ยูดีดีนิวส์ : 20 เม.ย. 62 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้กล่าวในการทำ Facebook Live วันนี้ว่า กระบวนการต่อสู้ของประชาชน และภาพรวมของการต่อสู้ทั้งประเทศที่จะทำให้การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นการเมืองการปกครองที่สมบูรณ์ถูกต้องแบบอารยประเทศ
เรามีการปะทะกันระหว่างแนวคิดอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม กับเสรีนิยมและประชาธิปไตยทั้งความคิด ผลประโยชน์ และอำนาจมาโดยตลอด แต่ความเข้มแข็งของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม เมื่อได้รับบทเรียนจากความพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับคณะราษฎร ก็กลายเป็นบทเรียนที่พัฒนา
เมื่อประกอบกับในยุคสงครามเย็น (โลกเสรี VS ฝ่ายคอมมิวนิสต์) สถานการณ์ก็เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมได้แรงเสริมจากการสู้รบสงครามเย็น ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายเสรีประชาธิปไตย
ขณะเดียวกันฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมในประเทศไทยซึ่งก็กลายเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้รับการค้ำจุนและแข็งแกร่ง จึงทำให้เกิดเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริงนั้นจึงมีอุปสรรคมาโดยตลอด
ถ้าเราไม่ตระหนักว่าอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมไทยมีความแข็งแกร่งเพียงใด ก็จะเกิดการลื่นไถล ลื่นล้ม เกิดการต่อสู้ดังที่เราเห็นมาจนทุกวันนี้ ดังนั้นความอดทนของประชาชนไทยที่อยู่มายาวนาน
วันพฤหัสเราคุยอนาคตการเมืองไทยในภาครัฐสภา ซึ่งเวทีรัฐสภาก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขณะเดียวกันฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศโดยวิถีทางรัฐสภาและวิถีทางสันติก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ กลายเป็นว่าฝ่ายประชาชนถูกกระทำ ถูกเข่นฆ่า ถูกจับกุมคุมขังมาโดยตลอด
หมายความว่าถ้าพรรคการเมืองเข้มแข็งก็จะทำให้การสูญเสียของประชาชนลดลง ขณะเดียวกันถ้าฝ่ายประชาชนเข้มแข็งก็จะทำให้พรรคการเมืองฝ่ายเสรีประชาธิปไตยและฝ่ายเสรีนิยมก็สามารถมีพลังต่อกรกับอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมได้ วันก่อนอ.ธิดาได้พูดถึงแนวโน้มของเวทีรัฐสภา ซึ่งไม่ดีเท่าไหร่ เพราะยึดอำนาจมาแล้ว 5 ปี โอกาสที่จะอยู่ต่อนั้นมีสูงมาก
อ.ธิดาได้แสดงทัศนะว่า ภาคประชาชนจำเป็นต้องผนึกกำลังกับภาคการเมือง (พรรคการเมือง) ผนึกกำลังกับภาคประชาชนในส่วนต่าง ๆ เพื่อที่จะเข้าสู่เป้าหมายเดียวกัน ก็คือทำให้ประเทศนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบอารยประเทศได้
สิ่งที่ อ.ธิดา มองอนาคตการเมืองไทยอยู่ก็คือ
ประการแรก พรรคการเมืองจะต่อสู้โดดเดี่ยวไม่ได้ เพราะขณะนี้จะเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยมีที่นั่งในรัฐสภานั้นเสียงปริ่มน้ำ อาจจะเจอใบส้ม ใบแดง ใบดำ อาจจะเจอวิธีคิดคำนวณของกกต.ซึ่งไปเอาพรรคเล็ก ๆ มาโดยไม่สนใจว่าจะขัดรธน.หรือเปล่า?
ดังนั้นสถานการณ์ฝ่ายเวทีรัฐสภาไม่สดใส จะไม่สามารถผลักดันให้ตั้งรัฐบาลได้ หรือเป็นรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากการหนุนช่วยของภาคประชาชน
ซึ่งแต่เดิมภาคประชาชนถูกทำให้อ่อนแอ เมื่อมองภาคประชาชน เช่น องค์กรนปช. หรือกลุ่มภาคประชาชนอื่น ๆ ก็ถูกกระทำทั้งถูกจับกุมคุมขัง หลบหนีไปต่างประเทศ แม้กระทั่งเสียชีวิตไป (เฉพาะในทศวรรษนี้) แต่ผลจากการเลือกตั้งที่ฝ่ายประชาธิปไตยได้เสียงกว่า 16 ล้านเสียง (เสียงเกินครึ่ง) แต่ที่นั้งในรัฐสภาตอนนี้ก็ยังต้องแข่งขันกันอยู่
แต่ถามว่าจะเพียงพอไหมในการต่อกรกับฝ่ายอำนาจรัฐอำนาจนิยมซึ่งเป็นของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม (กองทัพ, กลไกรัฐ, องค์กรอิสระ ฯลฯ) ดังนั้นการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงประเทศให้อำนาจเป็นของประชาชนจึงไม่ง่าย!!!
จากการอดทนมากว่า 5 ปี เสียงของประชาชนในการเลือกตั้งสามารถสำแดงพลัง และการที่พรรคการเมืองออกมามีสัตยาบันร่วมกันในการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ดิฉันสนับสนุนและถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ถามว่าบทบาทประชาชนในภาพรวมที่ควรจะต้องผลักดัน
ประการแรกต้องผลักดันต่อกกต. คือให้กกต.เปิดเผยข้อมูลดิบอย่างโปร่งใสทั้งหมด
ประการต่อมา กกต.ต้องโชว์การคำนวณว่าปาตี้ลิสต์คุณคำนวณอย่างไร ประชาชนต้องช่วยกันกดดันให้กกต.คำนวณให้เป็นไปตามรธน.และกฎหมายประกอบรธน. มาตรา 128 ไม่ใช่คำนวณตามอำเภอใจ
และรวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคการเมืองที่มีจำนวนส.ส.มากที่สุดได้จัดตั้งก่อน
เรารู้ว่าผลลัพธ์มันคงไม่ได้หรอกตามที่เราคุยกันไว้แล้ว แต่ภาคประชาชนก็จำเป็นต้องร่วมกันกดดัน นี่ในส่วนของทิศทางเพื่อที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีจุดยืนต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ที่มีจุดยืนในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ แปลว่าภาคประชาชนต้องร่วมมือกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
10 ปีที่ผ่านมาภาคประชาชนมีข้อเสียมีจุดอ่อนพอสมควร แต่ก็มีจุดดีพอสมควร จุดยืนของประชาชนยังเหนียวแน่น เราจะเห็นได้จากกว่า 16 ล้านเสียงที่เลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และยืนหยัดไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเสียงทุกครั้งในการต่อต้านรธน.ที่ไม่เป็นไปตามประชาธิปไตย แต่แค่นี้ยังไม่พอที่จะเอาชนะ!
นอกจากเรามีทิศทางในการร่วมมือกับพรรคการเมืองและทิศทางแน่วแน่ในการเดินต่อไปข้างหน้าแล้ว สิ่งสำคัญก็คือเราจะต้องมีความยินดีและเปิดรับภาคประชาชนส่วนอื่น ๆ เพราะจะมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดจากอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม หันมามีจุดยืนฝ่ายประชาธิปไตยและเสรีนิยม
นี่จะแสดงถึงความเติบใหญ่ของภาคประชาชนที่สนับสนุนประชาธิปไตยและต่อต้านระบอบรัฏฐาธิปัตย์ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ดังนั้นภาคประชาชนในอนาคตต้องใจกว้างมาก ๆ พร้อมกันนั้นต้องมาสำรวจตรวจสอบจุดอ่อนและปรับปรุงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะการนำ, ความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรหรือกลุ่มต่าง ๆ
จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูภาคประชาชนเดิมให้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นและมีลักษณะเป็นแนวร่วมกว้างจริง ๆ ไม่ใช่แต่เพียงจับมือกับพรรคการเมืองที่เราเคยรัก ต้องจับมือกับภาคประชาชนและพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยด้วย
ถ้าเราทำได้เช่นนี้ ดิฉันคิดว่าภาคประชาชนจะเป็นกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศได้ต่อไป ดังนั้นยูดีดีนิวส์และตัวดิฉันเองหวังว่า นับจากนี้ไปภาคประชาชนส่วนต่าง ๆ ทั้งใจกว้าง ทั้งมองเห็นภาพรวมใหญ่อนาคต และไม่ต้องรู้สึกท้อถอย
ดิฉันไม่เห็นด้วยถ้าใครคิดว่าภาคประชาชนจะไม่มีบทบาทเหลือแต่พรรคการเมือง
พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอื่น ๆ ดิฉันอยากให้มองเห็นว่าการสนับสนุนความเข้มแข็งของภาคประชาชนเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งกว่าการมีหัวคะแนน เพราะพอหีบเลือกตั้งถูกยกออก ต่อไปนี้ก็คือบทบาทภาคประชาชน
ขอฝากความหวังไว้ว่าอย่าไปท้อถอย ใครที่อยู่ในภาคประชาชนอาจจะมองเห็นแต่บทบาทของพรรคการเมืองอย่างเดียว ดิฉันบอกได้เลยว่าต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะมีรัฐบาลแบบไหน รัฐบาลแบบพล.อ.ประยุทธ์ หรือรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย
คนที่จะออกบทบาทสำคัญก็คือภาคประชาชน!
ดังนั้นขอให้เตรียมตัว แต่อย่างที่บอก...ใจกว้างไว้นะคะ เอาเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญ เอาหลักการเป็นหลัก บุคคลเป็นรอง