“รัศม์” ย้อนถามแกนนำม็อบ ใครกันแน่ทำลายชาติ? พร้อมถามก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนไม่ค้าน
MOU44 ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันรัฐบาลปัจจุบันดำเนินการไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลในอดีต
วันที่
11 ธันวาคา 2567 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่มีอดีตแกนนำมวลชน ออกมาคัดค้าน และเรียกร้องให้ยกเลิก MOU44
ในการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย และกัมพูชา
โดยได้ตั้งข้อสังเกตถึงการประท้วงดังกล่าวว่า หากวันนี้จะประท้วง MOU44 คุณไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่ประท้วงก่อนหน้า? โดยเฉพาะ 10 ปีที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่แต่งตั้งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
เป็นประธานคณะกรรมการเทคนิคร่วมฯ หรือ ประธานคณะเจรจา JTC? และหากไม่ท้วงก่อนหน้า
ย่อมแสดงว่า ในอดีตเคยยอมรับ แต่มาทำตอนนี้ก็ต้องถามว่า หลักการ ความน่าเชื่อถือ
หรือเจตนาบริสุทธิ์อยู่ที่ใด? หรือหากใครบอกว่าไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอยู่จริง
มีแต่เพียงเส้นอ้างสิทธิของฝ่ายไทยเท่านั้น เหตุใดในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์
ในฐานะอดีตหัวหน้า คสช.ที่มีอำนาจมหาศาล มีรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ในมือ
สามารถสั่งได้ทุกอย่างจึงไม่รีบไปขุดก๊าซขึ้นมาสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ?
ซึ่งนั่นก็เพราะว่า
มันทำไม่ได้จริงหากไม่มีการเจรจาตกลงกับอีกประเทศก่อนนั่นเอง
นายรัศม์
ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า หากการแบ่งผลประโยชน์ในไหล่ทวีป
เพื่อนำก๊าซธรรมชาติใต้ทะเลมาใช้ สามารถสร้างความเจริญกินดีอยู่ดีให้ประชาชน
ดังเช่นที่ไทยเคยทำกับมาเลเซีย
การขัดขวางการเจรจากับกัมพูชาเพื่อนำก๊าซในทะเลมาใช้ได้นั้น
ย่อมเท่ากับเป็นการขัดขวางการสร้างความเจริญ และทำลายโอกาสของประเทศชาติใช่หรือไม่? และในเมื่อในประกาศพระบรมราชโองการ
2516 ระบุไว้ชัดเจนว่า จะต้องเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน
ซึ่งย่อมหมายถึงจะต้องมีการเจรจา ดังนั้น ระหว่างผู้ที่ดำเนินการให้มีการเจรจา
กับผู้ขัดขวางการเจรจา ใครกันแน่คือผู้ที่ไม่ทำตามเจตนารมณ์ของพระบรมราชโองการ?
และใครกันแน่ทำลายชาติ ?
นายรัศม์
ยังย้ำว่า MOU44 ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วัน
แต่เป็นผลสืบเนื่องจากการเจรจาอย่างต่อเนื่องกับฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2513 หรือกว่า 50 ปี หรือครึ่งทศวรรษมาแล้ว
แต่ที่ยืดเยื้อนานมากเพราะปัญหาความไม่สงบ และการเมืองภายในของทั้งสองประเทศ
ซึ่งนับตั้งแต่การเจรจา จนมีการลงนามทำ MOU ฉบับนี้ในปี 2544 เป็นต้นมา ทุกรัฐบาล ก็ถือตามบันทึกความเข้าใจนี้มาโดยตลอด
ไม่เคยมีรัฐบาลใดขอเจรจาเพื่อยกเลิกอย่างเป็นทางการ
รวมถึงในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็ดำเนินการตามนี้ พร้อมยังแต่งตั้งพลเอกประวิตร
เป็นประธานคณะกรรมการเทคนิคร่วมฯ หรือ JTC ทำหน้าที่หัวหน้าการเจรจา
ดังนั้นจึงยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลปัจจุบัน
จึงไม่ได้แตกต่างไปจากทุกรัฐบาลในอดีตแต่อย่างใด โดยเห็นว่า แนวทางนี้
ที่ได้มีการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการปกป้องและเสริมสร้างผลประโยชน์ของประเทศชาติ
นายรัศม์
ยังย้ำอีกว่า การดำเนินการตาม MOU 44
ถือเป็นการดำเนินการตามเจตนารมณ์ของประกาศพระบรมราชโองการการประกาศเขตไหล่ทวีปของไทยในปี
2516 ทุกประการ
เพราะในพระบรมราชโองการมีข้อความระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
“…เส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน...” (ตามภาพประกอบ)
ดังนั้นการเจรจาเพื่อนำไปสู่ความตกลงกัน จึงเป็นไปตามที่พระบรมราชโองการระบุไว้
ส่วนผลของการเจรจาตาม
MOU 44 นั้น นายรัศม์ ย้ำว่า
จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาให้ความเห็นชอบโดยรัฐสภาก่อน จึงจะมีผลตามกฎหมายได้
โดยที่รัฐบาลหรือบุคคลใดก็ตาม ไม่สามารถไปเจรจาตกลงเองตามลำพังได้ เพราะท้ายที่สุด
ประชาชนไทยต้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบผ่านตัวแทน และกลไกของรัฐสภาอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ตามระบอบประชาธิปไตยฯ
และเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกับประเทศอื่นนั้น
ไทยเราก็ได้เจรจาเช่นนี้สำเร็จมาแล้วกับมาเลเซีย
รวมทั้งเจรจาเรื่องเขตทางทะเลกับเวียดนาม เรื่องเหล่านี้
จึงเคยมีการดำเนินการมาแล้วทั้งสิ้น และสามารถสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติในการนำพลังงานก๊าซธรรมชาติมาใช้
ดังในยุคโชติช่วงชัชวาลที่ไทยมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก