วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ธิดา ถาวรเศรษฐ : 'ธิดา' คารวะ 'ธง แจ่มศรี' ทั้งในฐานะสหายและเลขาธิการพรรคฯ


ยูดีดีนิวส์ : 14 ก.ค. 62 วันนี้ในเวลา 16.00 น. จะมีการฌาปณกิจศพ "ลุงธง แจ่มศรี" เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ณ เมรูวัดพระประโทณเจดีย์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม นั้น

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้โพสต์ไว้อาลัยและคารวะ 'ธง แจ่มศรี' ในเพจเฟสบุ๊ค โดยมีความว่า

คารวะ “ธง แจ่มศรี” เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

ธิดา ถาวรเศรษฐ
11 ก.ค. 62

- ลุงธง ในฐานะ สหาย
- ลุงธง ในฐานะ เลขาธิการพรรคฯ

ศึกษาประวัติชีวิต “ลุงธง แจ่มศรี” ก็เหมือนกับการศึกษาประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

ประวัติชีวิตโดยทั่วไปท่านผู้อ่านคงได้ทราบจากหนังสือเล่มนี้และเล่มอื่น ๆ สำหรับดิฉันได้มีโอกาสรู้จักกับท่านในห้วงเวลาที่ท่านได้รับการเลือกตั้งจากการประชุมสมัชชา 4 เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในปี 2525 จากนั้นเมื่อมีการประชุมแลกเปลี่ยน ผลการประชุมสมัชชา 4 ในเรื่องการวิเคราะห์สังคมไทยและการเขียนนโยบายมีโอกาสแลกเปลี่ยนสนทนาเป็นช่วงเวลา 3-4 เดือน และระยะหลังจากที่ท่านออกมาใช้ชีวิตปกติ

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในเขตป่าเขาหรือในช่วงที่สังคมไทยมีความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมกับทุน (สามานย์) และประชาชนผู้ใช้สิทธิทางการเมือง อันเป็นความขัดแย้งในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา เราก็ยังต้องสนทนาถึงสถานการณ์ความเป็นจริงในสังคมไทยและการวิเคราะห์ความขัดแย้งในสังคมไทยยังเป็นหัวข้อเดิม ๆ ซึ่งต้องใช้ทั้งทฤษฎีและข้อมูล

ดิฉันได้พบว่าลุงธง ท่านพูดน้อยมาก แต่รับฟังเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมหลังสมัชชา 4 ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารกลางเต็มคณะ และมีนักทฤษฎีของพรรคเด่น ๆ อยู่หลายท่าน ทำให้ผลการวิเคราะห์สังคมไทยไม่ชัดเจนเพียงพอ ไม่เป็นที่พอใจของสมาชิกพรรคเป็นจำนวนมาก จึงเกิดแตกแยกและคืนเมือง เพราะขาดความเชื่อมั่นในการนำพาของคณะนำ รวมทั้งมีปัจจัยอื่น ๆ ประกอบ แน่นอนว่าท่านต้องรับผิดชอบปัญหานี้ แต่ทว่าองค์กรนำโดยกรมการเมืองและคณะนำทางทฤษฎีซึ่งมีบทบาทสูงเด่น โดยหลักการแล้วมีส่วนรับผิดชอบสูงกว่าเลขาธิการพรรค (ในทัศนะของดิฉันเอง)

ปัจจัยภายนอก, ปัจจัยทางสากล, ปัจจัยจากรัฐบาลไทย มีส่วนทำให้เกิดความสั่นไหวกระทบกระเทือน แต่ปัจจัยภายในอันเกิดจากการวิเคราะห์สังคมไทยและกำหนดยุทธศาสตร์ที่ต่างกัน และความไม่เชื่อมั่นการนำของคณะนำสูงสุดเป็นตัวชี้ขาดการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งภาวะการนำไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทั้งภายในและภายนอกประเทศ

ภาพลุงธงซึ่งพูดน้อย ฟังมาก ใช้การนำผ่านองค์กรได้เปลี่ยนไปเมื่อคืนเมือง เราได้เปิดการสนทนาในประเด็นเดิม ๆ ในสถานการณ์ใหม่ก่อนและหลังรัฐประหาร 2549 เมื่อเหล่าอดีตสหายและสหายนำมีความคิดแตกต่างกันในเรื่องความขัดแย้งในสังคมไทย และเรื่องนี้ก็สัมพันธ์กับการวิเคราะห์สังคมไทยเช่นเดียวกับในปี 2524 – 2525

เมื่ออดีตสหายและอดีตสหายนำจำนวนมาก (เป็นเสียงส่วนใหญ่) เลือกยืนข้างชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม ถึงขนาดสนับสนุนการทำรัฐประหารเพื่อจัดการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดิฉันได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนกับลุงธงพอสมควร และมีความเห็นไปทางเดียวกันว่า เราไม่ควรและไม่อาจสนับสนุนกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่เป็นปฏิปักษ์กับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (ที่อำนาจเป็นของประชาชนจริง)

การไปร่วมขบวนกับกลุ่มมวลชนจัดตั้งของฝ่ายอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม จึงเป็นสิ่งที่สหายและผู้ก้าวหน้าไม่ควรทำ ลุงธงยืนยันเช่นนี้มาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวาระสุดท้าย

เมื่อมาถึงการวิเคราะห์สังคมไทย ลุงธงก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าฝ่ายนักทฤษฎีแบบกลไก แบบเก่าเดิม ๆ ที่ทุ่มเถียงกันในเรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญอย่างเดียว และยิ่งกว่านั้นข้อมูลก็ยังไม่เพียงพอ องค์ความรู้ก็ไม่เพียงพอ ซ้ำยังละเลยการวิเคราะห์โครงสร้างชั้นบนของสังคม ทั้งการศึกษา, วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี, ศาสนา, อุดมการณ์และการกล่อมเกลาของประเทศไทยที่ยังล้าหลัง ขัดแย้งกับพัฒนาการพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เป็นเหตุที่ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมปลุกปั่นมวลชนให้แตกแยกเป็นฝักฝ่ายได้ง่าย ถ้าอ่านคำแถลงของลุงธงต่ออดีตกรรมการบริหารกลางพรรค (ปี 49 – 50) ด้วยทัศนะที่คล้ายคลึงกันจนมีสหายนำจำนวนมากเข้าใจว่าดิฉันเขียนคำแถลงให้ลุงธง จริง ๆ แล้วลุงธงเขียนเองทั้งหมด ถ้าจะอ่านทัศนะลุงธงทางสังคมในเวลาต่อมา ให้อ่านที่คำแถลงของลุงปี 2551 ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้างในการวิเคราะห์สังคมทางเศรษฐกิจ แต่หลักใหญ่ทางการเมืองยังตรงกันเหมือนเดิม ส่วนหลังจากนั้นจะมีคนอ้างความคิดต่าง ๆ ของลุง ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง ให้ฟังคำสัมภาษณ์จากปากจะดีที่สุด กล่าวได้ว่าเมื่อคืนเมืองและเมื่อมีความขัดแย้งชุดใหม่ในสังคมไทย ลุงธงในตอนนี้แสดงความคิดเห็นเต็มที่ และโต้แย้งสหายที่หันไปสนับสนุนชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยม ตรงไปตรงมา ด้วยจุดยืน ทัศนะ วิธีการ และปรัชญาลัทธิมาร์กซ์เต็มเปี่ยม
ในส่วนตัวดิฉันได้เลิกรายุติการพบปะกับสหายนำต่าง ๆ ตั้งแต่หลังปี 50 และได้พบปะกับลุงธงนาน ๆ ครั้งเท่านั้น ดิฉันเห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ควรบันทึกไว้ให้ประจักษ์ในวาระที่ ลุงธง แจ่มศรี จากไป คน ๆ หนึ่งได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์จนหมดลมหายใจให้กับการต่อสู้เพื่อประเทศชาติประชาชนตามความเชื่อและทัศนะทางการเมืองโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแม้แต่น้อย

ภาวะการนำขององค์กรจัดตั้งที่มีการรวมศูนย์อำนาจที่ขาดองค์ความรู้และข้อมูลเพียงพอในสถานการณ์ภววิสัยที่เปลี่ยนไป มีผลต่อองค์กรจัดตั้งทางการเมืองนั้น ลุงธงยอมรับความบกพร่องผิดพลาดนี้อย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้ง ๆ ที่ภาวะการนำจริงเวลานั้นอยู่ที่คณะผู้นำทางทฤษฎี แต่เวลาที่เหลืออยู่ลุงธงก็ได้ต่อสู้ทางหลักการเต็มที่ แม้จะไม่ได้มีผลต่อสังคมเปิดมากนัก แต่ลุงก็หวังให้อดีตสหายและผู้ที่มารับฟังความคิดเห็นได้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง จนลุงไม่สามารถเปล่งเสียงเจรจาได้อีกต่อไป ดิฉันไม่รับรู้ว่าลุงจะไปเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งใด ๆ อีก ดิฉันไม่อาจรับรองในเรื่องนั้นได้ ถ้าจะมีใครนำชื่อลุงไปใช้ในทางผิด ๆ หรือไม่สอดคล้องความเป็นจริง ลุงธงก็ไม่ต้องตามมารับผิดชอบ ก็เป็นเรื่องของคนอื่น และเท่าที่ทราบลุงเองไม่มีความคิดจะไปเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด ๆ ในระบบทุนนิยม

ในฐานะสหาย ลุงเป็นสหายที่เป็นแบบอย่างผู้อ่อนน้อมถ่อมตน อุทิศชีวิตเพื่อการต่อสู้ในฐานะตัวแทนผลประโยชน์ชนชั้นล่าง ชนชั้นกรรมาชีพอย่างสุดจิตสุดใจ เป็นแบบอย่างแก่นักต่อสู้ที่นำปรัชญาลัทธิมาร์กซ์มาใช้ในการทำความเข้าใจสังคมไทยและความขัดแย้ง แม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและภาวะการนำจะล่มสลายไปก็ยอมรับความจริง และยังใช้ชีวิตให้มีคุณค่าด้วยการศึกษาตลอดเวลา และมีความหวังตลอดเวลาว่า นักต่อสู้รุ่นต่อไปจะสามารถกอบกู้การต่อสู้ของประชาชนให้เดินหน้าต่อไปจนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนไปจากยุคสมัยการต่อสู้ของลุง ขอให้อำนาจเป็นของประชาชนและประชาชนเป็นผู้ตัดสินอนาคตเอง น่าจะเป็นเป้าหมายร่วมกันของนักต่อสู้ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต.