ยูดีดีนิวส์ : 4 ก.ย. 62 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวในการทำเฟสบุ๊คไลฟ์ โดยได้หยิบยกปรากฎการณ์ที่พบเศษกระดูกซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นของคุณบิลลี่ หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ของการเผาในถัง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น จึงนำมาสู่ประเด็นการสนทนาในวันนี้คือ
"เผาลงถังแดง" ในยุคสงครามเย็น "จารีตนิยม" กับ "เสรีนิยม"
คือ "เผาลงถัง" ในอดีตนั้นเป็นยุคสงครามเย็นระหว่างระบอบ "คณาธิปไตย" หรือ "อำมาตยาธิปไตย" (อำนาจนิยม+จารีตนิยม) สู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งมันเข้ากับกระแสโลก เป็นยุคสงครามเย็น! แต่ตอนนี้ยุคสงครามเย็นในโลกหมดไปแล้ว แต่ในประเทศไทยมีสงครามเย็นตลอดในช่วงสิบกว่าปีหลัง ไม่ใช่เป็นสงครามเย็นที่สู้กับคอมมิวนิสต์
ถ้าพูดในเชิงลักษณะแนวความคิด ก็คือ จารีตนิยม สู้กับ เสรีนิยม
ถ้าพูดในเชิงระบอบการเมืองการปกครอง ก็เป็นระบอบ "คณาธิปไตย"หรือ "อำมาตยาธิปไตย" สู้กับ "ประชาธิปไตย" แบบสากล
นี่คือความขัดแย้งซึ่งเหมือนเป็นสงครามเย็นในประเทศ แล้วก็เกิดปรากฎการณ์ "เผาถังแดง" เกิดขึ้น ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น ที่ชัดเจนก็คือ "ถังแดง" ที่พัทลุง ซึ่งมีอนุสรณ์สถานที่ทำเป็นรูปถังขึ้นมา ในนั้นก็จะมีเรื่องราวและมีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคสงครามเย็นสู้กับคอมมิวนิสต์
และถ้าใครได้ติดตามเฟสบุ๊คของคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพราะในช่วงที่คุณสุชาติเป็นบรรณาธิการของ "สังคมศาสตร์ปริทัศน์" ก็ได้ทำสกู๊ปข่าวเรื่องนี้ แล้วเอาภาพหน้าปกของหนังสือสังคมศาสตร์ปริทัศน์มาลง นั่นก็คือ เป็นการเผาลงถังแดง
มีอะไรที่เกิดขึ้นตรงกัน? และทำไมยุคสงครามเย็นจึงกลัวคอมมิวนิสต์มาก?
อ.ธิดากล่าวว่า โดยเฉพาะหมู่บ้านแถวพัทลุง หากใครคิดว่าเขาเป็นพวกสนับสนุนคอมมิวนิสต์ก็จะมีการจัดการโดยเผาลงถัง ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลาย หากใครไปท่องเที่ยวในเชิงการเมืองประวัติศาสตร์ ไปตามหาได้ที่ จ.พัทลุง แม้กระทั่ง "ผู้จัดการออนไลน์" ก็ได้ลงรายละเอียดเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อ 21 ส.ค. 60 "เปิดหลักฐาน! เหยื่อเผด็จการสังหารโหด "ถีบลงเขา-เผาลงถัง" วีรชนใต้ 3,008 ศพ"
อ.ธิดากล่าวต่อไปว่า ถ้าใครไปฟังสิ่งที่ประชาชนแถบนั้นหรือลูกหลานเล่าให้ฟัง ซึ่งดิฉันได้ไปหลายครั้งแล้ว และได้รับฟังเรื่องราว แต่ว่าสิ่งที่ถูกเอามาเปิดเผยมากหลังปี 2516 ก่อนปี 2519 ก็มีการเอาเรื่องนี้มาเปิดเผย และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็ยอมรับว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง
จะมีเสียงโหยหวนกลางคืน.... มีการเผาลงถัง....
เพื่อต้องการให้ประชาชนกลัว!!!
นั่นก็คือแสดงถึงความรุนแรงว่า เวลาคุณทำสงครามกับคอมมิวนิสต์นั้นต้องใช้วิธีการโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน เพื่อทำให้ประชาชนกลัว...แต่มาบัดนี้ พ.ศ.นี้ ก็ยังเกิดเหตุการณ์นี้อีก
ตามรายงานข่าว "ดีเอสไอ ระบุชัด บิลลี่ ตายแล้ว โดนฆ่าเผายัดถัง ทิ้งเขื่อนแก่งกระจาน ดีเอ็นเอ ช่วยยัน" ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคณะที่ไม่ใช่ภาครัฐรวมทั้งมหาวิทยาลัยได้เข้ามาช่วยกันพิสูจน์ความจริง แม้มันจะผ่านมาแล้ว 5 ปี
เพราะเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 17 เม.ย. 2557 โดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานผู้ควบคุมตัวนายพอละจี (บิลลี่) อ้างว่าได้ปล่อยตัวไปแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่มีใครพบอีกเลย จากนั้นมีการร้องเรียนการหายตัวไปของนายพอละจีมาเป็นลำดับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดีเอสไอได้ร่วมมือกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์, ต.ช.ด., กองบัญชาการตำรวจภูธร และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำ และนักประดาน้ำของต.ช.ด. ในที่สุดก็พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมัน 200 ลิตร (แบบเดียวกับเหตุการณ์ในอดีตในยุคสงครามเย็น) มีเหล็กเส้น (เอาไว้กันกระเด็นในเวลาเผา...หรือเปล่า?) มีถ่านไม้ เศษฝา ถังน้ำมัน จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์พบว่า วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้ สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส
อ.ธิดากล่าวว่า แปลว่าเขาใช้วิธีการตั้งแต่ในยุคสงครามเย็นมาใช้ในปัจจุบัน ไม่ต้องสงสัยแล้วเพราะผล DNA ก็ตรงกัน ในทัศนะของดิฉัน การพบเช่นนี้มันเป็นเชิงสัญลักษณ์ในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น
นี่ก็คือใช้วิธีการแบบเดิม!!!
ใช้วิธีคิดแบบเดิม!!!
นั่นหมายความว่าปฏิบัติการนี้เป็นปฏิบัติการของฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐ ไม่ได้มองเห็นคนเป็นคนเท่ากัน คนที่เป็นฝ่ายจารีตนิยม อนุรักษ์นิยม จะมีลักษณะชาตินิยมด้วย (ลักษณะเชื้อชาตินิยม) แต่คนฝ่ายเสรีนิยม เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย แปลว่าทุกคนต้องมีความเท่าเทียมกันในสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง
คุณจะกระทำต่อชนชาติส่วนน้อย ไม่เท่ากับชนชาติส่วนใหญ่ ไม่ได้!!!
ถ้าคุณเป็นเสรีนิยม เป็นนักประชาธิปไตย การเห็นคนเป็นคนเท่ากัน ไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ไม่เกี่ยวกับศาสนา ไม่เกี่ยวกับผิวพรรณ ไม่เกี่ยวกับการศึกษา ไม่เกี่ยวกับฐานะ ไม่เกี่ยวกับเพศ ความเป็นคนต้องเท่ากัน ตัวนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าใครเป็นเสรีนิยมและมองเห็นคนเท่าเทียมกันจริง
แต่ถ้าเป็นฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม ผมเป็นข้าราชการใหญ่ ข้าราชการระดับสูง เป็นผู้ถืออำนาจรัฐ มีอำนาจ ต้องเหนือกว่าประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่ได้คิดว่าประชาชนเป็นนายด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ให้ประชาชนเป็นนายเลย แค่เท่ากัน...ก็ยังไม่เท่า ลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่มี และถ้ายิ่งไปเจอกับชนชาติส่วนน้อย ยิ่งหนักเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้ปฏิบัติการมันจะบ่งบอก ในกรณีเผาลงถังนี้บ่งบอกถึงลักษณะของการที่คุณเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจพิเศษ การใช้อำนาจนิยม การมองไม่เห็นความเท่าเทียมกัน พูดง่าย ๆ ว่าเขาเป็นกะเหรี่ยง ก็จะให้มองเห็นคุณค่าเท่ากัน มันไม่ได้! แต่การใช้อำนาจนิยมแบบนี้มันใช้วิธีการรุนแรงเหมือนกับสมัยสงครามเย็นต่อสู้กับคอมมิวนิสต์
นี่เป็นปรากฎการณ์หนึ่งซึ่งดิฉันยกมาเป็นกรณีตัวอย่างว่า ผ่านมาตั้งกี่ปี เพราะไม่เคยสรุปบทเรียน ฝ่ายรัฐข้าราชการไม่เคยสรุปว่าเป็นการกระทำที่ผิด ยังใช้วิธีการแบบนี้ในยุคใหม่ เพราะฉะนั้น "เผาลงถังแดง" ในยุคสงครามเย็น "จารีตนิยม" กับ "เสรีนิยม" ยังมีความป่าเถื่อนเหมือนเดิมเหมือนยุคสงครามเย็นในอดีต และอาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าในอดีตยังไม่ใช้เครื่องมือมากมาย เช่น กฎหมาย, เทคนิคทางกฎหมาย, รัฐธรรมนูญ, กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ฯลฯ คือกฎหมายก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายเสรีนิยม ใช่หรือไม่ใช่!
แต่เผาลงถังแดงเป็นการใช้อำนาจเถื่อนจัดการ
ในทัศนะดิฉัน จะว่าไปความป่าเถื่อนรุนแรงและการไม่สรุปบทเรียนของฝ่ายจารีตนิยม ข้าราชการหรือผู้กุมอำนาจรัฐที่มีอำนาจ ก็ยังทำวิธีการแบบเดิม ดังนั้น สงครามเย็นอันนี้ (สงครามที่ยืดเยื้อ) มันไม่มีทางจบลงง่ายเลย
ในทางเสรีนิยม โลกมันหมุนไปข้างหน้า ในทางประชาธิปไตยแบบสากลนิยม แต่คุณจะพยายามดึงกงล้อประวัติศาสตร์ทวนกลับ ให้เป็นอนุรักษ์นิยม เป็นจารีตนิยม ต่อต้านความเท่าเทียมกันของประชาชน ต่อต้านสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งมันทวนกลับกงล้อที่มันต้องหมุนไปข้างหน้า ดังนั้นมันต้องเป็นสงครามเย็น และมันต้องยาว
มันอาจจะยาวกว่าสงครามเย็นคอมมิวนิสต์
ความป่าเถื่อนก็ยังดำรงอยู่
ยังใช้เครื่องมือทางกฎหมายประกอบกับอำนาจป่าเถื่อนยิ่งกว่าในยุคสงครามเย็นในอดีตด้วยซ้ำ!!! อ.ธิดากล่าวในที่สุด
"เผาลงถังแดง" ในยุคสงครามเย็น "จารีตนิยม" กับ "เสรีนิยม"
คือ "เผาลงถัง" ในอดีตนั้นเป็นยุคสงครามเย็นระหว่างระบอบ "คณาธิปไตย" หรือ "อำมาตยาธิปไตย" (อำนาจนิยม+จารีตนิยม) สู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งมันเข้ากับกระแสโลก เป็นยุคสงครามเย็น! แต่ตอนนี้ยุคสงครามเย็นในโลกหมดไปแล้ว แต่ในประเทศไทยมีสงครามเย็นตลอดในช่วงสิบกว่าปีหลัง ไม่ใช่เป็นสงครามเย็นที่สู้กับคอมมิวนิสต์
ถ้าพูดในเชิงลักษณะแนวความคิด ก็คือ จารีตนิยม สู้กับ เสรีนิยม
ถ้าพูดในเชิงระบอบการเมืองการปกครอง ก็เป็นระบอบ "คณาธิปไตย"หรือ "อำมาตยาธิปไตย" สู้กับ "ประชาธิปไตย" แบบสากล
นี่คือความขัดแย้งซึ่งเหมือนเป็นสงครามเย็นในประเทศ แล้วก็เกิดปรากฎการณ์ "เผาถังแดง" เกิดขึ้น ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น ที่ชัดเจนก็คือ "ถังแดง" ที่พัทลุง ซึ่งมีอนุสรณ์สถานที่ทำเป็นรูปถังขึ้นมา ในนั้นก็จะมีเรื่องราวและมีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคสงครามเย็นสู้กับคอมมิวนิสต์
และถ้าใครได้ติดตามเฟสบุ๊คของคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ เพราะในช่วงที่คุณสุชาติเป็นบรรณาธิการของ "สังคมศาสตร์ปริทัศน์" ก็ได้ทำสกู๊ปข่าวเรื่องนี้ แล้วเอาภาพหน้าปกของหนังสือสังคมศาสตร์ปริทัศน์มาลง นั่นก็คือ เป็นการเผาลงถังแดง
มีอะไรที่เกิดขึ้นตรงกัน? และทำไมยุคสงครามเย็นจึงกลัวคอมมิวนิสต์มาก?
อ.ธิดากล่าวว่า โดยเฉพาะหมู่บ้านแถวพัทลุง หากใครคิดว่าเขาเป็นพวกสนับสนุนคอมมิวนิสต์ก็จะมีการจัดการโดยเผาลงถัง ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลาย หากใครไปท่องเที่ยวในเชิงการเมืองประวัติศาสตร์ ไปตามหาได้ที่ จ.พัทลุง แม้กระทั่ง "ผู้จัดการออนไลน์" ก็ได้ลงรายละเอียดเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อ 21 ส.ค. 60 "เปิดหลักฐาน! เหยื่อเผด็จการสังหารโหด "ถีบลงเขา-เผาลงถัง" วีรชนใต้ 3,008 ศพ"
อนุสรณ์สถาน "ถังแดง" ที่ จ.พัทลุง |
อ.ธิดากล่าวต่อไปว่า ถ้าใครไปฟังสิ่งที่ประชาชนแถบนั้นหรือลูกหลานเล่าให้ฟัง ซึ่งดิฉันได้ไปหลายครั้งแล้ว และได้รับฟังเรื่องราว แต่ว่าสิ่งที่ถูกเอามาเปิดเผยมากหลังปี 2516 ก่อนปี 2519 ก็มีการเอาเรื่องนี้มาเปิดเผย และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็ยอมรับว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง
จะมีเสียงโหยหวนกลางคืน.... มีการเผาลงถัง....
เพื่อต้องการให้ประชาชนกลัว!!!
นั่นก็คือแสดงถึงความรุนแรงว่า เวลาคุณทำสงครามกับคอมมิวนิสต์นั้นต้องใช้วิธีการโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน เพื่อทำให้ประชาชนกลัว...แต่มาบัดนี้ พ.ศ.นี้ ก็ยังเกิดเหตุการณ์นี้อีก
ตามรายงานข่าว "ดีเอสไอ ระบุชัด บิลลี่ ตายแล้ว โดนฆ่าเผายัดถัง ทิ้งเขื่อนแก่งกระจาน ดีเอ็นเอ ช่วยยัน" ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคณะที่ไม่ใช่ภาครัฐรวมทั้งมหาวิทยาลัยได้เข้ามาช่วยกันพิสูจน์ความจริง แม้มันจะผ่านมาแล้ว 5 ปี
เพราะเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 17 เม.ย. 2557 โดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานผู้ควบคุมตัวนายพอละจี (บิลลี่) อ้างว่าได้ปล่อยตัวไปแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่มีใครพบอีกเลย จากนั้นมีการร้องเรียนการหายตัวไปของนายพอละจีมาเป็นลำดับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดีเอสไอได้ร่วมมือกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์, ต.ช.ด., กองบัญชาการตำรวจภูธร และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำ และนักประดาน้ำของต.ช.ด. ในที่สุดก็พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมัน 200 ลิตร (แบบเดียวกับเหตุการณ์ในอดีตในยุคสงครามเย็น) มีเหล็กเส้น (เอาไว้กันกระเด็นในเวลาเผา...หรือเปล่า?) มีถ่านไม้ เศษฝา ถังน้ำมัน จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์พบว่า วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้ สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส
ดีเอสไอแถลงชัด ระบุ "บิลลี่" โอนเผายัดถัง |
นี่ก็คือใช้วิธีการแบบเดิม!!!
ใช้วิธีคิดแบบเดิม!!!
นั่นหมายความว่าปฏิบัติการนี้เป็นปฏิบัติการของฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐ ไม่ได้มองเห็นคนเป็นคนเท่ากัน คนที่เป็นฝ่ายจารีตนิยม อนุรักษ์นิยม จะมีลักษณะชาตินิยมด้วย (ลักษณะเชื้อชาตินิยม) แต่คนฝ่ายเสรีนิยม เป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย แปลว่าทุกคนต้องมีความเท่าเทียมกันในสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง
คุณจะกระทำต่อชนชาติส่วนน้อย ไม่เท่ากับชนชาติส่วนใหญ่ ไม่ได้!!!
ถ้าคุณเป็นเสรีนิยม เป็นนักประชาธิปไตย การเห็นคนเป็นคนเท่ากัน ไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ไม่เกี่ยวกับศาสนา ไม่เกี่ยวกับผิวพรรณ ไม่เกี่ยวกับการศึกษา ไม่เกี่ยวกับฐานะ ไม่เกี่ยวกับเพศ ความเป็นคนต้องเท่ากัน ตัวนี้จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าใครเป็นเสรีนิยมและมองเห็นคนเท่าเทียมกันจริง
แต่ถ้าเป็นฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม ผมเป็นข้าราชการใหญ่ ข้าราชการระดับสูง เป็นผู้ถืออำนาจรัฐ มีอำนาจ ต้องเหนือกว่าประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่ได้คิดว่าประชาชนเป็นนายด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ให้ประชาชนเป็นนายเลย แค่เท่ากัน...ก็ยังไม่เท่า ลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่มี และถ้ายิ่งไปเจอกับชนชาติส่วนน้อย ยิ่งหนักเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้ปฏิบัติการมันจะบ่งบอก ในกรณีเผาลงถังนี้บ่งบอกถึงลักษณะของการที่คุณเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจพิเศษ การใช้อำนาจนิยม การมองไม่เห็นความเท่าเทียมกัน พูดง่าย ๆ ว่าเขาเป็นกะเหรี่ยง ก็จะให้มองเห็นคุณค่าเท่ากัน มันไม่ได้! แต่การใช้อำนาจนิยมแบบนี้มันใช้วิธีการรุนแรงเหมือนกับสมัยสงครามเย็นต่อสู้กับคอมมิวนิสต์
นี่เป็นปรากฎการณ์หนึ่งซึ่งดิฉันยกมาเป็นกรณีตัวอย่างว่า ผ่านมาตั้งกี่ปี เพราะไม่เคยสรุปบทเรียน ฝ่ายรัฐข้าราชการไม่เคยสรุปว่าเป็นการกระทำที่ผิด ยังใช้วิธีการแบบนี้ในยุคใหม่ เพราะฉะนั้น "เผาลงถังแดง" ในยุคสงครามเย็น "จารีตนิยม" กับ "เสรีนิยม" ยังมีความป่าเถื่อนเหมือนเดิมเหมือนยุคสงครามเย็นในอดีต และอาจจะยิ่งกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าในอดีตยังไม่ใช้เครื่องมือมากมาย เช่น กฎหมาย, เทคนิคทางกฎหมาย, รัฐธรรมนูญ, กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ฯลฯ คือกฎหมายก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการกับฝ่ายเสรีนิยม ใช่หรือไม่ใช่!
แต่เผาลงถังแดงเป็นการใช้อำนาจเถื่อนจัดการ
ในทัศนะดิฉัน จะว่าไปความป่าเถื่อนรุนแรงและการไม่สรุปบทเรียนของฝ่ายจารีตนิยม ข้าราชการหรือผู้กุมอำนาจรัฐที่มีอำนาจ ก็ยังทำวิธีการแบบเดิม ดังนั้น สงครามเย็นอันนี้ (สงครามที่ยืดเยื้อ) มันไม่มีทางจบลงง่ายเลย
ในทางเสรีนิยม โลกมันหมุนไปข้างหน้า ในทางประชาธิปไตยแบบสากลนิยม แต่คุณจะพยายามดึงกงล้อประวัติศาสตร์ทวนกลับ ให้เป็นอนุรักษ์นิยม เป็นจารีตนิยม ต่อต้านความเท่าเทียมกันของประชาชน ต่อต้านสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งมันทวนกลับกงล้อที่มันต้องหมุนไปข้างหน้า ดังนั้นมันต้องเป็นสงครามเย็น และมันต้องยาว
มันอาจจะยาวกว่าสงครามเย็นคอมมิวนิสต์
ความป่าเถื่อนก็ยังดำรงอยู่
ยังใช้เครื่องมือทางกฎหมายประกอบกับอำนาจป่าเถื่อนยิ่งกว่าในยุคสงครามเย็นในอดีตด้วยซ้ำ!!! อ.ธิดากล่าวในที่สุด