ยูดีดีนิวส์ : 13 ม.ค. 63 เฟสบุ๊คไลฟ์ของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ เที่ยงวันนี้ได้นำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน (กิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" และ "เดินเชียร์ลุง" มาวิเคราะห์หาธาตุแท้ โดยตั้งประเด็นสนทนาก็คือ
ความบ้าคลั่ง!!! ขอจารีตนิยมที่ยังเหมือนเดิม
อ.ธิดากล่าวว่า ดิฉันไม่อยากให้ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่เรามองข้าม เพราะว่ามีทฤษฎีที่ว่า บางครั้งความไร้เหตุผลหรือความไม่ฉลาดของคนบางส่วน ทำให้คนที่ไม่โง่ คนที่มีสติสัมปชัญญะอาจจะประมาท มองข้ามไป คิดว่าคงไม่มีใครจะมาเดินตามสิ่งที่เรียกว่าไม่ฉลาดหรือว่าโง่ก็ได้ จนกระทั่งมีคนมาพูดถึงทฤษฎีว่า เมื่อรัฐบาลที่ปกครองประเทศเป็นรัฐบาลในแบบที่อาจจะตั้งชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ฉลาด
แต่ทั้งหมดดิฉันไม่อยากให้อยู่ในความประมาท เพราะในความเป็นจริงนั้นตัวดิฉันเองไม่ขัดข้องที่คนจะมีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่ในความแตกต่างกันนั้นมันจะต้องไม่ใช่ความบ้าคลั่ง ต้องอยู่บนการใช้เหตุผล ต้องมีเส้นทางของการที่ข้อมูลข่าวสารหรือเหตุผลสามารถเข้าไปถึงสมองและสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้
แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนบางส่วนซึ่งข้อมูลและองค์ความรู้ที่มีเหตุผลเข้าไม่ถึง พฤติกรรมก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล ไม่ได้ตั้งอยู่ที่องค์ความรู้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ การที่มีคนสองกลุ่มจัดกิจกรรมขึ้น ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย แต่เรื่องที่เหนือความคาดหมายและเราไม่ควรประมาทก็คือพฤติกรรมลักษณะบ้าคลั่งของจารีตนิยมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ดิฉันอยากจะให้ผู้คนในสังคมไทยได้โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า เรามีกลุ่มสุดโต่งซึ่งไม่ฟัง ไม่ยอมรับรู้ข้อมูล ไม่มองโลก ไม่ต้องการองค์ความรู้ คือมีความเชื่อมั่น ซึ่งบนความเชื่อมั่นนั้นคำถามว่า
ยืนอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตนหรือเปล่า?
ยืนอยู่บนการรักษาอำนาจของตัวเองหรือเปล่า?
จนกระทั่งไม่มองสังคม ไม่มองคนรุ่นใหม่ ไม่มองโลกที่เปลี่ยนไป คนแบบนี้ก็มี แล้วก็ยังใช้พฤติกรรมแบบเดิม สิ่งที่แสดงออกดิฉันก็พุ่งเป้ามาที่กลุ่มมวลชนจารีตนิยม ซึ่งส่วนหนึ่งถูกจัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานความมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งเอาความมั่นคงของชนชั้นนำจารีตนิยมเป็นหลัก แล้วก็ของรัฐบาล ของระบอบอำมาตยาธิปไตย ไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศชาติ ประชาชน แต่เป็นความมั่นคงของกลุ่มคนล้าหลังที่ต้องการรักษาอำนาจ
แต่อีกส่วนก็เป็นความเชื่อของเขา ยกตัวอย่างเช่น ปี 2519 เราก็มีกลุ่มนวพล, กลุ่มกระทิงแดง ซึ่งสองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานความมั่นคงแน่นอน มีการกินเงินเดือน แล้วบางส่วนจนกระทั่งเรียนจบเช่นนักเรียนอาชีวะจำนวนหนึ่งก็มารับราชการ แล้วก็มีปัญหาต้องอยู่ในคุกในตารางจนกระทั่งถึงบัดนี้ เป็นต้น แล้วก็เป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผยแล้วว่าอันนั้นเป็นมวลชนที่มีการจัดตั้งขึ้น ลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่ง (ไม่ได้หมายความว่าลูกเสือชาวบ้านทั้งหมด) ถูกสร้างขึ้นมาเป็นมวลชนจารีตนิยม
ดังนั้น เอาง่าย ๆ การแสดงออก ซึ่งมีหลายคนที่เห็นอยู่ก็คือมีภาพของเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ซึ่งมีการทำร้ายศพที่เอามาผูกคอที่สนามหลวง มีการใช้ไม้ฟาด มีการเตะ มีการถีบ โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งโห่ร้องดีใจ มองว่าศพนักศึกษาเหล่านั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกญวน หรือ มีภาพตอนชัตดาวน์กรุงเทพฯ (กปปส.) ที่แสดงออกในการเล่นงานตำรวจโดยใช้ไม้ตี ทั้งที่ตำรวจล้มลงไปนอนอยู่แล้ว หรือการที่มวลชนกปปส.มาที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำลายป้ายและแสดงอากัปกิริยาอย่างโกรธแค้นต่าง ๆ อย่างดูหมิ่นและเหยียดหยาม
สำหรับเหตุการณ์ของมวลชนอนุรักษ์นิยมที่ดิฉันยังไม่ได้พูดก็คือของกลุ่มพันธมิตรฯ แต่อันนี้มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของผู้นำ (สนธิ ลิ้มทองกุล) ซึ่งมีความเกลียดชัง โกรธแค้น และเริ่มต้นของการสถาปนาความเคียดแค้นระหว่างทุนสามานย์กับระบอบอำมาตยาธิปไตย ดังนั้นจึงมีการเลือกข้างนับจากนั้น
ในปี 2548 - 2549 การก่อตัวของพันธมิตรฯ ก็คือการเกิดขึ้นใหม่ของความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจารีตนิยม ในความเคียดแค้นนั้น การแสดงออกของจารีตนิยม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าอนามัยที่กระทำต่ออนุสาวรีย์ของพระพุทธเจ้าหลวง ทำร้ายเทวรูป คือการกระทำทั้งหมดนี้เป็นการกระทำแบบจารีตนิยม แล้วก็ใช้ความรุนแรงยึดสถานที่ราชการและสนามบิน
สิ่งที่คู่กันก็คือ เนื้อหาเป็นจารีตนิยม วิธีการคือใช้ความรุนแรง แล้วแสดงความเกลียดชัง เมื่อมาถึงยุค กปปส. ก็แบบที่ทุกคนทราบ มีการชัตดาวน์กรุงเทพฯ แล้วการแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างใช้วิธีการป่าเถื่อนต่าง ๆ เหล่านี้ มันเป็นเนื้อหาของจารีตนิยมและวิธีการของจารีตนิยม แต่สุดท้ายทั้งหมดมวลชนจารีตนิยม
สิ่งที่เหมือนกันทั้งหมดเลยก็คือต้องลงท้ายด้วยการรัฐประหาร ถ้ามวลชนจารีตนิยมไม่สามารถล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้
แต่ครั้งนี้ รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลของกลุ่มจารีตนิยม เมื่อมีความพยายามของกลุ่มเห็นต่างที่มาจัดการ "การวิ่งไล่ลุง" แล้วมีผู้คนตอบรับเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คนที่ไปร่วมกิจกรรมนี้เราจะเห็นว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนสูงอายุเป็นส่วนมาก อันนี้เป็นมิติใหม่ของการต่อสู้
ดิฉันอยากจะบอกว่า การใช้วิธีการที่เรียกว่าสันติที่สุด คือการวิ่งออกกำลัง ดิฉันมองว่าเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้วิธีการอย่างนี้ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ดิฉันไม่อยากจะใช้คำว่าต่อสู้นะ เป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมืองโดยการวิ่งเพื่อสุขภาพ นี่เป็นวิธีการใหม่ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียกว่าสันติที่สุด ไม่มีใครเสียหาย ทุกคนได้หมด ไม่มีความรุนแรง หรือแม้กระทั่งสุดท้ายก็แสดงความรักษ์โลก ช่วยกันเก็บขยะ นี่แสดงถึงความก้าวหน้า แสดงถึงจิตใจที่ไม่ใช่แต่ว่ารักเรื่องของตัวเองโดยการวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่ว่ารักประเทศชาติ รักประชาชน และรักษ์โลกด้วย
ดิฉันต้องขอชื่นชมว่า "ทำได้ดี" และดิฉันคิดว่าการจัดครั้งนี้เป็นแบบอย่างของขบวนการซึ่งใช้สันติวิธี และไม่ต้องมีองค์กรใดเป็นองค์กรนำ
จะบอกว่าคุณธนาธรนำก็ไม่ได้!
แล้วคุณบอล (ธนวัฒน์ วงค์ไชย) ก็เป็นคนพูดจาง่าย ๆ เรียบร้อย ไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำแบบผู้นำม็อบเลย
ดิฉันคิดว่ารูปแบบ วิธีการ ของการจัดการแบบนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้ประเทศอื่นยังไม่มี เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
ขณะที่กลุ่มจารีตนิยมที่อยู่ในฝั่ง "เดินเชียร์ลุง" ดิฉันไม่พูดถึงเรื่องอายุ เพราะแน่นอนผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยก็คือเป็นฝ่ายจารีตนิยม แต่ผู้สูงอายุที่แนวความคิดก้าวหน้าก็มีมาก เห็นได้จากการสัมภาษณ์ของยูดีดีนิวส์ และบางส่วนที่ไปร่วมแม้กระทั่งคนพิการ เป็นต้น แต่ในฝ่ายจารีตนิยมยังคงเดิม ยังใช้วิธีการแบบเดิม ยังคิดแบบเดิม ตั้งแต่คุณขัดแย้งมองว่าพวกเขาเป็นฝ่ายซ้าย เป็นคอมมิวนิสต์ ขัดแย้งมองว่าพวกเขาเป็นสมุนบริวารของนายทุนสามานย์ ต้องการจัดการนายทุนสามานย์
จนกระทั่งมาสู่ยุคใหม่ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลของทุนสามานย์ แต่ว่าคุณต้องการปกป้องอำนาจนิยมซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนจารีตนิยม ดิฉันเองต้องการจารีตนิยมที่ฉลาด คุณมีสิทธิที่จะปกป้องอำนาจของคุณได้ แต่การใช้สิทธิอันนั้น มันต้องไม่ใช่การที่ไปจัดการและทำลายประชาชนผู้คิดต่าง
คือดิฉันต้องการให้ "คนฉลาด" สู้กับ "คนฉลาด" ถ้า "คนฉลาด" ต้องไปสู้กับคนที่ "ไม่ฉลาด" และ "บ้าคลั่ง" มันเป็นอะไรที่บางอย่างจะเหนือความคาดหมาย เพราะเราคิดไม่ได้ว่าไอ้คนดี ๆ มีสมองมันจะทำอะไรขนาดนั้น
ดังนั้นภาพที่นพ.เหรียญทองไปตีส้ม ก็อุปมาเหมือนกับภาพ 6 ตุลา 19 ที่มีการเอาเก้าอี้ไปฟาดศพคนตาย หรือภาพผู้กองปูเค็มใช้เท้าถีบ คนที่คิดแบบนี้มันมีอำนาจรัฐบางส่วนสนับสนุนอยู่ ลำพังความคิดแบบนี้ถ้าไม่มีอำนาจรัฐสนับสนุน มันไม่มีทางที่จะสู้กับสิ่งก้าวหน้าได้
ดิฉันของเตือนมายังฝ่ายอำนาจรัฐที่ค้ำจุนกลุ่มจารีตนิยมที่บ้าคลั่งเหล่านี้ ถ้าคุณเป็นอำนาจรัฐที่ไม่ใช่จารีตนิยมที่บ้าคลั่ง ขอแต่เพียงใช้สติปัญญา ใช้ข้อมูล ใช้องค์ความรู้สักนิด คุณก็รู้ว่าคุณควรจะทำอย่างไร ในโลกสมัยใหม่เขาใช้ความฉลาดของคน ไม่ได้ใช้กำลังแบบปกติ ไม่ได้เอาปริมาณคนเข้ามารบแบบในยุคโบราณ ความฉลาดคือขีดความสามารถในการแข่งขันในการนำพาประเทศชาติและแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
ดิฉันไม่เรียกร้องให้คุณต้องมาเห็นแก่ประชาชนและประเทศชาติ คุณเห็นแก่ตัวก็ได้ คุณอยากรักษาอำนาจของคุณก็ได้ แต่ขอให้มันฉลาดหน่อย อย่าทำอะไรโง่ ๆ แล้วคุณจะยังพอมีที่ยืนอยู่ได้
ขณะเดียวกันก็อยากจะบอกฝ่ายที่ก้าวหน้าว่าอย่าประมาท คิดดูนะว่าท่วงทำนองของพวกจารีตนิยม ตั้งแต่ 2519 มาจนถึงบัดนี้ยังเหมือนเดิมและอาจจะรุนแรงกว่าเดิม เพราะยิ่งเวลานานไปเขารู้ว่าพื้นที่ของเขามันเหลือน้อยลงทุกวันเมื่อมองไปในโลก ดังนั้นลักษณะ "หลังพิงฝาแล้วบ้าคลั่ง" มันก็มีดำรงอยู่
แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องหลังพิงฝาเลย คุณมีเส้นทาง ขอแต่เพียงคุณใช้ความฉลาด ใช้สติปัญญา ใช้ข้อมูลสักหน่อย คุณก็จะรอด ประเทศก็จะรอด ประชาชนก็จะรอด
ถามว่าเราหวังได้มั้ย ดิฉันก็ไม่แน่ใจและไม่เชื่อว่าหวังได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ประชาชน! เราต้องใช้สติปัญญา ใช้ความสุขุม รอบคอบ นี่คือการต่อสู้ของคนยุคใหม่ ดิฉันขอให้กำลังใจกับผู้จัดงาน "วิ่งไล่ลุง" ที่ประสบความสำเร็จพอสมควรระดับหนึ่ง แต่ยังจะต้องค้นคว้าให้มีวิธีการเข้าถึงประชาชนให้มากกว่านี้ และประชาชนทั้งประเทศอย่าประมาท เพราะว่า "คนโง่ที่หลังพิงฝา" จะทำอะไรก็ได้ ไม่รู้สึกมียางอายเลย อ.ธิดากล่าวในที่สุด
ความบ้าคลั่ง!!! ขอจารีตนิยมที่ยังเหมือนเดิม
อ.ธิดากล่าวว่า ดิฉันไม่อยากให้ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่เรามองข้าม เพราะว่ามีทฤษฎีที่ว่า บางครั้งความไร้เหตุผลหรือความไม่ฉลาดของคนบางส่วน ทำให้คนที่ไม่โง่ คนที่มีสติสัมปชัญญะอาจจะประมาท มองข้ามไป คิดว่าคงไม่มีใครจะมาเดินตามสิ่งที่เรียกว่าไม่ฉลาดหรือว่าโง่ก็ได้ จนกระทั่งมีคนมาพูดถึงทฤษฎีว่า เมื่อรัฐบาลที่ปกครองประเทศเป็นรัฐบาลในแบบที่อาจจะตั้งชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ฉลาด
แต่ทั้งหมดดิฉันไม่อยากให้อยู่ในความประมาท เพราะในความเป็นจริงนั้นตัวดิฉันเองไม่ขัดข้องที่คนจะมีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่ในความแตกต่างกันนั้นมันจะต้องไม่ใช่ความบ้าคลั่ง ต้องอยู่บนการใช้เหตุผล ต้องมีเส้นทางของการที่ข้อมูลข่าวสารหรือเหตุผลสามารถเข้าไปถึงสมองและสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้
แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนบางส่วนซึ่งข้อมูลและองค์ความรู้ที่มีเหตุผลเข้าไม่ถึง พฤติกรรมก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล ไม่ได้ตั้งอยู่ที่องค์ความรู้
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ การที่มีคนสองกลุ่มจัดกิจกรรมขึ้น ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย แต่เรื่องที่เหนือความคาดหมายและเราไม่ควรประมาทก็คือพฤติกรรมลักษณะบ้าคลั่งของจารีตนิยมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ดิฉันอยากจะให้ผู้คนในสังคมไทยได้โปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า เรามีกลุ่มสุดโต่งซึ่งไม่ฟัง ไม่ยอมรับรู้ข้อมูล ไม่มองโลก ไม่ต้องการองค์ความรู้ คือมีความเชื่อมั่น ซึ่งบนความเชื่อมั่นนั้นคำถามว่า
ยืนอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตนหรือเปล่า?
ยืนอยู่บนการรักษาอำนาจของตัวเองหรือเปล่า?
จนกระทั่งไม่มองสังคม ไม่มองคนรุ่นใหม่ ไม่มองโลกที่เปลี่ยนไป คนแบบนี้ก็มี แล้วก็ยังใช้พฤติกรรมแบบเดิม สิ่งที่แสดงออกดิฉันก็พุ่งเป้ามาที่กลุ่มมวลชนจารีตนิยม ซึ่งส่วนหนึ่งถูกจัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานความมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งเอาความมั่นคงของชนชั้นนำจารีตนิยมเป็นหลัก แล้วก็ของรัฐบาล ของระบอบอำมาตยาธิปไตย ไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศชาติ ประชาชน แต่เป็นความมั่นคงของกลุ่มคนล้าหลังที่ต้องการรักษาอำนาจ
แต่อีกส่วนก็เป็นความเชื่อของเขา ยกตัวอย่างเช่น ปี 2519 เราก็มีกลุ่มนวพล, กลุ่มกระทิงแดง ซึ่งสองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานความมั่นคงแน่นอน มีการกินเงินเดือน แล้วบางส่วนจนกระทั่งเรียนจบเช่นนักเรียนอาชีวะจำนวนหนึ่งก็มารับราชการ แล้วก็มีปัญหาต้องอยู่ในคุกในตารางจนกระทั่งถึงบัดนี้ เป็นต้น แล้วก็เป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผยแล้วว่าอันนั้นเป็นมวลชนที่มีการจัดตั้งขึ้น ลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่ง (ไม่ได้หมายความว่าลูกเสือชาวบ้านทั้งหมด) ถูกสร้างขึ้นมาเป็นมวลชนจารีตนิยม
ดังนั้น เอาง่าย ๆ การแสดงออก ซึ่งมีหลายคนที่เห็นอยู่ก็คือมีภาพของเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ซึ่งมีการทำร้ายศพที่เอามาผูกคอที่สนามหลวง มีการใช้ไม้ฟาด มีการเตะ มีการถีบ โดยมีประชาชนจำนวนหนึ่งโห่ร้องดีใจ มองว่าศพนักศึกษาเหล่านั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกญวน หรือ มีภาพตอนชัตดาวน์กรุงเทพฯ (กปปส.) ที่แสดงออกในการเล่นงานตำรวจโดยใช้ไม้ตี ทั้งที่ตำรวจล้มลงไปนอนอยู่แล้ว หรือการที่มวลชนกปปส.มาที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำลายป้ายและแสดงอากัปกิริยาอย่างโกรธแค้นต่าง ๆ อย่างดูหมิ่นและเหยียดหยาม
สำหรับเหตุการณ์ของมวลชนอนุรักษ์นิยมที่ดิฉันยังไม่ได้พูดก็คือของกลุ่มพันธมิตรฯ แต่อันนี้มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของผู้นำ (สนธิ ลิ้มทองกุล) ซึ่งมีความเกลียดชัง โกรธแค้น และเริ่มต้นของการสถาปนาความเคียดแค้นระหว่างทุนสามานย์กับระบอบอำมาตยาธิปไตย ดังนั้นจึงมีการเลือกข้างนับจากนั้น
ในปี 2548 - 2549 การก่อตัวของพันธมิตรฯ ก็คือการเกิดขึ้นใหม่ของความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมจารีตนิยม ในความเคียดแค้นนั้น การแสดงออกของจารีตนิยม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าอนามัยที่กระทำต่ออนุสาวรีย์ของพระพุทธเจ้าหลวง ทำร้ายเทวรูป คือการกระทำทั้งหมดนี้เป็นการกระทำแบบจารีตนิยม แล้วก็ใช้ความรุนแรงยึดสถานที่ราชการและสนามบิน
สิ่งที่คู่กันก็คือ เนื้อหาเป็นจารีตนิยม วิธีการคือใช้ความรุนแรง แล้วแสดงความเกลียดชัง เมื่อมาถึงยุค กปปส. ก็แบบที่ทุกคนทราบ มีการชัตดาวน์กรุงเทพฯ แล้วการแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างใช้วิธีการป่าเถื่อนต่าง ๆ เหล่านี้ มันเป็นเนื้อหาของจารีตนิยมและวิธีการของจารีตนิยม แต่สุดท้ายทั้งหมดมวลชนจารีตนิยม
สิ่งที่เหมือนกันทั้งหมดเลยก็คือต้องลงท้ายด้วยการรัฐประหาร ถ้ามวลชนจารีตนิยมไม่สามารถล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้
แต่ครั้งนี้ รัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลของกลุ่มจารีตนิยม เมื่อมีความพยายามของกลุ่มเห็นต่างที่มาจัดการ "การวิ่งไล่ลุง" แล้วมีผู้คนตอบรับเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คนที่ไปร่วมกิจกรรมนี้เราจะเห็นว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนสูงอายุเป็นส่วนมาก อันนี้เป็นมิติใหม่ของการต่อสู้
ดิฉันอยากจะบอกว่า การใช้วิธีการที่เรียกว่าสันติที่สุด คือการวิ่งออกกำลัง ดิฉันมองว่าเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้วิธีการอย่างนี้ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ดิฉันไม่อยากจะใช้คำว่าต่อสู้นะ เป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมืองโดยการวิ่งเพื่อสุขภาพ นี่เป็นวิธีการใหม่ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียกว่าสันติที่สุด ไม่มีใครเสียหาย ทุกคนได้หมด ไม่มีความรุนแรง หรือแม้กระทั่งสุดท้ายก็แสดงความรักษ์โลก ช่วยกันเก็บขยะ นี่แสดงถึงความก้าวหน้า แสดงถึงจิตใจที่ไม่ใช่แต่ว่ารักเรื่องของตัวเองโดยการวิ่งเพื่อสุขภาพ แต่ว่ารักประเทศชาติ รักประชาชน และรักษ์โลกด้วย
ดิฉันต้องขอชื่นชมว่า "ทำได้ดี" และดิฉันคิดว่าการจัดครั้งนี้เป็นแบบอย่างของขบวนการซึ่งใช้สันติวิธี และไม่ต้องมีองค์กรใดเป็นองค์กรนำ
จะบอกว่าคุณธนาธรนำก็ไม่ได้!
แล้วคุณบอล (ธนวัฒน์ วงค์ไชย) ก็เป็นคนพูดจาง่าย ๆ เรียบร้อย ไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำแบบผู้นำม็อบเลย
ดิฉันคิดว่ารูปแบบ วิธีการ ของการจัดการแบบนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหม่ เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้ประเทศอื่นยังไม่มี เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
ขณะที่กลุ่มจารีตนิยมที่อยู่ในฝั่ง "เดินเชียร์ลุง" ดิฉันไม่พูดถึงเรื่องอายุ เพราะแน่นอนผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยก็คือเป็นฝ่ายจารีตนิยม แต่ผู้สูงอายุที่แนวความคิดก้าวหน้าก็มีมาก เห็นได้จากการสัมภาษณ์ของยูดีดีนิวส์ และบางส่วนที่ไปร่วมแม้กระทั่งคนพิการ เป็นต้น แต่ในฝ่ายจารีตนิยมยังคงเดิม ยังใช้วิธีการแบบเดิม ยังคิดแบบเดิม ตั้งแต่คุณขัดแย้งมองว่าพวกเขาเป็นฝ่ายซ้าย เป็นคอมมิวนิสต์ ขัดแย้งมองว่าพวกเขาเป็นสมุนบริวารของนายทุนสามานย์ ต้องการจัดการนายทุนสามานย์
จนกระทั่งมาสู่ยุคใหม่ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลของทุนสามานย์ แต่ว่าคุณต้องการปกป้องอำนาจนิยมซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนจารีตนิยม ดิฉันเองต้องการจารีตนิยมที่ฉลาด คุณมีสิทธิที่จะปกป้องอำนาจของคุณได้ แต่การใช้สิทธิอันนั้น มันต้องไม่ใช่การที่ไปจัดการและทำลายประชาชนผู้คิดต่าง
คือดิฉันต้องการให้ "คนฉลาด" สู้กับ "คนฉลาด" ถ้า "คนฉลาด" ต้องไปสู้กับคนที่ "ไม่ฉลาด" และ "บ้าคลั่ง" มันเป็นอะไรที่บางอย่างจะเหนือความคาดหมาย เพราะเราคิดไม่ได้ว่าไอ้คนดี ๆ มีสมองมันจะทำอะไรขนาดนั้น
ดิฉันของเตือนมายังฝ่ายอำนาจรัฐที่ค้ำจุนกลุ่มจารีตนิยมที่บ้าคลั่งเหล่านี้ ถ้าคุณเป็นอำนาจรัฐที่ไม่ใช่จารีตนิยมที่บ้าคลั่ง ขอแต่เพียงใช้สติปัญญา ใช้ข้อมูล ใช้องค์ความรู้สักนิด คุณก็รู้ว่าคุณควรจะทำอย่างไร ในโลกสมัยใหม่เขาใช้ความฉลาดของคน ไม่ได้ใช้กำลังแบบปกติ ไม่ได้เอาปริมาณคนเข้ามารบแบบในยุคโบราณ ความฉลาดคือขีดความสามารถในการแข่งขันในการนำพาประเทศชาติและแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
ดิฉันไม่เรียกร้องให้คุณต้องมาเห็นแก่ประชาชนและประเทศชาติ คุณเห็นแก่ตัวก็ได้ คุณอยากรักษาอำนาจของคุณก็ได้ แต่ขอให้มันฉลาดหน่อย อย่าทำอะไรโง่ ๆ แล้วคุณจะยังพอมีที่ยืนอยู่ได้
ขณะเดียวกันก็อยากจะบอกฝ่ายที่ก้าวหน้าว่าอย่าประมาท คิดดูนะว่าท่วงทำนองของพวกจารีตนิยม ตั้งแต่ 2519 มาจนถึงบัดนี้ยังเหมือนเดิมและอาจจะรุนแรงกว่าเดิม เพราะยิ่งเวลานานไปเขารู้ว่าพื้นที่ของเขามันเหลือน้อยลงทุกวันเมื่อมองไปในโลก ดังนั้นลักษณะ "หลังพิงฝาแล้วบ้าคลั่ง" มันก็มีดำรงอยู่
แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องหลังพิงฝาเลย คุณมีเส้นทาง ขอแต่เพียงคุณใช้ความฉลาด ใช้สติปัญญา ใช้ข้อมูลสักหน่อย คุณก็จะรอด ประเทศก็จะรอด ประชาชนก็จะรอด
ถามว่าเราหวังได้มั้ย ดิฉันก็ไม่แน่ใจและไม่เชื่อว่าหวังได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ประชาชน! เราต้องใช้สติปัญญา ใช้ความสุขุม รอบคอบ นี่คือการต่อสู้ของคนยุคใหม่ ดิฉันขอให้กำลังใจกับผู้จัดงาน "วิ่งไล่ลุง" ที่ประสบความสำเร็จพอสมควรระดับหนึ่ง แต่ยังจะต้องค้นคว้าให้มีวิธีการเข้าถึงประชาชนให้มากกว่านี้ และประชาชนทั้งประเทศอย่าประมาท เพราะว่า "คนโง่ที่หลังพิงฝา" จะทำอะไรก็ได้ ไม่รู้สึกมียางอายเลย อ.ธิดากล่าวในที่สุด