้งหมด 6 ร่าง เฉลี่ยร่างละ 113 มาตรา มีความเห็นต่างทั้งเรื่องสิทธินักเรียน คุณสมบัติครู โครงสร้างกระทรวง จะหาข้อสรุปให้ทัน 4 เดือนได้อย่างไร หรือ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้หน่วยงานมีร่างที่รับฟังความเห็นพร้อมแล้ว แต่ร่างนั้นก็มีถึง 200 มาตรา อีกทั้งรัฐบาลจะหยิบร่างนี้มาผลักดันต่อทันทีก็คงไม่ได้ เพราะเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่อยู่ในร่างกับในคำแถลงนโยบายวางเป้าหมายไว้ต่างกันถึง 15 ปี


และยังมีเรื่องของ พ.ร.บ.การพนัน ที่ตนต้องถามว่ารัฐบาลเตรียมร่างใหม่ไว้แล้วหรือยัง เพราะในคำแถลงนโยบายระบุว่ารัฐบาลจะควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนันให้ได้มากที่สุด ซึ่งสวนทางกับร่างแก้ไข พ.ร.บ.การพนัน ของกระทรวงมหาดไทย สมัย อนุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการ ที่เป็นการเพิ่มอำนาจและดุลพินิจเจ้าหน้าที่ในการปลดล็อกการพนันออนไลน์


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า ดังนั้น แทนที่รัฐบาลจะใช้เวลาในสภา 4 เดือนข้างหน้าไปกับการผลักดันกฎหมายที่แม้เป็นประโยชน์แต่ทำแล้วก็เสร็จไม่ทัน หรือทันก็จะได้แต่ทางออกแบบครึ่งๆ กลางๆ ตนเสนอให้รัฐบาลคืนเวลามาให้ฝ่ายนิติบัญญัติดีกว่า ให้มาคุยกันเองว่าจะหยิบกฎหมายอะไรบ้างที่เสนอมาแล้วมาผลักดันต่อให้เสร็จภายใน 4 เดือน อาจเป็นฉบับที่มาตราไม่เยอะ ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน และมั่นใจว่าทำได้ทันแน่นอน


ปัญหาที่สามที่รัฐบาลไม่ควรทำ คือการกระทำใดที่เสี่ยงจะเป็นการขายสมบัติชาติ รัฐบาลชุดนี้พูดอยู่บ่อยครั้งว่ารักและต้องการปกป้องชาติ โดยเฉพาะเรื่องเขตแดนและอธิปไตย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย แต่สิ่งที่ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนเขามีความกังวลใจคือรัฐบาลชุดนี้พร้อมจะปกป้องสมบัติของชาติในมิติอื่นๆ ได้เท่ากับที่พร้อมจะปกป้องเรื่องอธิปไตยและเขตแดนหรือไม่


ตัวอย่างแรกคือทรัพยากรธรรมชาติ ถ้ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีรักชาติจริงและไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลใคร ต้องไม่ปล่อยให้ผู้มีอิทธิพลกลุ่มใดเอาที่ดินของรัฐมาเป็นของตนเอง ในกรณีเขากระโดง พวกตนจะจับตาดูว่ากรมที่ดินภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรีจะทำอะไรไม่ชอบมาพากลหรือไม่ แต่ถ้านายกรัฐมนตรีรักชาติจริง ก็ต้องสนับสนุนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเดินหน้าฟ้องศาลยุติธรรมเพื่อเพิกถอนแปลงต่างๆ โดยมีการจัดลำดับความสำคัญ เริ่มที่สองแปลง คือ 3466 และ 8564 ที่ ป.ป.ช. ชี้แล้วว่าออกโฉนดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นของตระกูลใหญ่ในจังหวัดบุรีรัมย์ และกระทบต่อประชาชนทั่วไปในพื้นที่ 


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่าสมบัติของชาติที่สำคัญเช่นกันคือสถาบันทางการเมืองที่ใช้อำนาจแทนประชาชน ถ้ารัฐบาลรักชาติจริงและต้องการรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ต้องไม่ปล่อยให้ใครก็ตามที่ถูกพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับการโกง สว. มีที่ยืนในรัฐสภาแห่งนี้ ต้องทำเต็มที่เพื่อไม่ให้กระบวนการสอบสวนมีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจกับ สว. ให้หยุดได้แล้วกับการใช้อำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระและกรรมการ กกต. ต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่คดีตนเองยังอยู่ที่ กกต. ต้องพูดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เคยเป็นตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของ สว. ท่านหนึ่ง ต้องไม่แทรกแซงและฟอกขาวให้กับอดีตหัวหน้าตัวเอง


4 เดือนข้างหน้านี้จึงเป็นภารกิจสำคัญของฝ่ายค้าน ที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ปล่อยให้รัฐบาลที่อายุสั้นนี้ไปสร้างความเสียหายระยะยาว แต่อีกภารกิจสำคัญคือการติดตามการรักษาสัญญาตามเงื่อนไข MOA ในการปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


พวกตนไม่เคยบอกว่ารัฐบาลจะต้องทำเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ตนก็ต้องย้ำว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญว่าตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ คนไทยต้องเผชิญกับสภาวะประชาธิปไตยถดถอย นโยบายล้าหลัง และทุจริตเรื้อรัง สถาบันทางการเมืองมีความยึดโยงกับประชาชนน้อยลงในรัฐธรรมนูญ 2560 ประชาชนเลือก สส. พรรคหนึ่ง สักพักหนึ่งก็ย้ายไปทำงานกับอีกพรรคหนึ่งโดยไม่ขออนุญาตประชาชน ประชาชนเลือก สส. เข้ามาในสภา เลือกรัฐบาลเข้าไปในทำเนียบ แต่ตอนนี้คนที่ถูกมองว่าชี้ขาดว่ากฎหมายอะไรเสนอได้ ทำนโยบายอะไรได้ ใครอยู่ในคณะรัฐมนตรีได้ กลับเป็นตุลาการ 9 คน ในศาลรัฐธรรมนูญ


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่านโยบายที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีนวัตกรรมใหม่ๆเหมือน 20 ปีก่อน ส่วนหนึ่งก็เพราะรัฐธรรมนูญไปออกแบบให้รัฐบาลไม่มีสมาธิและแรงจูงใจในการคิดค้นนโยบายใหม่ๆ เท่าที่ควร สมาธิต้องใช้ไปกับการต่อสู้กับนิติสงคราม แรงจูงใจก็แทบไม่มีเพราะรัฐบาลอยู่รอดหรือไม่แทบไม่เกี่ยวข้องเลยกับความพึงพอใจของประชาชน แล้วรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกโฆษณาว่าปราบโกง กลับทำให้คะแนนการทุจริตของไทยแย่สุดในรอบ 10 ปี กลไกตรวจสอบถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทางการเมือง ส.ต.ง. ทำงานขยันผิดจุด ไล่ล่าครูที่ทำใบเสร็จซื้อเครื่องเขียนหายแต่กลับปล่อยปะละเลยให้ตึกถล่มลงมาได้


พวกตนไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จภายใน 4 เดือน แต่พวกตนก็รับไม่ได้กับข้อความ 3 บรรทัดในคำแถลงนโยบายที่กว้างและเบาหวิว จนไม่ได้สัดส่วนกับข้อเท็จจริงทางการเมือง ว่าความอยู่รอดของรัฐบาลชุดนี้ แปรผันโดยตรงกับความสำเร็จในการผลักดันวาระเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้านายกรัฐมนตรียังอยากเดินหน้าต่อตามเงื่อนไข MOA นายกรัฐมนตรีต้องลุกขึ้นมายืนยัน 2 เรื่องในที่ประชุมแห่งนี้ คือ


1) นายกรัฐมนตรีต้องยืนยันว่าเป้าหมาย 4 เดือนข้างหน้าของรัฐบาล คือการเดินหน้าสู่การจัดทำประชามติรัฐธรรมนูญรอบแรกพร้อมกับการเลือกตั้ง โดยนำครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาทำพร้อมกัน และแบ่งออกเป็น 2 คำถาม คือ 1) เห็นด้วยหรือไม่กับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 2) เห็นด้วยหรือไม่กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด15/1 ที่รัฐสภาเห็นชอบมา โดยต้องชี้ให้ชัดว่าพรรครัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาในซีกรัฐบาลทุกคนจะทำเต็มที่ตามโรดแม็ปนี้ เพื่อให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของทั้ง 3 พรรคที่เสนอเข้ามาผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1 ภายในวันที่ 14-15 ตุลาคม ทำเต็มที่ให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ทำงานเต็ม 2 เดือน ส่งร่างกลับมาและพิจารณาให้เสร็จในวาระที่ 2-3 ภายในสิ้นเดือนธันวาคม และนายกรัฐมนตรีต้องยืนยันว่าจะใช้เวลาหลังปีใหม่ทำงานร่วมกับ กกต. เพื่อเตรียมความพร้อมและกำหนดวันประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง ก่อนจะยุบสภาในสิ้นเดือนมกราคม


2) แค่เสร็จทันเวลาอย่างเดียวไม่พอ ถ้ารัฐบาลต้องการทำให้ภารกิจเรื่องรัฐธรรมนูญสำเร็จตามเงื่อนไข MOA นายกรัฐมนตรีต้องยืนยันด้วยว่าจะสนับสนุนโมเดล สสร. และกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีประชาชนอยู่ในสมการ หากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มบอกว่า สสร. เลือกตั้งไปต่อได้ นายกรัฐมนตรีก็ต้องสนับสนุนเต็มที่ แต่ถึงแม้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มจะทำให้ สสร.เลือกตั้งไปต่อได้ยาก นายกรัฐมนตรีก็ต้องไม่ฉวยโอกาสโดยการเอาคำวินิจฉัยนั้นมากดดันให้รัฐสภาต้องเห็นชอบกับโมเดล สสร. ที่ตัดการมีส่วนร่วมของประชาชนออกเกินจำเป็นและไปเพิ่มช่องโหว่ให้เกิดการฮั้วและกินรวบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้


พริษฐ์กล่าวต่อไปว่าการที่นายกรัฐมนตรีจะลุกขึ้นมายืนยันทั้งโรดแม็ปและหลักการ สสร. จะไม่เป็นเพียงแค่การยืนยันว่ารัฐบาลจะยังรักษาสัญญาตาม MOA ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สื่อสารโดยตรงกับสมาชิกวุฒิสภา ที่ถือกุญแจสำคัญในการปลดล็อกการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ภารกิจในการโน้มน้าว สว. เป็นภารกิจของ สส. ทุกคน แต่บุคคลที่สามารถทำเรื่องนี้ได้ดีที่สุดหนีไม่พ้นบุคคลที่ชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่นายกรัฐมนตรี แต่ยังเป็นบุคคลที่ใจตรงกันกับ สว. ในหลายเรื่องและลงเรือลำเดียวกันกับ สว. ในหลายเหตุการณ์


แม้นายกฯจะปฏิเสธความสัมพันธ์ดังกล่าว แต่ประชาชนเขาทราบดี ว่าความร่วมมือของ สว. ในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือตัวชี้วัดความจริงจังและความจริงใจของนายกรัฐมนตรีในวาระรัฐธรรมนูญ ความหวังของประชาชนจำนวนมากต่อการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และอนาคตประเทศไทยอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี ประชาชนหลายคนยังไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะแปรสภาพความหวังของเขาให้เป็นจริงได้ แต่นายกรัฐมนตรีเริ่มต้นได้วันนี้ด้วยการลุกมาชี้แจงและโน้มน้าวประชาชนให้ได้ ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้มองเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเพียงภาระที่ต้องทำให้เสร็จๆ ไปตามเงื่อนไข MOA แต่เป็นวาระที่สำคัญในการซ่อมประเทศ และสร้างอนาคตที่ดีให้กับคนไทย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #พรรคประชาชน

“ภัทรพงษ์” แนะรัฐบาลอนุทินเร่งแก้ปัญหามลพิษน้ำกก-ฝุ่นพิษ PM2.5 ขอคำตอบ รมว.พาณิชย์ จัดการอย่างไรบริษัทสัญชาติไทยรับซื้อข้าวโพดเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อฝุ่นพิษกระทบคนไทย

 


ภัทรพงษ์” แนะรัฐบาลอนุทินเร่งแก้ปัญหามลพิษน้ำกก-ฝุ่นพิษ PM2.5 ขอคำตอบ รมว.พาณิชย์ จัดการอย่างไรบริษัทสัญชาติไทยรับซื้อข้าวโพดเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อฝุ่นพิษกระทบคนไทย

 

วันที่ 30 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ (หางดง สันป่าตอง) พรรคประชาชน อภิปรายปัญหามลพิษทางอากาศและมลพิษทางน้ำ โดยกล่าวว่า ปัญหามลพิษเป็นเรื่องที่ต้องวางแนวทางการจัดการให้ถูกต้องใน 4 เดือนนี้เพื่อรับมือกับปัญหาและลดผลกระทบต่อประชาชนในช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้าให้ได้มากที่สุด แต่จากรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ซึ่งมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว และจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล อดห่วงไม่ได้จริงๆ ว่ารัฐบาลชุดนี้จะกลายเป็นมลพิษไปเสียเอง

 

สำหรับมลพิษทางน้ำ ที่ภาคเหนือบ้านของตนคือปัญหาน้ำกก-น้ำสาย-น้ำรวก เป็นพิษ จากการทำเหมืองทองคำและแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศเมียนมา ซึ่งมีจีนเป็นผู้นำเข้าและส่งออกไปยังต่างประเทศ ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษตรวจสารพิษในแหล่งน้ำไป 10 ครั้ง พบค่าเกินมาตรฐานทั้งสารหนู ตะกั่ว และแคดเมียม แต่การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาแทบไม่มีอะไรคืบหน้า ถ้ารัฐบาลนี้ยังเชื่องช้าในการแก้ไข ปัญหานี้จะลุกลามขึ้นหลายเท่า

 

โดยสถานการณ์ตอนนี้ประชาชนรู้แล้วว่าน้ำเป็นพิษ ไม่สามารถใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค และควรหลีกเลี่ยงการกินปลาเพราะเครื่องในปลามีสารพิเศษสะสม แต่สิ่งที่ประชาชนไม่รู้และไม่มั่นใจคือพืชผลที่ปลูกมาจากแม่น้ำเหล่านี้กินได้จริงหรือเปล่า เมื่อไม่รู้จึงเกิดปัญหาตามมาคือการโดนกดราคาพืชผล เกษตรกรขาดทุน ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่มีมาตรการอะไรในการรับมือ

 

ส่วนการเจรจาระหว่างประเทศ ผ่านมาหนึ่งปีไทยมีการคุยกับเมียนมาเรื่องนี้แค่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเดือนกรกฎาคม ครั้งที่สองเดือนสิงหาคม และเป็นเพียงครั้งเดียวที่เป็นการเจรจาระดับรัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี แต่การเจรจาแทบไม่มีผลอะไรเลย

 

ภัทรพงษ์ย้ำว่า ปัญหานี้ต้องเร่งจัดการเพื่อไม่ให้ขยายลุกลาม แต่กลับไม่มีอยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ต้องถามว่ารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ไม่คิดจะทำการบ้านเรื่องมลพิษบ้างหรือ ดังนั้นวันนี้ขอให้เร่งรื้อการทำงานใหม่ทั้งหมด

 

(1) เร่งบูรณาการทำระบบฐานข้อมูลที่รวบรวมจากทุกหน่วยงานมาไว้ที่เดียว แล้วเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจประปาหมู่บ้าน ตรวจผลผลิตการเกษตร เพื่อให้ทราบว่าพื้นที่ไหนมีการปลูกพืชอะไร ผลการตรวจสารพิษในผลผลิตนั้นเป็นอย่างไร หากพบค่าอะไรเกินมาตรฐาน จะสามารถระบุในแผนที่ได้ด้วยว่าหน่วยงานไหนกำลังดำเนินการแก้ไข แผนที่นี้จะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลที่คาบเกี่ยวหลายกระทรวง ทำงานคล่องขึ้น ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง

 

(2) เร่งตั้งศูนย์ตรวจวัดสารปนเปื้อนที่จังหวัดเชียงราย แก้ปัญหาที่ปัจจุบันการตรวจที่กรุงเทพฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจอย่างน้อย 1,800 บาท และใช้เวลามากกว่า 30 วันกว่าจะได้ผล ซึ่งอาจไม่ทันต่อการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ให้ถูกกดราคาผลผลิต

 

(3) เร่งรื้อการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกจุด คือฝายตักตะกอน 4 จุด 173 ล้านบาทที่ทําแค่น้ํากกที่เดียว ไม่พูดถึงน้ําสายและน้ํารวก ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้จริง ควรปรับเป็นการวางแผนดักตะกอนเฉพาะน้ําที่ใช้ในการเกษตรและอุปโภคบริโภคเท่านั้น ตรงจุดกว่าและใช้งบประมาณคุ้มกว่าหลายเท่า

 

(4) เร่งรื้อแนวการเจรจาระหว่างประเทศ ใช้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงด้านสิ่งแวดล้อม (LMEC) เนื่องจากกรอบ LMEC เป็นกรอบเดียวที่มีประเทศไทย เมียนมา และจีนครบถ้วน และมีแผนปฏิบัติการด้านมลพิษทางน้ำที่สามารถจัดการปัญหาได้ตรงจุด และรัฐบาลต้องมอบอำนาจให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบการเดินเรื่องภายใต้กรอบ LMEC โดยตรง ไม่ใช่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่เลือกใช้กรอบ MRC ที่ไม่มีเมียนมาและจีน ทำให้การแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่คืบหน้า

 

การเจรจาระหว่างประเทศต้องเริ่มดำเนินการทันที โดยไทยยื่นเสนอวาระเข้าที่ประชุมอาเซียนตามข้อตกลงโครงการบริหารจัดการภัยพิบัติที่จะประชุมกันในวันที่ 12-17 ตุลาคม และอีกเวทีที่ไทยต้องยื่นคือเวที China-ASEAN ตามกรอบ LMEC ที่จะประชุมวันที่ 21-23 ตุลาคม โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องชัดเจนในการเจรจาครั้งนี้ คือต้องบอกว่าต้องการให้ประเทศไหนทำอะไรบ้าง การแก้ปัญหาต้องทำที่ต้นเหตุ กางห่วงโซ่อุปทานของเหมืองแร่ออกมาให้ชัด แล้วเอาผิดต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านกลไกนานาชาติที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก ผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการคือประชาชนภาคเหนือได้แม่น้ำของพวกเราคืนมา

 

ภัทรพงษ์กล่าวต่อว่า อีกสิ่งสำคัญที่ต้องทำไปพร้อมกันอย่างจริงจัง คือการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM2.5 การรับมือปัญหานี้ในปีนี้จะแตกต่างจากเดิม เพราะศาลปกครองออกคำสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศเขตควบคุมมลพิษ 5 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน แต่อย่างแรกที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจคือฝุ่นพิษไม่มีเส้นแบ่งเขตจังหวัด เราต้องประกาศเขตควบคุมมลพิษตามขอบเขตของปัญหา อ้างอิงตามแหล่งกำเนิด ปรับการประกาศเขตควบคุมมลพิษใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มพื้นที่

 

(1) พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยขยายเขตควบคุมปรับจากแค่กรุงเทพฯ เป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยใช้มาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนร่วมกันเพื่อขจัดและลดมลพิษ ด้วยการทำ Low Emission Zone (LEZ) หลายชั้นตามข้อมูลมลพิษของพื้นที่นี้ย้อนหลัง 5 ปี ส่วนการควบคุมภาคอุตสาหกรรม กลุ่มจังหวัดต้องร่วมกันวางแผนจัดทำมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศใหม่สำหรับพื้นที่นี้โดยเฉพาะ รวมถึงทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศ เช่น นำ Hyperspectral UAV มาใช้ตรวจสอบการปล่อยมลพิษแบบ Real-Time ในช่วงวิกฤต เพื่อระบุต้นตอและเอาผิดผู้ก่อมลพิษได้ชัดเจน

 

(2) พื้นที่ 3 จังหวัดที่มีการเผาภาคเกษตรสูง ได้แก่ เพชรบูรณ์, ลพบุรี, นครสวรรค์ ควรใช้พื้นที่นี้เป็นโมเดลลดการเผาภาคเกษตรที่เข้มข้นที่สุด โดยภาครัฐต้องเพิ่มแรงจูงใจแก่เกษตรกรผ่านการสนับสนุนเกษตรกรที่ไม่เผาอ้อยไร่ละ 120 บาท โดยต้องจ่ายให้ทันภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อให้เกษตรกรวางแผนต้นทุนได้ โดยคำนึงถึงเงื่อนไขการเผาทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว​ นอกจากนี้ต้องมีมาตรการเสริมคือการค้ำประกันสินเชื่อให้เอกชนที่มีเครื่องจักรย่อยสลายและฝังกลบซากอ้อยเพื่อช่วยลดการเผา

 

ในขณะที่การปลูกข้าวก็เช่นกัน ต้องรื้อฐานข้อมูลข้าวใหม่ให้ละเอียดเหมือนอ้อย แล้วสนับสนุนเอกชนที่มีเครื่องตีดินมาปั่นฟางและตอซังลงดินแทนการเผา ควบคู่กับการพัฒนาวิธีหมักจุลินทรีย์เพื่อให้ย่อยสลายได้เร็ว ทันรอบการเพาะปลูกของชาวนา รวมทั้งสนับสนุนรถอัดฟางแบบเคลื่อนที่เข้าอัดเป็นเม็ดเชื้อเพลิงส่งเข้าโรงไฟฟ้าชีวมวล

 

(3) พื้นที่ภาคเหนือซึ่งเกิดไฟป่า รัฐบาลต้องเตรียมงบกลางและปลดล็อกให้ท้องถิ่นสามารถใช้งบได้ตามสภาพพื้นที่ของตัวเอง โดยต้องทำให้เสร็จภายในเดือนตุลาคม เพื่อไม่ให้งบมาช้าเหมือนปีที่ผ่านมาซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็เห็นปัญหาเพราะเป็นรัฐบาลในเวลานั้น รวมถึงพิจารณาปรับระเบียบค่าตอบแทนคนดับไฟป่าให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและชั่วโมงการทำงาน ซึ่งปัจจุบันถือว่าน้อยมาก

 

สุดท้ายคือห้ามนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มาจากการเผา ตนเสนอเรื่องนี้ทุกปีตั้งแต่ปี 2566 แต่ไม่ทำสักที เพิ่งมาใส่ในคำแถลงนโยบายตอนนี้ ซึ่งสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว นายทุนไม่ต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพราะนายทุนไปเปิดโรงงานรับซื้อข้าวโพดเผาที่ประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรัฐบาลนี้จะอ้างว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลชุดที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนี้ไม่ได้ เพราะในเวลานั้นรัฐมนตรีสังกัดกระทรวงพาณิชย์ก็อยู่พรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีอีกคน ตอนนี้ก็เป็นรองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรฯ ในรัฐบาลชุดนี้

 

ดังนั้นสิ่งที่ตนต้องการคำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คือภายใน 4 เดือนนี้จะวางมาตรการห้ามนำเข้าด้วยวิธีไหน ตรวจสอบย้อนกลับและตรวจสอบห่วงโซ่ผู้ประกอบการไทยที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างไร ที่สำคัญที่สุด จะทำอย่างไรกับผู้ประกอบการสัญชาติไทยที่ไปเปิดบริษัทแปรรูปอาหารสัตว์อยู่ที่เมียนมาเพื่อรับซื้อข้าวโพดที่เผาในเมียนมา มาแปรรูปแล้วส่งออกไปต่างประเทศ แม้ไม่ได้นำเข้ามาในไทยแต่ก็เผาในประเทศเพื่อนบ้านและฝุ่นก็ลอยเข้ามาในไทยอยู่ดี เพราะตอนนี้ชัดเจนว่าการที่รัฐบาลไทยถ่วงเวลาไม่ยอมประกาศห้ามนำเข้ามาหลายปี เป็นเพียงเพราะรอให้นายทุนสร้างโรงงานที่เมียนมาเสร็จก่อน เมื่อสร้างเสร็จก็มาประกาศเอาหน้าเหมือนว่าตัวเองจริงจัง

 

ภัทรพงษ์ทิ้งท้ายว่า ตนไม่เคยมีความไว้ใจ เชื่อใจ หรือสบายใจกับการมีคนชื่อ สุชาติ ชมกลิ่น มาเป็นรองนายกฯ ดูแลสิ่งแวดล้อม รัฐบาลมีเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้นและเป็นกรอบ 4 เดือนที่สำคัญมากกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ตนจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #PM25 #ฝุ่นพิษ #มลพิษน้ำกก

อัปเดต! คนละครึ่งพลัส ล่าสุด กลุ่มประชาชนทั่วไปได้ 2,000 บาท บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เติมให้เป็น 2,000 บาท

 


อัปเดต! คนละครึ่งพลัส ล่าสุด กลุ่มประชาชนทั่วไปได้ 2,000 บาท บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เติมให้เป็น 2,000 บาท


วันที่ 30 กันยายน 2568  ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าสำหรับโครงการ คนละครึ่งพลัส ของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ล่าสุด นายอนุทิน ยืนยันอีกครั้งว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29ก.ย.2568 แล้ว รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ


โดยเฉพาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่งพลัส” ให้ทันภายในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.2568 ทั้งนี้ รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน จึงต้องเร่งทำงาน อะไรที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองเราทำทั้งหมด ถ้าไม่เร่ง งบฯจะตกไป ซึ่งเราก็เตรียมตัวไว้แล้ว ไม่ปล่อยให้โครงการหลุดมือแน่นอน


ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนต.ค.นี้ หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว โดยตั้งเป้าเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนและใช้สิทธิได้ภายในปลายเดือน ต.ค.นี้


นายภราดร​ ปริศนานันทกุล​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกับนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมถึงได้ปรึกษากับนายอนุทิน ถึงการใช้งบประมาณปี 2568 ที่จะสิ้นสุดปีงบประมาณวันที่ 30 ก.ย.นี้ ว่ามีงบฯเหลืออยู่​ 60,000 กว่าล้านบาท​ แบ่งเป็นงบฯกลางสำรองฉุกเฉิน  และอีกส่วนจะนำไปใช้ในโครงการคนละครึ่ง โดยจะให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก่อน ประมาณ 13 ล้านคน วงเงินประมาณ 22,000 กว่าล้านบาท โดยจะให้เพิ่มเติมจากเดือนละ 300 บาท เพิ่มเป็น 2,000 บาท (ได้เพิ่มอีก 1,700 บาท)  นอกจากนี้ จะเป็นกลุ่มบุคคลทั่วไป รวมไปถึงจะใช้งบประมาณในปี 2569 มาเพิ่มเติม ประมาณ 25,000 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการคนละครึ่งเฟสแรกเริ่มช่วงใด นายภราดร กล่าวว่า คาดว่าในช่วงต้นเดือนต.ค.น่าจะได้เริ่มโครงการแล้ว เนื่องจากขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังเร่งดำเนินการพูดคุยกับ ครม. คาดว่าจะดำเนินโครงการทั้งสิ้นจำนวน 20 ล้านสิทธิ (ไม่รวม 13 ล้านสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ)


ส่วนใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 5 ก็จะต้องลงทะเบียนใหม่ โดยต้องถามรายละเอียดจากกระทรวงการคลังอีกครั้ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายละเอียดโครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 1 นั้น ผู้เสียภาษีจะได้ 2,400 บาท กลุ่มประชาชนทั่วไปได้ 2,000 บาท โดยมีระยะเวลาการใช้ 2 เดือน

ส่วนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่ได้ในส่วนนี้ แต่จะไปเพิ่มวงเงินช่วยเหลือจากเดิม 300 บาท อีก 1,700 บาท ทำให้ช่วงนั้นจะได้เงิน 2,000 บาท


โครงการ คนละครึ่งพลัส เฟส 1 จะเริ่มต้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม โดย
- ผู้เสียภาษี จะได้รับสิทธิ 2,400 บาท
- ประชาชนทั่วไป ได้รับ 2,000 บาท
- ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับเพิ่มจาก 300 บาท เป็น 2,000 บาท


โครงการจะเปิดให้ลงทะเบียนใหม่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมเฟสก่อนหน้า และคาดว่าจะใช้เวลาโครงการ 2 เดือน

วิธีลงทะเบียน คนละครึ่ง 2568 โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนรับสิทธิผ่าน 2 ช่องทาง ดังนี้

- เว็บไซต์ www.คนละครึ่http://xn--72c.com/
- แอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” (ต้องผูกกับ G-Wallet และเติมเงินก่อนใช้งาน)


ขั้นตอนติดตั้งและใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

- ดาวน์โหลดจาก App Store หรือ Google Play (รองรับ Android 9.0+ และ iOS 15.0+)
- ค้นหาแอปฯ “เป๋าตัง” แล้วกด “ติดตั้ง”
- เปิดแอปและยินยอมการจัดการข้อมูล
- เตรียมบัตรประชาชน ถ่ายรูปบัตร กรอกเบอร์มือถือรับรหัส OTP
- ยืนยันตัวตนได้ 2 วิธี ดังนี้ Krungthai NEXT : เข้าสู่ระบบ กรอกรหัส รับ OTP ตั้ง PIN และ สแกนใบหน้า : สแกนหน้า 
- ตั้ง PIN เปิดใช้งาน Face/Touch ID
- ยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน รอระบบตรวจสอบ หากสำเร็จจะแสดงการ์ด G-Wallet บนหน้าจอ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คนละครึ่ง #คนละครึ่งพลัส

ลุ้น! ฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ คดี ม.112 “ลูกเกด ชลธิชา” ปราศรัย #คาร์ม็อบ11กันยา64 ถ้ามีโทษคุก-ไม่ได้ประกัน หลุดส.ส.ทันที - เจ้าตัวยันปราศรัยด้วยความสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะและความมั่นคงของประเทศชาติในระยะยาว หวังคำพิพากษาจะออกมาเป็นคุณ


ลุ้น! ฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ คดี ม.112 “ลูกเกด ชลธิชา” ปราศรัย #คาร์ม็อบ11กันยา64 ถ้ามีโทษคุก-ไม่ได้ประกัน หลุดส.ส.ทันที - เจ้าตัวยันปราศรัยด้วยความสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะและความมั่นคงของประเทศชาติในระยะยาว หวังคำพิพากษาจะออกมาเป็นคุณ


วันที่ 30 กันยายน 2568 เวลา 9.00 น. “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว อดีตนักกิจกรรมทางการเมือง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปทุมธานี พรรคประชาชน เดินทางมาถึงศาลจังหวัดธัญบุรี ตามนัดหมายฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว อดีตนักกิจกรรมทางการเมือง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน เหตุจากกรณีปราศรัยและชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังคดีการเมือง หน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2564


โดยศาลชั้นต้น ตัดสินข้อหา ม.112 เห็นว่า น.ส.ชลธิชา กระทำความผิดตาม ม.112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวชลธิชาในระหว่างอุทธรณ์


สำหรับในวันนี้ ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน พร้อมด้วย ปิยรัฐ จงเทพ รองเลขาธิการพรรค และสส.กทม. พรรคประชาชน เดินทางมาร่วมสังเกตุการณ์และให้กำลังใจด้วย


ด้าน ชลธิชา กล่าวห่อนขึ้นไปฟังคำพิพากษาว่า เป็นอีกหนึ่งวันที่ค่อนข้างสำคัญแล้วก็ทำใจมาระดับหนึ่ง ซึ่งไม่ว่า คำพิพากษาจะออกมาในแบบใด ตนเองมีกำลังใจเต็มพร้อม และยืนยันว่าการปราศรัยในวันนั้น เป็นไปอย่างสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะและความมั่นคงของประเทศชาติในระยะยาว ก็หวังว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นคุณ


สำหรับ ผลคำพิพากษาออกมาอย่างไร UDD news จะรายงานให้ทราบอีกครั้ง

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #มาตรา112


 




“ศุภโชติ” ชี้คำแถลงนโยบายรัฐบาลอนุทินไม่แตะต้นเหตุค่าไฟแพง แนะนายกฯ ใช้เวลา 4 เดือนสะสาง 4 ปัญหาพลังงาน เคาะในที่ประชุม กพช. ลดค่าไฟประชาชนได้ทันที

 


ศุภโชติ” ชี้คำแถลงนโยบายรัฐบาลอนุทินไม่แตะต้นเหตุค่าไฟแพง แนะนายกฯ ใช้เวลา 4 เดือนสะสาง 4 ปัญหาพลังงาน เคาะในที่ประชุม กพช. ลดค่าไฟประชาชนได้ทันที


วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายประเด็นนโยบายพลังงาน โดยกล่าวว่าทุกคนทราบดีว่ารัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ชุดนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาลที่ตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะทำงานเพียง 4 เดือน แล้วจะยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนคาดหวังไม่ใช่การสร้างโครงการใหม่ที่หวือหวาหรือซับซ้อนเกินกําลังตัวเอง แต่สิ่งที่ประชาชนรวมถึงตนพอจะคาดหวังได้ คือการสะสางปัญหาเก่าที่รัฐบาลในอดีตปล่อยปละละเลย ไม่สร้างภาระต้นทุนใหม่ให้ประชาชน และถ้าเป็นไปได้ ต้องวางรากฐานที่ดีสำหรับภาคพลังงาน


คําแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทินมีหลายจุดที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเคยเสนอ ทั้งการลดรายจ่ายค่าพลังงาน ส่งเสริมโซลาร์ภาคครัวเรือนและเกษตร รวมถึงการผลักดันพลังงานสะอาดและตั้งเป้าหมายให้ทะเยอทะยานมากขึ้นอย่าง Net Zero ในปี 2050 แต่สิ่งที่ยังขาดในคําแถลงนี้ คือการสะสางปัญหาเก่าที่เป็นต้นเหตุหลักของค่าไฟแพง


ตนเคยอภิปรายไว้หลายครั้งว่าค่าไฟแพงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการตัดสินใจผิดพลาดทางนโยบาย หรือแม้แต่จงใจผิดพลาดเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง เรามีสัญญาซื้อไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม โครงการที่ออกแบบเพื่อเอื้อกลุ่มทุนมากกว่าประชาชน แผนที่ไม่โปร่งใสและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ ดังนั้นถ้าปล่อยให้รัฐบาลเฉพาะกาลเดินตามรอยรัฐบาลก่อน จะเป็นการเสียโอกาสครั้งสำคัญสำหรับประเทศและประชาชน แต่หากตนได้เตือนแล้วในวันนี้ รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าตามรอยรัฐบาลก่อน ประชาชนจะเป็นคนตัดสินเองว่ารัฐบาลอนุทินเอาผลประโยชน์ของใครเป็นที่ตั้ง


ในช่วงเวลา 4 เดือน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินงานเพียง 4 เรื่องใหญ่ ที่จะช่วยลดค่าไฟให้กับประชาชนได้แน่นอน ทุกเรื่องตัดสินใจได้ทันทีบนโต๊ะประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่นายกฯ เป็นประธาน


เรื่องแรก ยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Adder ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่รัฐเคยทํากับผู้ประกอบการพลังงานหมุนเวียนในอดีต โดยให้การสนับสนุนเพิ่มจากราคาปกติเพื่อจูงใจการลงทุนในช่วงที่เทคโนโลยียังใหม่ แต่เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงมหาศาล แต่สัญญา Adder ยังคงบังคับใช้ แถมยังเป็นสัญญาที่ถูกตีความว่าไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีเอกชนจำนวนหนึ่งที่ขายไฟให้ประชาชนในราคาที่แพงกว่า 3 บาท ทั้งที่ต้นทุนของโรงไฟฟ้าเหล่านี้อยู่แค่ 1 บาทกว่าเท่านั้น สิ่งนี้ชัดเจนว่าทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟที่สูงกว่าความเป็นจริง


จึงหวังว่ารัฐบาลอนุทินที่พยายามคัดสรรผู้มีความสามารถอยู่ในคณะรัฐมนตรี จะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเคยแถลงข่าวแล้วว่ารอมติจากฝ่ายการเมืองเพียงอย่างเดียว หากรัฐบาลยกเลิกได้จะช่วยลดค่าไฟได้ถึง 17 สตางค์ต่อหน่วย ภายในเดือนแรกขอให้รัฐบาลเริ่มต้นด้วยการทบทวนและยกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้


เรื่องที่ 2 ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้า RE Big Lot จากปีที่ผ่านมารัฐบาลเปิดโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนล็อตใหญ่ ทั้งรอบ 5,200 และ 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งตนเคยอภิปรายและตั้งกระทู้ถามหลายครั้ง รวมถึงยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติไปแล้วว่าโครงการนี้ไม่โปร่งใส เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่เปิดช่องให้ผู้มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและทุนใหญ่ได้เปรียบ สุดท้ายประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นอีกรวมหลักแสนล้านบาท


สิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันที คือต้องหยุดโครงการที่ยังไม่เซ็นสัญญา และต้องเจรจาลดราคาในโครงการที่เซ็นไปแล้ว โดยทุกอย่างต้องเปิดเผยต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่รัฐบาลเก่าตั้งขึ้นมาตรวจสอบ กลับบอกว่า “ไม่พบความผิด” ทั้งที่ปัญหาเห็นอยู่เต็มตา จึงขอให้รัฐบาลใหม่ตอบให้ชัดว่าจะเดินหน้าต่อหรือจะยกเลิก นี่คือเรื่องที่ควรทำให้สำเร็จในเดือนที่สอง และเดินหน้าสู่ระบบแข่งขันเสรีแบบ TPA (Third Party Access) เพื่อเปิดให้เอกชนและชุมชนซื้อไฟตรงจากผู้ผลิตได้ ไม่ต้องผ่านการผูกขาด เพื่อไม่ให้ค่าไฟของประชาชนแพงไปกว่าเดิม


เรื่องที่สาม ยกเลิกการก่อสร้าง LNG Terminal 3 ที่ผ่านมาอีกปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟของประชาชนแพง เพราะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่จําเป็น เช่น โครงการก่อสร้าง LNG Terminal 3 เรามี Terminal 1 และ Terminal 2 ที่ยังใช้ไม่เต็มศักยภาพ แล้วทำไมจะสร้างแห่งที่ 3 อีก เงินลงทุนทุกบาทจะเข้าไปแฝงอยู่ในค่าไฟประชาชนอยู่ดี และในขณะที่แนวโน้มทั่วโลกกําลังลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การสร้าง Terminal 3 ไม่ใช่การลงทุนเพื่ออนาคต แต่เป็นการผูกมัดประเทศให้ใช้ก๊าซธรรมชาติไปอีกนาน หากรัฐบาลอ้างว่าต้องสร้างเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก LNG ในภูมิภาค ก็ต้องถามกลับว่าทําไมต้องเอาต้นทุนค่าไฟของประชาชนมาแบกรับความเสี่ยงแทนนายทุนเจ้าของโครงการ อีกทั้งโครงการนี้ รัฐวิสาหกิจไทยถือหุ้นน้อยมาก ถ้าโครงการทำกําไร ประเทศไทยแทบไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าโครงการขาดทุน ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟสูงขึ้น


ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือออกมติ กพช. เพื่อยกเลิกมติเดิมครั้งที่ 3/2564 ที่ให้เอาต้นทุนของโครงการนี้มาอยู่ในค่าไฟประชาชน ถ้ารัฐบาลไม่สามารถเจรจาแก้สัญญาเพื่อเอาภาระออกจากบิลค่าไฟได้ โครงการนี้ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ต้องเดินหน้าต่อไป


เรื่องที่ 4 จัดทําแผน PDP ใหม่อย่างโปร่งใส เพราะแผน PDP คือหัวใจของนโยบายพลังงาน ที่ผ่านมาแผน PDP ถูกวิจารณ์ว่าจัดทําในห้องปิด ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ใช้สมมติฐานเอื้อต่อการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจําเป็น แทนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุนและลดภาระค่าครองชีพ กลับกลายเป็นภาระใหม่ของประชาชน


ดังนั้นรัฐบาลอนุทินต้องทำให้แผน PDP ใหม่มี 4 หลักการสำคัญ (1) โปร่งใส ข้อมูลและเอกสารทุกขั้นตอนเปิดเผย ตรวจสอบได้ (2) มีส่วนร่วม ทุกฝ่ายต้องเข้ามาเสนอความคิดเห็น และนําไปปรับใช้จริง (3) ตรวจสอบได้ มีกลไกอิสระคอยกลั่นกรอง ป้องกันการแทรกแซง (4) บรรลุเป้าหมายประเทศเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน ต้นทุนที่เป็นธรรม และ Net Zero 2050 นี่คือการวางรากฐานใหม่ให้พลังงานไทยไม่ตกอยู่ในวังวนของการผูกขาดและความไม่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีสัญญาณที่น่ากังวล เพราะประธานคณะกรรมการจัดทำ PDP ใหม่ต้องลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกรัฐบาล จึงต้องยืนยันต่อประชาชนว่า PDP ฉบับใหม่นี้จะเดินหน้าอย่างโปร่งใส และเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ


ศุภโชติทิ้งท้ายว่า รัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4 เดือน ประชาชนไม่ต้องการปัญหาใหม่ แต่ต้องการให้แก้ปัญหาเก่าให้เห็นผล ถ้ารัฐบาลมีความพร้อม สามารถทำทั้งหมดพร้อมกันได้ทันที ค่าไฟจะลดลงได้อย่างน้อย 30 สตางค์ต่อหน่วย และจะช่วยประชาชนหนึ่งครอบครัวประหยัดได้ร้อยกว่าบาทต่อเดือน ถ้าทำได้ ประชาชนจะเห็นว่านี่คือรัฐบาลที่กล้าเปลี่ยนแปลงแม้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ถ้าไม่ทำ ประชาชนจะตัดสินเองในวันเลือกตั้งว่าใครทำเพื่อเขา หรือใครแค่ยื้อเวลาโดยไม่ทำอะไรเลย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ค่าไฟ #กพช

“ภคมน” อัดรัฐบาล “อนุทิน” ส่อเดินหน้าแลนด์บริดจ์ทั้งที่รู้ไม่คุ้มค่า ชี้ภาคใต้เสียเวลากับเรื่องนี้นานเกินไปจนเสียโอกาสพัฒนาโครงการอื่น ดักอย่าคิดเอาโครงการใหญ่ไปโฆษณาแล้วชาวใต้จะเลือก ขอคิดถึงการพัฒนาที่ถึงมือประชาชนจริง ไม่ใช่ได้แค่เงินทอน


ภคมน” อัดรัฐบาล “อนุทิน” ส่อเดินหน้าแลนด์บริดจ์ทั้งที่รู้ไม่คุ้มค่า ชี้ภาคใต้เสียเวลากับเรื่องนี้นานเกินไปจนเสียโอกาสพัฒนาโครงการอื่น ดักอย่าคิดเอาโครงการใหญ่ไปโฆษณาแล้วชาวใต้จะเลือก ขอคิดถึงการพัฒนาที่ถึงมือประชาชนจริง ไม่ใช่ได้แค่เงินทอน


วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงโครงการแลนด์บริดจ์ โดยระบุว่าตนแปลกใจที่รัฐบาลที่มีเวลาแค่ 4 เดือน โดยทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้หยิบยกโครงการแลนด์บริดจ์ขึ้นมาสื่อสารต่อสาธารณะว่าจะเดินหน้าโครงการต่อ แม้จะไม่อยู่ในคำแถลงนโยบาย


แลนด์บริดจ์คือการสร้างทางลัดเพื่อเชื่อมต่อท่าเรือสองฝั่งทะเล นั่นคือท่าเรืออันดามันที่จังหวัดระนอง และท่าเรืออ่าวไทยที่จังหวัดชุมพร ซึ่งโดยปกติเรือขนส่งสินค้าที่เดินทางระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก จะต้องแล่นเรืออ้อมผ่านประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยใช้เส้นทางช่องแคบมะละกา ซึ่งค่อนข้างแออัด รัฐไทยจึงมีการเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ โดยหวังว่าเรือจะไม่ต้องอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา ประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุน


ภคมนกล่าวต่อไปว่า แต่ความเป็นจริงไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะแลนด์บริดจ์เป็นเส้นทางบก ไม่ใช่เส้นทางน้ำที่เรือแล่นผ่านตรงได้ จะข้ามทีก็ต้องขึ้นมาบนบกก่อน ผู้ประกอบการการเดินเรือต้องมีเรืออย่างน้อยสองลำ จากปกติบริษัทขนส่งสินค้าใช้เรือแล่นผ่านช่องแคบมะละกา แต่ถ้าใช้แลนด์บริดจ์ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม เช่น ค่าขนของขึ้น-ขนของลง รวมถึงค่าเดินทางจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ระยะทางกว่า 90 กิโลเมตร ต้นทุนเพิ่มแล้วแน่ๆ แลนด์บริดจ์จึงถูกทักท้วงมาตลอดว่าไม่ควรทำ เพราะไม่รู้ว่าใครจะมาใช้ แต่รัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงรัฐบาลนี้ก็ยังไม่ยอมตัดใจ


โครงการแลนด์บริดจ์จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ที่จะทำให้เกิดการรวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และการสร้างข้อยกเว้นทางกฎหมาย ให้สิทธิพิเศษเหนือที่ดินแก่กลุ่มทุน และเปิดโอกาสให้ต่างชาติเช่าที่ดินชั่วลูกชั่วหลาน หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศกำหนดพื้นที่ SEC เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 ต่อมาในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทยในขณะนั้น ได้สั่งให้ สนข. ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการแลนด์บริดจ์ ต่อมาในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โครงการแลนด์บริดจ์ได้ถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก


ภคมนกล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้หลายคำถามที่ประชาชนสงสัยเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่รัฐบาลก็ยังคงฉายภาพว่าโครงการแลนด์บริดจ์คือโอกาสที่ประเทศไทยจะเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งตนมองว่าไม่ได้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่เป็นโอกาสให้พรรครัฐบาลใช้หาเสียงสร้างคะแนนนิยมกับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าโครงการแลนด์บริดจ์ไม่คุ้มค่า เพราะทั้งรายงานของ สนข. และรายงานของกรรมาธิการวิสามัญต่างก็ตกแต่งตัวเลขกำไรของโครงการแบบเกินจริง


รายงานของ สนข. และของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาความคุ้มค่าโครงการแลนด์บริดจ์ ระบุว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะคืนทุนภายใน 24 ปี โดยในปีแรกๆ ของการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ จะมีรายได้ 58,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายน้ำมันให้เรือสินค้า 50,000 ล้านบาท และอีก 8,000 ล้านมาจากการใช้บริการท่าเรือขนส่งสินค้า แต่ถ้าจะขายน้ำมันให้ได้กำไรขนาดนั้น ต้องขายน้ำมันให้ได้ปีละ 140 ล้านตันต่อปี ขณะที่ท่าเรือสิงคโปร์ที่ใหญ่โตกว่ายังขายได้แค่ปีละ 45 ล้านตัน ซึ่งไม่สมเหตุสมผล


ภคมนกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ตารางผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของ สนข. ยังระบุว่าในปี 2574 จะได้ค่าธรรมเนียมท่าเรือ 6,000 ล้านบาท ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า เป็น 57,000 ล้านบาทในปี 2583 และกลายเป็น 1 แสนล้านบาทในปี 2593 ในขณะที่ค่าดำเนินการและบำรุงรักษาของโครงการกลับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่สมเหตุสมผล แสดงให้เห็นว่ามีการตกแต่งตัวเลขรายได้โดยไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายของโครงการ ทำให้โครงการแลนด์บริดจ์มีตัวเลขกำไรสูงเกินจริง


นอกจากนี้รายงานของ สนข. ยังระบุอีกว่าโครงการแลนด์บริดจ์จะให้ผลตอบแทนทั้งด้านการเงินและเศรษฐกิจที่ดีเยี่ยม คิดตามมูลค่าปัจจุบันคือมีกำไร 2.6 แสนล้านบาท ขณะที่สภาพัฒน์ฯ จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษา ระบุว่าโครงการนี้จะขาดทุน 1.2 แสนล้านบาท และต่อให้รวมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ แล้วก็ยังไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นอกจากนี้นักวิชาการประมงยังประมาณการตัวเลขว่าหากทำแลนด์บริดจ์ จะเกิดการสูญเสียรายได้จากการทำประมงไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี


ภคมนกล่าวต่อไปว่าทั้งรายงานกรรมาธิการและรายงาน สนข. ต่างไม่สามารถตอบเรื่องความคุ้มค่าของโครงการนี้ได้ ตนจึงไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลถึงพยายามที่จะเข็นโครงการนี้ออกมาให้ได้ หลายคนในรัฐบาลนี้เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าจะอย่างไรโครงการนี้ก็ไปไม่รอด


หรือว่าพวกท่านไม่ได้คำนวณความคุ้มค่าในระดับเดียวกันกับพวกเรา หรือว่าจริงๆ แล้วท่านไม่ได้มองถึงความคุ้มค่าของประเทศไทย สำหรับพวกท่านมันไม่ได้สำคัญว่าจะมีเรือมาใช้บริการแลนบริดจ์เยอะจริงแค่ไหน หรือสำหรับท่านแค่เริ่มสร้างแลนด์บริดจ์ได้ก็คุ้มแล้ว ไหนจะราคาที่ดินรอบๆ ที่จะพุ่งสูงขึ้น แถมยังเปิดช่องให้ทุนต่างชาติเข้ามาสัมปทานรับเหมาก่อสร้างอีก หรือที่คิดกันมีแต่เรื่องผลประโยชน์ โดยไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่” ภคมนกล่าว


ภคมนกล่าวต่อไปว่าโครงการแลนด์บริดจ์เดิมในรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร โฆษณามูลค่าโครงการไว้ 1 ล้านล้านบาท มาถึงรัฐบาลอนุทินลดเหลือ 9.97 ล้านบาท โดยอ้างว่าปรับลดให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และต่อให้รัฐบาลก็ไม่ได้ลงทุนเอง แต่เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนหรือ PPP ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ความคุ้มค่าให้ได้ หากตอบไม่ได้ว่าแลนด์บริดจ์คุ้มค่าอย่างไรแล้วนักลงทุนที่ไหนจะมาลงทุน ถ้าหาคนมาลงทุนไม่ได้ประเทศไทยจะมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเป็นค่าเสียโอกาสอีก


2 ปีที่ผ่านประเทศไทยเสียเวลามามาก รัฐบาลเศรษฐาและแพทองธารดันทุรังมุ่งมั่นทุ่มงบประมาณไปโรดโชว์ขายโครงการแลนด์บริดจ์มาหลายประเทศ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเลขความคุ้มค่าของโครงการนี้เท่าไหร่กันแน่ สุดท้ายผลออกมาไม่มีแม้กระทั่งรายชื่อนักลงทุนที่มีแนวโน้มจะลงทุนจริงด้วยซ้ำ 4 เดือนหลังจากนี้หากรัฐบาลยืนยันเดินหน้าต่อก็จะหานักลงทุนมาสร้างแลนด์บริดจ์ไม่ได้ แม้จะติดต่อเจรจาเก่งแค่ไหนแต่นักลงทุนที่จะมาลงทุนในโครงการใหญ่ขนาดนี้ย่อมไม่ได้เชื่อแค่รายงานของรัฐบาลไทย แต่จะต้องศึกษาเองด้วย และเมื่อได้ศึกษาผลก็จะออกมาก็ชัดว่าไม่คุ้มทั้งด้านการเงินและด้านสิ่งแวดล้อม


ภคมนกล่าวต่อไปว่าต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ของแลนด์บริดจ์คือพื้นที่ของมรดกโลก 6 แห่ง ถ้าสร้างแลนด์บริดจ์ จะเกิดความเสี่ยงมหาศาล ที่ความอุดมสมบูรณ์ของสถานที่เหล่านี้จะถูกทำลาย ที่พูดมาทั้งหมดตนไม่ได้ไม่อยากเห็นการพัฒนาในภาคใต้ แต่ตนอยากเห็นการลงทุนที่เป็นจริง ดึงศักยภาพพื้นที่มาต่อยอด ตนอยากเห็นการพัฒนาที่ถึงมือประชาชน ซึ่งถ้าคิดแบบแลนด์บริดจ์ ตนคิดว่าไม่ถึงมือประชาชนแน่นอน และประชาชนจะได้แต่ส่วนที่ทอนเท่านั้น


4 เดือนสำหรับอายุรัฐบาล ตนเสนอให้รัฐบาลตั้งหลักการพัฒนาแบบที่ต่อยอดเส้นทางที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ไม่ผลาญงบประมาณ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยเสียเวลากับเรื่องแลนด์บริดจ์และคลองไทยมานานจนภาคใต้เสียโอกาสการพัฒนา เพราะหน่วยงานราชการจำเป็นที่จะต้องชะลอโครงการพัฒนาภาคใต้อื่น ๆ เพื่อรอดูว่ารัฐบาลจะทำโครงการแลนด์บริดจ์จริงหรือไม่ เช่น การพัฒนาท่าเรือระนองที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ขุดลอกร่องน้ำให้ลึกขึ้น ปรับผังเมืองให้จังหวัดระนองเอื้อต่อการค้าระหว่างประเทศ ยกระดับให้เป็นประตูการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันสู่เมียนมาและเอเชียใต้ ส่วนจังหวัดอื่นในภาคใต้ก็พัฒนาการขนส่ง ทั้งทางราง ทางบก ทางอากาศ ควบคู่กันไป ให้ทุกจังหวัดสามารถกระจายสินค้าเชื่อมต่อกันได้ หรือจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดผ่านการยกระดับอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหารทะเล ไบโอเทคด้านการเกษตร


ภคมนกล่าวต่อไปว่า อีกตัวอย่างคือโครงการท่าเรือสงขลา ถ้ากลับไปดูและสนใจพัฒนา ใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากท่าเรือสงขลาเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภาคใต้ตอนล่างได้ และไปยกระดับเส้นทางรถไฟทางคู่ที่รัฐมีโครงการจะทำอยู่แล้ว ให้เชื่อมต่อท่าเรือปีนังกับหาดใหญ่-สงขลาด้วยการขนส่งทางราง เชื่อมโยงเส้นทางขนส่งสินค้าผ่านแดนไปยังฝั่งมาเลเซีย เชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ข้อเสนอทั้งหมดนี้รับรองคุ้มค่าทั้งงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการแน่นอน


และที่รัฐมนตรี พิพัฒน์ รัชกิจประการ ตั้งเป้าจะได้ สส. ภาคใต้ 30 คนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าท่านคิดว่าจะชนะในพื้นที่ภาคใต้เพราะนโยบายแลนด์บริดจ์ ตนเห็นว่าคิดแบบนี้ง่ายไปหน่อย คิดแค่ว่าจะชนะใจประชาชนได้ด้วยการพูดถึงโครงการขนาดใหญ่ มูลค่าเยอะๆ เม็ดเงินมหาศาลไว้ก่อน จริงอยู่ที่การพูดถึงโครงการอย่างแลนด์บริดจ์มันดูใหญ่โต คนใต้เขาเรียก “ตั้งท่าซะน่าหรอย แต่เอาเข้าจริงไม่มีอะไร” ของหรอยภาคใต้มีเยอะแล้ว ตอนนี้ประชาชนภาคใต้ต้องการของจริง นโยบายการพัฒนาที่เป็นจริง คุ้มค่า และยกระดับคุณภาพชีวิตได้จริง ๆ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #แลนด์บริดจ์

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568

“ศิริกัญญา” ชี้ไม่คาดหวังนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน แต่ยังอดผิดหวังไม่ได้ ซัดเร่งอนุมัติรีดเงินจนลุกลี้ลุกลนผิดสังเกต เกรงกลายเป็นสร้างภาระถมให้รัฐบาลหน้า แนะรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประคองประเทศถึงเลือกตั้ง อย่าสร้างความเสียหายที่กลับไปแก้ไขไม่ได้

 


“ศิริกัญญา” ชี้ไม่คาดหวังนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลอนุทิน แต่ยังอดผิดหวังไม่ได้ ซัดเร่งอนุมัติรีดเงินจนลุกลี้ลุกลนผิดสังเกต เกรงกลายเป็นสร้างภาระถมให้รัฐบาลหน้า แนะรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประคองประเทศถึงเลือกตั้ง อย่าสร้างความเสียหายที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ 


วันที่ 29 กันยายน 2568 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรี ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบ่งชี้ได้ว่าเป้าหมายของรัฐบาลคืออะไร จะเดินไปในเส้นทางไหน โดยวิธีการใด และจะถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ แต่คำแถลงนโยบายรอบนี้ก็ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม ไม่แตกต่างจากคำแถลงนโยบายของอีกสองรัฐบาลก่อนๆ มีแต่คำกว้างๆ ลอยๆ ที่พูดอีกก็ถูกอีก ขาดความชัดเจนของเป้าหมาย ไม่มีการระบุตัวชี้วัดใด แม้ทุกคนจะรู้ว่าเป้าหมายของรัฐบาลนี้จะต้องเสร็จภายใน 4 เดือน 


สิ่งที่ตนคาดหวังว่าจะเห็นความชัดเจนจึงไม่ใช่แค่จะทำอะไรและจะทำอย่างไร แต่ต้องถึงขั้นว่าทำอย่างไรถึงจะสำเร็จภายใน 4 เดือน ขอบเขตงานต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่จะทำเสร็จได้ใน 4 เดือนจะมีแค่แผนงาน ที่สุดท้ายต้องรอให้รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มมาปฏิบัติต่อ 


แต่ถึงจะคาดหวังน้อยขนาดนี้แล้วตนก็ยังผิดหวังกับคำแถลงนโยบายฉบับนี้ ที่ไม่ได้ช่วยสร้างความกระจ่างชัดเจน แต่กลับสร้างคำถามตามมา โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่ระบุแต่ว่าจะทำอะไร แต่ขาดรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร เช่น การแก้หนี้สินรายบุคคลในระบบรายละไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้มีประมาณ 3 ล้านกว่าบัญชี จะทำให้หมด 3 ล้านกว่าบัญชีเลยหรือไม่ หรือจะทำกี่ราย ลูกหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ รัฐบาลจะซื้อหนี้หรือไม่ จะตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหม่หรือไม่หรือจะใช้เจ้าเดิม แต่กลับไม่ระบุรายละเอียดว่าจะทำอย่างไร


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า ในส่วนของนโยบายเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท SMEs ไทยมี 3-5 ล้านราย รัฐบาลจะทำกี่รายและรายละกี่ล้านบาท ปัญหาราคาสินค้าเกษตรก็บอกเพียงแค่ว่าจะจัดการราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก็ไม่ชัดเจนว่าจะอุดหนุนหรือจะเพียงบริหารอุปสงค์อุปทาน หลายนโยบายอ่านแล้วต้องตั้งคำถามว่าเร่งด่วนจริงหรือ เช่น นโยบายสร้างโอกาสในการสร้างรายได้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การอัปสกิล-รีสกิล จะทำเสร็จได้ภายใน 4 เดือนจริงหรือ ยังไม่ต้องพูดถึงหลายนโยบายในหมวดอื่นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การเสนอร่างกฏหมายระเบียบบริหารราชการทันสมัย หรือร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องใหญ่และมีมาตราจำนวนมาก ไม่น่าจะพิจารณาเสร็จได้ใน 4 เดือน


นอกจากนี้ รัฐบาลมีการประกาศว่าจะจัดทำโครงการคนละครึ่ง จากการประกาศต่อสาธารณะ จะทำเป็น 3 โครงการย่อย คือเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 1,700 บาท คนละครึ่งสำหรับผู้ยื่นภาษี 2,400 บาท/คน คนละครึ่งสำหรับผู้ไม่ยื่นภาษี 2,000 บาท เฉพาะส่วนแรกของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 22,000 ล้านบาท จะต้องใช้งบกลางของปี 2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติให้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน หรือก็คือวันพรุ่งนี้ ที่รัฐบาลต้องจัดประชุม ครม.นัดพิเศษเพื่ออนุมัติงบดังกล่าว หลัง 6 โมงเย็นพรุ่งนี้


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า ในการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ จะมีการอนุมัติงบกลาง 68 ที่เหลืออยู่ทั้งหมด 63,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากทั้งเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินและเงินที่เหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนที่รัฐบาลก่อนหน้านี้อนุมัติงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจไม่หมด เหลืออยู่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ตนยังทวงถามอยู่ว่าจะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าไม่มีแล้ว และเงินส่วนที่เหลือก็น่าจะพับไปเลย ซึ่งตนเห็นด้วย เพราะจะสามารถลดการขาดดุลและลดการกู้เงินเพิ่มได้ จะได้ไม่เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะ และคลังเองก็จัดเก็บรายได้ตกเป้าอยู่ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล กลับนำงบที่เหลือออกมาใช้ทันที


ส่วนที่เหลือที่เป็นคนละครึ่งพลัสจริงๆ รวมแล้วทั้งคนที่ยื่นภาษีและไม่ยื่นภาษี 44,000 ล้านบาท ก็จะใช้งบประมาณปี 2569 คิดเป็น 1 ใน 3 ของกระสุนทางการคลังที่ประเทศเหลืออยู่ ที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ของปี 2569 มีส่วนของเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น 99,000 ล้านบาท บวกกับงบกลางรายจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 25,000 ล้านบาท ก็จะรวมเป็น 124,000 ล้านบาท เฉพาะเฟสแรกของคนละครึ่งใช้ไปแล้ว 1 ใน 3 แล้ว รัฐบาลยังบอกว่าจะมีเฟสสองต่อ ไหนจะต้องมีมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของประชาชน เยียวยาผลกระทบภาษีทรัมป์ ฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เท่ากับว่ารัฐบาลนี้จะใช้เงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน จนแทบจะไม่เหลือเงินสำรองจ่ายไว้ให้กับรัฐบาลหน้า  


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า สำหรับนโยบายคนละครึ่ง เป็นโครงการที่ทุกคนเห็นด้วย มีประโยชน์มากในการช่วยลดค่าครองชีพและช่วยกระตุ้นยอดขายเอสเอ็มอีได้ แต่หากจะใช้เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจต้องปรับเงื่อนไข เช่น กำหนดยอดซื้อขั้นต่ำที่ได้รับเงินสมทบ หรือสิทธิ์มีอายุสั้นๆ วันต่อวัน เพื่อเร่งให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้นและเร็วขึ้น 


แต่สำหรับโครงการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ได้มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจจะช่วยลดค่าครองชีพได้แต่ก็เพิ่งแจกเงิน 10,000 บาทไปเมื่อปีที่แล้ว ช่วยเอสเอ็มอีก็ไม่ได้ เพราะใช้จ่ายได้แต่กับร้านธงฟ้า แต่สิ่งที่ทั้งสองโครงการนี้ทำได้คือการซื้อเสียงสร้างความนิยมล่วงหน้าสำหรับการเลือกตั้ง


ที่ตนกังวลกับงบประมาณปี 2568 เพราะ ผลการจัดเก็บ 11 เดือนรายได้รัฐตกเป้าไป 34,000 ล้านบาท เมื่อเก็บได้น้อยรัฐก็ควรจะใช้น้อยตามมา ไม่ใช่ถลุงจนบาทสุดท้ายแบบนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเทคโนแครตมาก่อนคิดมาอย่างดีแล้วใช่หรือไม่ มีการวิเคราะห์มาดีแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้อาจจะยังแก้ไขทัน ขอให้มีความกล้าหาญในการเตือนสติฝ่ายการเมือง ต้องท้วงติงนายกรัฐมนตรีบ้าง


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่ารัฐบาลนี้แม้จะอยู่เพียงแค่ 4 เดือนแต่ก็ต้องทำหน้าที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญในปลายปีนี้ คือการกำหนดกรอบงบประมาณปี 2570 และมอบนโยบายงบประมาณ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ที่จะมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังแห่งรัฐ ยังต้องเป็นผู้ออกประกาศขยายเพดานหนี้สาธารณะจากเดิมที่ 70% เพราะสิ้นปี 2569 หนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ 69% แล้ว ไม่เช่นนั้นจะกู้เพิ่มได้เพียง 200,000 ล้านบาทเศษ และเพื่อรักษาภาพลักษณ์การคลังของประเทศที่กำลังถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจ้องจะปรับลดเรตติ้งอยู่ ทำให้รัฐบาลยังอาจจะต้องเป็นผู้นำเสนอแผนการจัดเก็บรายได้ใหม่ให้กับประเทศด้วย


แต่ถ้ารัฐบาลทำแผนการจัดเก็บรายได้ หรือแผนการปฏิรูปภาษี หรือแผนการปฏิรูปการคลัง ตนเกรงว่าจะกลายเป็นแผนที่เอามาบังคับใช้เอากับรัฐบาลหน้า เรียกได้ว่ารัฐบาลนี้เร่งใช้เงิน แต่รัฐบาลหน้าต้องรักษาวินัยการคลัง ถ้าฝ่ายการเมืองยังคงเร่งรีบใช้งบประมาณทุกบาทแบบนี้เพื่อคะแนนนิยม แล้วรัฐมนตรีคนนอกเข้าไปนั่งนิ่งๆ ยอมให้ทำอะไรก็ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะมีรัฐมนตรีคนนอกโปรไฟล์ดีมาดูด้านเศรษฐกิจการคลัง


ศิริกัญญาทิ้งท้ายว่า เวลา 4 เดือนของรัฐบาลนี้ ถ้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้คงไม่มีใครว่า แต่ขออย่าสร้างความเสียหายที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ไม่สามารถเรียกคืนความเชื่อมั่นได้อีกในอนาคต  


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน