ยูดีดีนิวส์ : 29 ก.ค. 62 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา เมื่อวันที่ 25-26 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยวันนี้ อ.ธิดาได้ตั้งประเด็นการสนทนาว่า "บิ๊กตู่" กับหัวโขนใหม่ในรัฐสภา!
อ.ธิดากล่าวว่า บิ๊กตู่ในฐานะ ผบ.ทบ., บิ๊กตู่ในฐานะหัวหน้าคสช.และ บิ๊กตู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีมาตรา 44 บัดนี้เข้าสู่ยุคใหม่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบิ๊กตู่ซึ่งเป็นการแสดงบทบาทครั้งแรกในเวทีรัฐสภา จึงมีเรื่องทั้งตลกขบขัน เรื่องน่าสมเพช และสีสันทางการเมืองระดับหนึ่ง
ทั้งฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งก็เป็นมือใหม่ ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีนั้น ลุกจากเก้าอี้ในฐานะนายกรัฐมนตรีในระบอบเผด็จการ มาสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ดิฉันให้คะแนนความเป็นประชาธิปไตยเสี้ยวเดียว (ประชาธิปไตยสลึงเดียว) ท่านก็แสดงบทบาทที่กลายเป็นเรื่องชวนหัว เราจึงมองเห็นว่า จากวิธีคิดในฐานะอำนาจนิยมอนุรักษ์นิยม เมื่อมาสู่เวทีรัฐสภาสลึงเดียวซึ่งมีรูปแบบที่ประธานรัฐสภายิ่งใหญ่ที่สุด
แต่ท่านพูดวันนั้นในประเด็นที่แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาส.ว.ว่า หัวหน้าคสช.ใหญ่กว่าอำนาจอื่น ๆ จะมาตรวจสอบฟ้องร้องอะไร เพราะในฐานะหัวหน้าคสช.ใหญ่กว่าอำนาจทั้งหลายทั้งหมด...ใหญ่ที่สุด!
ดังนั้นเราจึงเห็นภาวะของความประดักประเดิด ก็คือคนที่เคยมีอำนาจสูงสุด เวลามาอยู่ในรัฐสภาซึ่งมีรูปแบบ ก็คือต้องพูดกับประธานรัฐสภาอย่างนอบน้อม เพราะในเวทีรัฐสภา ประธานรัฐสภาใหญ่ที่สุด และต้องขึ้นต่อระเบียบและกฎหมาย ถึงแม้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม
ดังนั้น จากการประเมินของดิฉันกรณีตัวนายกรัฐมนตรี ในทัศนะดิฉันนั้นท่านสอบตกในการแถลงฯ ด้วยเหตุผลว่า การที่ท่านมายืนโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดผ่านประธานรัฐสภา ซึ่งระเบียบนี้ทำเพื่อไม่ให้ท่านไปทะเลาะกับคนอื่น สมาชิกรัฐสภาทุกคนต้องพูดกับประธานรัฐสภา พูดง่าย ๆ ว่าเรื่องแค่นี้ท่านก็ยังไม่รู้!
แต่เหตุผลที่ดิฉันให้ท่านสอบตก เพราะว่า
ประการแรก ท่านไม่สามารถที่จะตอบในการแถลงนโยบาย เมื่อฝ่ายค้านถามถึงปัญหาความชอบธรรมในฐานะนายกรัฐมนตรี การเลือกที่จะไม่ตอบหรือไม่พูดโดยอ้างศาล ดิฉันคิดว่าไม่ถูก เพราะคนเราจะต้องมีเหตุมีผลที่แสดงได้พอสมควรระดับหนึ่ง นอกจากตอบไม่ได้แล้วยังเกิดเป็นจำเลยในเรื่องใหม่ นั่นก็คือไม่ชอบธรรมในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร เพราะท่านบอกว่าเตรียมการมาแล้วตั้ง 3 ปี
"เตรียมการมา 3 ปีกว่า ไม่ต้องมาสู้หรอก" คนนั่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นเยอะ รวมทั้งอ.ธิดาก็นั่งอยู่ด้วย ดังนั้นท่านอาจจะลืมไปว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นมีคนได้ยินเยอะ
ดังนั้นดิฉันก็ถือว่านอกจากความไม่ชอบธรรมในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เกิดประเด็นใหม่คือไม่ชอบธรรมในการทำรัฐประหารตามที่ท่านอ้างว่ามันจำเป็น เพราะจริง ๆ ท่านเตรียมการมาแล้วกว่า 3 ปี
ประการที่สอง ท่านต้องอธิบายว่าทำไมท่านถึงตั้งครม.ชุดเดิมที่มาจากการสืบทอดอำนาจให้มาเป็นครม.ในรัฐบาลใหม่ที่ท่านอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่รองนายกฯ เป็นชุดเดิมทั้งหมด ท่านไม่ได้อธิบายเหตุผล หมายความว่า
- ไม่ชอบธรรมในการทำรัฐประหาร
- ไม่ชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี
- ไม่ชอบธรรมในการแต่งตั้ง ครม.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ผู้คนทั้งหลายบอกว่าเป็นครม.ที่ล้มเหลวง แล้วก็ยังเอามาสืบทอดอำนาจ
ประการที่สาม ท่านเปลี่ยนตัวเองยังไม่ได้ แทนที่จะพูดกับประธานรัฐสภา ท่านใช้วิธีไปคำนับ แต่ท่านโต้ตอบฝ่ายค้านโดยตรง นั่นแปลว่าวิธีคิด วิธีทำงานยังเคยชินกับระบอบเผด็จการ เมื่อมาเป็นหัวโขนใหม่ในรัฐสภา (ที่มีความเป็นประชาธิปไตยเพียงสลึงเดียว) วิธีคิด วิธีทำงานยังปรับไม่ได้กับหัวโขนใหม่
แล้วยังแถมด้วยคำว่า "คุณคนสวย" ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก ถามว่าจำชื่อคุณพรรณิการ์ วานิช ไม่ได้หรือ...จำได้ แต่ตามด้วย "คุณคนสวย" แสดงให้เห็นส่วนลึกของการกดขี่ผู้หญิง และนี่เป็นวิธีคิด วิธีพูด มันออกมาเอง คือแนวคิดอนุรักษ์นิยม แนวคิดที่กดขี่ผู้หญิง
ประการที่สี่ ต่อเนื่องมาจากประการที่สาม คือ แนวคิดกดขี่ผู้หญิง แนวคิดกดขี่คนจนและดูถูกคนจนได้แสดงออกในวันแถลงนโยบาย โดยจากคำพูดของท่าน
"...ภาษีมาจากไหน ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสุทธิ 3.158 แสนล้านบาท ได้มาแค่ 11% มีคนเสียจริง ๆ แค่ 4 ล้านคนที่อยู่ในเกณฑ์เสียภาษีบุคคล"
ความจริงท่านมีตัวเลขหมด แต่มันเป็นเพราะวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม ที่กดขี่คนจน ท่านรู้ว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3.158 แสนล้าน ดิฉันคำนวณจากรวมรายได้จัดเก็บ 2,802,360 ล้าน ได้ 11.16% ซึ่งก็พอ ๆ กับท่านนั่นแหละ และภาษีเงินได้นิติบุคคลก็ 22.20%
แต่สิ่งที่ท่านพูดก็คือว่ามีคนเพียง 4% ที่จ่ายภาษี ท่านไม่ได้คิดว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11% นั้น แล้วที่เหลือล่ะ?
ถ้านำภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11.16% รวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคล 22.20% จะได้ประมาณ 33% ถามว่าที่เหลือประมาณ 70% นั้นมาจากคน 4% หรือ?
ทำไมท่านไม่คิดว่าคนจนทั้งหลายที่ไม่ใช่ 4% จริง ๆ แล้วภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นกำไรของเขาก็มาจากการขายของให้คนส่วนใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าท่านมองเห็นคน 4% นั้นล้ำเลิศในการจ่ายภาษี แต่นั้่นมันเพียง 11% แล้วอีก 90% ที่เหลือมาจากไหน? มาจากคน 4% นี่หรือ? ไม่ใช่!!! มาจากภาษีเงินได้นิติบุคคลอีก 22% และเงินได้นิติบุคคลนั้นเป็นรายได้ที่มาจากผู้ใช้แรงงาน มาจากผู้ซื้อ
ท่านต้องมีความรู้พื้นฐานด้วยว่า ภาษีทางตรง กับ ภาษีทางอ้อม ภาษีส่วนใหญ่ล้วนมาจากประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งจัดเก็บได้มากเป็น 2 เท่าของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, สรรพสามิต ยังมีอากรแสตมป์, ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น
เหล้า, บุหรี่, เบียร์ ใครกิน? ใครสูบ?
รถยนต์ ใครซื้อ? ก็ไม่ใช่คน 4% เท่านั้น
ถามว่ารถจักรยานยนต์ที่คนซื้อกันเต็มบ้านเต็มเมือง รวมทั้งที่ผ่อนด้วย คนจนหรือเปล่าที่ซื้อ
รวมทั้งเครื่องดื่ม เครื่องไฟฟ้า กิจการโทรคมนาคม และอื่น ๆ รวมรายได้ทั้งหมดที่จัดเก็บ 2,802,360 ล้านบาท
แต่คน 4% จ่าย 3 แสนกว่าล้าน คิดเป็น 11%
คนที่มีทัศนะไม่ดูถูกคนจน...พูดแบบท่านไม่ได้
เพราะฉะนั้นดิฉันมองแล้วถือว่าท่าน "สอบตก"
ไม่สามารถแสดงความชอบธรรมในฐานะนายกรัฐมนตรีในเรื่องการทำรัฐประหาร ทำให้กลายเป็นขี้ปากคน ที่บอกว่ามันมีปัญหาจำเป็นต้องทำ ที่แท้เตรียมการมากว่า 3 ปีหลังขึ้นเป็นผบ.ทบ. แสดงว่าเมื่อตอนคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เดินตามต้อย ๆ นั้นเป็นการแสดงละครทั้งสิ้น
ท่านไม่สามารถที่จะแถลงให้ประชาชนยอมรับถึงความชอบธรรม
- ในฐานะคณะรัฐประหาร
- ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ทำรัฐประหารมา
- ในฐานะนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 ที่สืบทอดอำนาจ
และทัศนะที่ไม่ให้เกียรติ ดูหมิ่นผู้หญิงและคนจน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องรายได้ ท่านต้องลบความคิดนี้ใหม่ ประเทศนี้ไม่ได้ถูกสร้างด้วยคน 1% หรือ 4% ประเทศนี้ถูกสร้างด้วยคน 90 กว่าเปอร์เซ็น สร้างมาในอดีตก็ต้องมีไพร่ ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้สร้างประเทศ ไม่ใช่คน 1% ไม่ใช่แต่เพียงว่าเพราะเขาจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่น เขาจึงชอบธรรมในการที่จะรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป ชอบธรรมในการที่จะมีบทบาทในการปกครอง ไม่ใช่ค่ะ!
"ในฐานะหัวโขนใหม่ ในฐานะเป็นนายกฯ ในบทบาทใหม่ ดิฉันว่าท่าน"สอบตก" และได้เปิดเผยตัวตนพอสมควร มีคนชมว่ามีข้อดีที่ท่านตรงไปตรงมา แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความคิดอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม และยังไม่ให้เกียรติประชาชน แถมเลยว่า ดูหมิ่นคนจนว่ายังไม่สมควรเป็นผู้ปกครองหรือมีส่วนร่วมในการปกครอง" อ.ธิดากล่าวในที่สุด
ดังนั้น จากการประเมินของดิฉันกรณีตัวนายกรัฐมนตรี ในทัศนะดิฉันนั้นท่านสอบตกในการแถลงฯ ด้วยเหตุผลว่า การที่ท่านมายืนโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดผ่านประธานรัฐสภา ซึ่งระเบียบนี้ทำเพื่อไม่ให้ท่านไปทะเลาะกับคนอื่น สมาชิกรัฐสภาทุกคนต้องพูดกับประธานรัฐสภา พูดง่าย ๆ ว่าเรื่องแค่นี้ท่านก็ยังไม่รู้!
แต่เหตุผลที่ดิฉันให้ท่านสอบตก เพราะว่า
ประการแรก ท่านไม่สามารถที่จะตอบในการแถลงนโยบาย เมื่อฝ่ายค้านถามถึงปัญหาความชอบธรรมในฐานะนายกรัฐมนตรี การเลือกที่จะไม่ตอบหรือไม่พูดโดยอ้างศาล ดิฉันคิดว่าไม่ถูก เพราะคนเราจะต้องมีเหตุมีผลที่แสดงได้พอสมควรระดับหนึ่ง นอกจากตอบไม่ได้แล้วยังเกิดเป็นจำเลยในเรื่องใหม่ นั่นก็คือไม่ชอบธรรมในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร เพราะท่านบอกว่าเตรียมการมาแล้วตั้ง 3 ปี
"เตรียมการมา 3 ปีกว่า ไม่ต้องมาสู้หรอก" คนนั่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นเยอะ รวมทั้งอ.ธิดาก็นั่งอยู่ด้วย ดังนั้นท่านอาจจะลืมไปว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นมีคนได้ยินเยอะ
ดังนั้นดิฉันก็ถือว่านอกจากความไม่ชอบธรรมในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เกิดประเด็นใหม่คือไม่ชอบธรรมในการทำรัฐประหารตามที่ท่านอ้างว่ามันจำเป็น เพราะจริง ๆ ท่านเตรียมการมาแล้วกว่า 3 ปี
ประการที่สอง ท่านต้องอธิบายว่าทำไมท่านถึงตั้งครม.ชุดเดิมที่มาจากการสืบทอดอำนาจให้มาเป็นครม.ในรัฐบาลใหม่ที่ท่านอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่รองนายกฯ เป็นชุดเดิมทั้งหมด ท่านไม่ได้อธิบายเหตุผล หมายความว่า
- ไม่ชอบธรรมในการทำรัฐประหาร
- ไม่ชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี
- ไม่ชอบธรรมในการแต่งตั้ง ครม.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ผู้คนทั้งหลายบอกว่าเป็นครม.ที่ล้มเหลวง แล้วก็ยังเอามาสืบทอดอำนาจ
ประการที่สาม ท่านเปลี่ยนตัวเองยังไม่ได้ แทนที่จะพูดกับประธานรัฐสภา ท่านใช้วิธีไปคำนับ แต่ท่านโต้ตอบฝ่ายค้านโดยตรง นั่นแปลว่าวิธีคิด วิธีทำงานยังเคยชินกับระบอบเผด็จการ เมื่อมาเป็นหัวโขนใหม่ในรัฐสภา (ที่มีความเป็นประชาธิปไตยเพียงสลึงเดียว) วิธีคิด วิธีทำงานยังปรับไม่ได้กับหัวโขนใหม่
แล้วยังแถมด้วยคำว่า "คุณคนสวย" ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก ถามว่าจำชื่อคุณพรรณิการ์ วานิช ไม่ได้หรือ...จำได้ แต่ตามด้วย "คุณคนสวย" แสดงให้เห็นส่วนลึกของการกดขี่ผู้หญิง และนี่เป็นวิธีคิด วิธีพูด มันออกมาเอง คือแนวคิดอนุรักษ์นิยม แนวคิดที่กดขี่ผู้หญิง
ขอบคุณภาพจาก sanook.com |
"...ภาษีมาจากไหน ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาสุทธิ 3.158 แสนล้านบาท ได้มาแค่ 11% มีคนเสียจริง ๆ แค่ 4 ล้านคนที่อยู่ในเกณฑ์เสียภาษีบุคคล"
ความจริงท่านมีตัวเลขหมด แต่มันเป็นเพราะวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม ที่กดขี่คนจน ท่านรู้ว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 3.158 แสนล้าน ดิฉันคำนวณจากรวมรายได้จัดเก็บ 2,802,360 ล้าน ได้ 11.16% ซึ่งก็พอ ๆ กับท่านนั่นแหละ และภาษีเงินได้นิติบุคคลก็ 22.20%
แต่สิ่งที่ท่านพูดก็คือว่ามีคนเพียง 4% ที่จ่ายภาษี ท่านไม่ได้คิดว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11% นั้น แล้วที่เหลือล่ะ?
ถ้านำภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 11.16% รวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคล 22.20% จะได้ประมาณ 33% ถามว่าที่เหลือประมาณ 70% นั้นมาจากคน 4% หรือ?
ทำไมท่านไม่คิดว่าคนจนทั้งหลายที่ไม่ใช่ 4% จริง ๆ แล้วภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้นกำไรของเขาก็มาจากการขายของให้คนส่วนใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่าท่านมองเห็นคน 4% นั้นล้ำเลิศในการจ่ายภาษี แต่นั้่นมันเพียง 11% แล้วอีก 90% ที่เหลือมาจากไหน? มาจากคน 4% นี่หรือ? ไม่ใช่!!! มาจากภาษีเงินได้นิติบุคคลอีก 22% และเงินได้นิติบุคคลนั้นเป็นรายได้ที่มาจากผู้ใช้แรงงาน มาจากผู้ซื้อ
ท่านต้องมีความรู้พื้นฐานด้วยว่า ภาษีทางตรง กับ ภาษีทางอ้อม ภาษีส่วนใหญ่ล้วนมาจากประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งจัดเก็บได้มากเป็น 2 เท่าของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, สรรพสามิต ยังมีอากรแสตมป์, ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น
เหล้า, บุหรี่, เบียร์ ใครกิน? ใครสูบ?
รถยนต์ ใครซื้อ? ก็ไม่ใช่คน 4% เท่านั้น
ถามว่ารถจักรยานยนต์ที่คนซื้อกันเต็มบ้านเต็มเมือง รวมทั้งที่ผ่อนด้วย คนจนหรือเปล่าที่ซื้อ
รวมทั้งเครื่องดื่ม เครื่องไฟฟ้า กิจการโทรคมนาคม และอื่น ๆ รวมรายได้ทั้งหมดที่จัดเก็บ 2,802,360 ล้านบาท
แต่คน 4% จ่าย 3 แสนกว่าล้าน คิดเป็น 11%
คนที่มีทัศนะไม่ดูถูกคนจน...พูดแบบท่านไม่ได้
เพราะฉะนั้นดิฉันมองแล้วถือว่าท่าน "สอบตก"
ไม่สามารถแสดงความชอบธรรมในฐานะนายกรัฐมนตรีในเรื่องการทำรัฐประหาร ทำให้กลายเป็นขี้ปากคน ที่บอกว่ามันมีปัญหาจำเป็นต้องทำ ที่แท้เตรียมการมากว่า 3 ปีหลังขึ้นเป็นผบ.ทบ. แสดงว่าเมื่อตอนคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ เดินตามต้อย ๆ นั้นเป็นการแสดงละครทั้งสิ้น
ท่านไม่สามารถที่จะแถลงให้ประชาชนยอมรับถึงความชอบธรรม
- ในฐานะคณะรัฐประหาร
- ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ทำรัฐประหารมา
- ในฐานะนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 ที่สืบทอดอำนาจ
และทัศนะที่ไม่ให้เกียรติ ดูหมิ่นผู้หญิงและคนจน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องรายได้ ท่านต้องลบความคิดนี้ใหม่ ประเทศนี้ไม่ได้ถูกสร้างด้วยคน 1% หรือ 4% ประเทศนี้ถูกสร้างด้วยคน 90 กว่าเปอร์เซ็น สร้างมาในอดีตก็ต้องมีไพร่ ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้สร้างประเทศ ไม่ใช่คน 1% ไม่ใช่แต่เพียงว่าเพราะเขาจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่น เขาจึงชอบธรรมในการที่จะรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป ชอบธรรมในการที่จะมีบทบาทในการปกครอง ไม่ใช่ค่ะ!
"ในฐานะหัวโขนใหม่ ในฐานะเป็นนายกฯ ในบทบาทใหม่ ดิฉันว่าท่าน"สอบตก" และได้เปิดเผยตัวตนพอสมควร มีคนชมว่ามีข้อดีที่ท่านตรงไปตรงมา แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความคิดอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม และยังไม่ให้เกียรติประชาชน แถมเลยว่า ดูหมิ่นคนจนว่ายังไม่สมควรเป็นผู้ปกครองหรือมีส่วนร่วมในการปกครอง" อ.ธิดากล่าวในที่สุด