ยูดีดีนิวส์ : 2 เม.ย. 62 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวในการทำ Facebook Live วันนี้ว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาของความสับสนทางการเมืองอันเนื่องมาจาก กกต.
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ ส่วนหนึ่งในภาคประชาชนและพรรคการเมืองออกมาต่อต้าน ในส่วนภาคประชาชนก็มีการล่ารายชื่อ และการล่ารายชื่อก็มีผลทำให้บางคนรถถูกเผาก็มี แล้วการล่ารายชื่อก็ได้เข้าไปอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนเป็นผลให้ทางฝ่ายกองทัพและท่านนายกฯ ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา
ดังนั้นปรากฎการณ์หลังการเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีความไม่เรียบร้อย และมีการแพร่ขยายความไม่พอใจกกต.มาก จนกระทั่งมีคนไปเปรียบกับในยุค 2500 ว่ามันเป็นการเลือกตั้งปีที่สกปรกที่สุด
ปรากฎการณ์ที่มันขยายตัวนี้ เราก็พยายามให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย รู้ว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นตั้งแต่การทำรัฐประหาร, การเขียนรัฐธรรมนูญ, การทำประชามติ มาจนถึงปัจจุบัน แต่คนไทยก็อดทน รอคอย และให้โอกาสกกต.
อ.ธิดากล่าวต่อไปว่า แม้ตัวดิฉันเองก็ได้ติดต่อกกต. โดยเฉพาะในการอบรมอาสาสมัครตรวจสอบทุจริตและเราก็ขอบคุณที่เจ้าหน้าที่กกต.ได้ให้ความร่วมมือ เพราะนี่เป็นการแสดงความจริงใจว่า แม้ที่มาของกกต.จะไม่ชอบก็ตาม แต่เราก็ให้โอกาส และเราก็จะเป็นพลเมืองดีในการตรวจสอบทุจริตในการเลือกตั้ง
แต่สิ่งที่กกต.ลืมไปก็คือว่า ที่มากกต.เป็นแบบนี้ด้วย และการตรวจสอบทุจริตนั้นมันไม่ใช่ตรวจสอบเฉพาะทุจริตเฉพาะนักการเมือง เขาก็ตรวจสอบทุจริตกลไกอำนาจรัฐ แต่ครั้งนี้มันเกิดปัญหามีความบกพร่องมากมาย และที่สำคัญก็คือการแถลงตัวเลขต่าง ๆ
เรื่องเก่าก็ยังไม่ได้แก้ มีนักการเมือง พรรคการเมืองไปร้องขอให้กกต.เปิดเผยตัวเลขทุกหน่วยเลือกตั้ง บางเขตก็ขอร้องให้เลือกตั้งใหม่ เรียกว่าท่ามกลางมรสุมของการตรวจสอบทุจริตนักการเมือง พรรคการเมือง แต่กลไกกกต.ชุดใหม่ที่มาจากรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ปรากฏโฉมให้ประชาชนเชื่อมั่น ระบบบริหารงานของกกต.ก็ไม่ได้ทำให้มีความเชื่อมั่น และการแถลงข่าวของกกต. ยิ่งทำไม่ให้เกิดความเชื่อมั่นอีก!
มาบัดนี้ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นอันใหม่ นั่นก็คือ การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งนสพ.มติชนได้เผยแพร่มาตั้งแต่ 27 มี.ค. ซึ่งมติชนได้นำวิธีคำนวณของกกต.มาแสดงให้ดู แล้วก็กลายเป็นข่าวอื้อฉาวว่ากกต.จะมีการคำนวณแล้วมีการประชุมของพรรคเล็กจำนวนหนึ่ง ซึ่งคะแนนทั่วประเทศไม่ถึงคะแนนเฉลี่ย (71,057.498)
คือนำคะแนนบัตรดีทุกพรรคการเมืองที่ส่งสมัครบัญชีรายชื่อ (หักคะแนนของพรรคที่ไม่ส่งบัญชีรายชื่อออก) มารวมกันทั้งประเทศจะได้ 35,528,749 หารด้วย 500 (จำนวนส.ส.ทั้ง 2 สภา) ก็จะได้คะแนนเฉลี่ย ส.ส.พึงมีต่อ 1 คน คือ 71,057.498
พูดง่าย ๆ ว่าตัวเลขนี้ถ้าพรรคใดได้เสียงโหวต 71,057.498 ก็จะได้จำนวนส.ส.ที่พึงมี 1 คน ดิฉันย้ำตรงนี้นะคะว่า 1 คน อ.ธิดากล่าว
จากนั้นการที่พรรคเพื่อไทย เมื่อคำนวณส.ส.ที่พึงมีได้ 111 คน แต่เนื่องจากพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.แบ่งเขต 137 คน จึงมีส่วนที่เกินไปประมาณ 26 คน ซึ่งทำให้จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อมันต้องถูกหักออก ซึ่งในรัฐธรรมนูญก็เขียน แต่อาจจะไม่รัดกุม แต่ก็ชัดเจนว่าอย่างไรก็ตามมันต้องหักออก แล้วจำนวนส.ส.ที่เหลืออยู่ก็คือ 150 - 26 ที่เหลือก็มาแบ่งกัน!
ถามว่าแบ่งกับใคร? นี่คือปัญหา
ขณะนี้กกต.ก็ใช้วิธีคิดโดยอ้างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนไว้ยาวพอสมควรในมาตรา 128 แต่ดิฉันมองว่าสำคัญที่สุดก็คือรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 ได้เขียนเอาไว้ชัดเจน
คือกกต. ถ้าพรรคเล็ก (11 พรรค) ซึ่งคะแนนไม่ถึง 71,057 ก็แปลว่าจะไม่มีส.ส.ที่พึงมี
คุณต้องได้ 71,057 ขึ้นไป ส.ส.ที่พึงมีคุณจึงจะได้ 1 คน มันต้องตัดที่ตัวเลขนี้ ตามหลักการก็คือถ้าคุณจะเอามาเฉลี่ย คุณก็ต้องเอาเฉพาะพรรคการเมืองที่ได้ส.ส.ที่พึงมีอย่างน้อย 71,057 ขึ้นไป
กลายเป็นว่ากกต.มาคิดเอาถึงพรรคไทรักธรรม 33,748 คะแนน ปรากฏว่าปัดไปปัดมาพรรคที่ได้คะแนนต่ำว่า 71,057 จำนวน 11 พรรคได้ส.ส.มาพรรคละ 1 คน
อ.ธิดากล่าวว่า ที่พูดแบบนี้ไม่ได้บอกว่า กกต.คิดแบบนี้ตกลงแน่นอนนะคะ ดิฉันทราบว่าเขาลองคิดเรื่องนี้ ประกอบกับทางการเมือง ถ้าคุณคิดอย่างนี้มันจะมีผล ก็คือ 11 พรรคนี้ก็ต้องไปรวมกับพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นอน!
ดิฉันจะไม่พูดว่าวิธีการคำนวณแบบนี้ทำให้ใครได้เปรียบ แต่ดิฉันจะพูดในหลักการว่า ถ้ากกต.คิดแบบที่โผล่ออกมา แล้วพรรคเล็ก 11 พรรคซึ่งคะแนนต่ำกว่า 71,057 คะแนน แล้วสุดท้ายก็คือ 33,748 คะแนน แปลว่าคุณกำลังคิดว่าพรรคที่ได้คะแนน 33,748 สามารถมีส.ส.บัญชีรายชื่อได้ 1 คน
ดิฉันอยากถามว่าแล้วพรรคการเมืองอื่นเขาจะยอมหรือ? นี่แหละที่กลายเป็นเรื่องของ Overhang Mandate
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น พรรคประชาภิวัฒน์ซึ่งได้คะแนน 69,417 อาจจะบอกว่าผมได้มากกว่า 33,748 ตั้งเท่าตัว ทำไมผมถึงได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียง 1 คน ผมควรจะได้ 2 คนซิ และนี่คือเหตุผลที่มีการฟ้องร้อง แล้วเกิดสิ่งที่เรียกว่า Overhang Mandate ซึ่งในต่างประเทศเขาฟ้องร้องศาลรัฐธรรมนูญและศาลตัดสินว่า กกต. แพ้นะคะ
ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าคุณต้องให้เท่ากัน ถ้าคุณเอา 33,748 เขาได้ส.ส. มันกลายเป็นมาตรฐานว่า 33,748 เสียงได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
อ.ธิดากล่าวต่อว่า ดิฉันเคยคิดตั้งแต่ทีแรกแล้วว่ามันจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่ว่านี้ เคยเอาคะแนนของปี 54 มาคำนวนว่าถ้าคิดแบบจัดสรรปันส่วนผสมมันจะได้ส.ส. 1,091 คน เพราะว่าพรรคพลังชล ส.ส.ของเขา 6 คน มันได้แค่ 0.55% เท่านั้นเอง (คือคะแนนเขาน้อย แต่เขาได้ส.ส.เขต 6 คน)
เพราะฉะนั้นเมืองนอก โดยเฉพาะเยอรมัน ถ้าคะแนน Popular Vote ของคุณได้ไม่ถึง 5% เขาไม่ให้มาคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ คือเขาตัดไปเลย
แต่ของเรานะ 5% ไม่ตัด ดันมาจนถึงเท่าไหร่ก็ได้ ทั้ง ๆ ที่คะแนนที่ตัดส.ส. 1 คน มันคือคะแนน 71,057 แต่นี่ 33,748 ก็ได้ คุณจะอธิบายอย่างไร? เขาต้องฟ้องร้อง ในที่สุดสภาของเยอรมันเขาก็พยายามควบคุมมาตรการ ก็คือ ถ้าเสียงไม่ถึง 5% ก็ไม่เอามาคำนวณ ก็จะไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วถ้ายิ่งไม่ได้ส.ส.เขตก็ยิ่งไม่ได้ที่นั่งเลย
อ.ธิดากล่าวว่า ดิฉันอยากจะพูดก่อนเลยว่าคุณละเมิดรัฐธรรมนูญไทยแน่ ๆ เลย เพราะว่ามาตรา 91 หมวดที่ 7 การคำนวณหาสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อในตอนท้าย (4) มีความสำคัญมาก ก็คือ เอาจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่เหลือมา ปกติมันได้ 150 ที่นั่งส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ว่าพรรคเพื่อไทยได้เกินมา แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนว่าจำนวนที่เหลือ แต่ใช้ว่าจำนวนทั้งหมด ความจริงก็คือจำนวนทั้งหมดที่เหลือจากพรรคที่ได้ส.ส.เขตเกินส.ส.พึงมี มาจัดสรรให้พรรคการเมืองที่ได้ส.ส.เขตต่ำกว่าส.ส.ที่พึงมี
ตรงนี้ที่เราเน้นมันจะมี 2 ประเด็น
ประเด็นแรกก็คือถ้ากกต.ยังฝืนทำแบบที่ให้พรรคเล็ก 11 พรรคได้ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคละ 1 คน ทั้ง ๆ ที่คะแนนดิบไม่ถึงคะแนนที่พึงมีซึ่งประมาณ 71,057 คะแนน ดิฉันถือว่าละเมิดรัฐธรรมนูญชัดเจน
ประเด็นต่อมาก็คือว่า ผู้คนก็มีสิทธิจะสงสัยได้ว่า แล้วคุณคิดแบบนี้ทำไม? เพราะคุณคิดว่ามีทางเลือกคิดได้ เพราะไม่รู้ หรือเพราะจงใจ ที่จะมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล แต่ดิฉันถามว่าความไม่โปร่งใส ปัญหาของกกต.มีมากอยู่แล้ว แล้วมาเจอเรื่องนี้เข้าอีก
ถ้าคิดว่าเราตัดเอาเฉพาะพรรคตามรัฐธรรมนูญ ก็คือพรรคที่มีส.ส.ที่พึงมี 1 เศษนั้นมาคิดในส่วนอันนี้ ไม่ใช่ไปเอาพรรคที่ไม่ได้ส.ส.ที่พึงมี คะแนนไม่ถึง เอามาคิด คนเรามันต้องมีหลักและมีรอง
หลักมันต้องเริ่มต้นว่าเขามีจำนวนคะแนนเสียงที่สามารถได้ส.ส.หรือเปล่า คุณไม่มีหลัก แล้วคุณไปนั่งปัดทศนิยมแล้วปัดทั้งหมด ดิฉันว่ามันยิ่งกว่าไม่มีประสิทธิภาพ แต่มันละเมิดรัฐธรรมนูญ คุณไม่ได้เริ่มด้วยจำนวนเต็มว่าส.ส.ที่พึงมีจะได้จากคะแนนเท่าไหร่? แต่คุณไปคิดปัดเศษ โดยในทัศนะดิฉันมันไร้สาระนะ มันไม่ใช่เรื่องหลักเลย ดังนั้นพรรคไหน ๆ ก็ตามที่ได้คะแนนต่ำว่า 71,057 มันไม่ได้อยู่ในข่ายเลย
มันก็มีผลต่อการตั้งรัฐบาลแน่ ๆ ฝั่งหนึ่งคะแนนหายไป 7 คน แต่อีกฝั่งหนึ่งได้เพิ่มขึ้นมาประมาณ 10 คน มันก็เกิดแต้มต่อทางการเมือง
ถ้าคุณเอามาตรฐานพรรคไทยรักธรรม 33,748 แล้วได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ถ้าคิดแบบนี้ส.ส.ในรัฐสภาก็จะได้ประมาณ 1,052 คน เพราะคุณเอา 33,748 เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอา 71,057 เป็นตัวตั้ง
ถ้าย้อนกลับไปในสิ่งที่ดิฉันเคยพูดเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ดิฉันบอกแล้วว่าระบบที่ทำอยู่ ในโลกนี้ไม่มีที่ไหน เพราะไปเอาของเยอรมันมาดัดแปลง ไม่เหมือนกัน มาใช้บัตรใบเดียว มีปัญหาถึงเจตนารมณ์ประชาชนแล้ว ยังใช้วิธีคำนวณแบบนี้
ดิฉันเคยเขียนเอาไว้ว่า เยอร์มันเป็นสหพันธรัฐที่แต่ละรัฐมีการปกครองที่เป็นอิสระ เขาจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเลือกส.ส.สำหรับแต่ละรัฐ ซึ่งมีลักษณะเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ
แล้วพรรคที่ได้ส.ส.ไม่ถึง 5% ก็ถูกตัดสิทธิในการคำนวณบัญชีรายชื่อและการเข้าสภา Bundestag แล้วเขาก็เจอสิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Overhang Mandate ก็คือจำนวนส.ส.เขตมันกินแดนเข้าไปเยอะ
จึงทำให้เกิดตัวเลขว่า ถ้าเอาส.ส.เขตเป็นหลัก นี่ของบ้านเราบัญชีรายชื่อเป็นหลักนะ งั้นก็แปลว่าพรรคอื่นมาตรฐานในการที่จะได้ส.ส. 1 คนก็ต้องเอามาตรฐานต่ำสุดของเราก็คือ 33,748 ก็จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม และก็เกิดการบวมขึ้นมา
ดิฉันก็เรียกร้องมายังกกต.ว่า
1) ถ้าคุณคิดแบบนี้ คุณละเมิดรัฐธรรมนูญ
2) มันก็จะต้องเกิดการฟ้องร้องว่าคุณเอา 33,748 เป็นมาตรฐานได้อย่างไร?
คุณอาจจะบอกว่าคุณตีความพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ดิฉันจะไม่ไปเถียงกับคุณตรงนี้ แต่ถามว่าคุณละเมิดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า? ละเมิดเจตนารมณ์ เขาบอกว่าห้ามมีส.ส. จะคิดอย่างไรก็ตาม แต่ว่าจะเกินส.ส.ที่พึงมีไม่ได้ ก็ในเมื่อส.ส.พึงมีมันไม่มี มันเป็น 0 แล้วคุณจะบังคับให้มันมีได้อย่างไร?
รู้จัก 0 ไหม? ส.ส.ที่พึงมีเป็น 0 แล้วมาใส่ 1
มันก็ต้องผิดรัฐธรรมนูญ!
มันก็ต้องผิดรัฐธรรมนูญ!
แล้วเวลาคุณจะไปแจกใบส้ม ใบเหลือง ใบแดง ใบดำ ถ้าคุณยังไม่เคลียร์คะแนนดิบ ไม่เคลียร์ความโปร่งใส แล้วก็คำนวณตรงนี้อีก ดิฉันคิดว่าคุณแจกเขาไม่ได้ แล้วปรากฏการณ์ที่เขาไปล่าชื่อมันจะยิ่งหนักอีก ตอนนี้คนยังงง? ลำพังของเก่าก็แย่แล้วนะ พอมาของใหม่ตอนนี้ ส.ส.เขาออกมาโวย
แต่ดิฉันถือว่าเราเหมือนนักวิชาการอิสระ ดิฉันตามเรื่อง Overhang Mandate มาหลายปี แล้วก็ขู่เอาไว้ว่าถ้าคุณทำจะต้องเป็นแบบนี้นะ ถ้าคิดตามนี้คุณจะต้องมีส.ส.ในรัฐสภากว่า 1 พันคน
คุณตัดสินใจซะนะว่าจะเอา 33,748 หรือ 71,057 คะแนนเป็นมาตรฐานสำหรับส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน