28 ม.ค. 62 อ.ธิดาได้กล่าวในการทำ Facebook Live ว่าการข่มขู่คุกคามที่ทวีความรุนแรงขึ้นนั้นหมายถึงทั้งต่อพรรคการเมืองในประเทศ ต่อประชาชนในประเทศ และผู้ลี้ภัยต่างประเทศด้วย
และจากการที่อ.ธิดาได้ไปงานวันชาติออสเตรเลียเมื่อคืนวันที่ 25 ที่ผ่านมา เลยทำให้นึกถึงผู้เห็นต่างจากอำนาจรัฐซึ่งมันเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ รวมทั้งเป็นปัญหากติการะหว่างประเทศด้วย เลยมาตั้งคำถามว่า ประหนึ่งรัฐไทยตอนนี้ทวีความรุนแรงขึ้นกับผู้เห็นต่าง!!!
เริ่มจากข่าว "ต่างชาติกดดันไทยขังแข้งบาห์เรนลี้ภัย" ซึ่งพวกเราคงทราบว่ามีจับกุมคุมขังนักฟุตบอลชาวบาห์เรน (ฮาคีม อัล อาไรบี) ที่ขอลี้ภัยและได้รับสถานะผู้ลี้ภัยโดยรัฐบาลออสเตรเลียเรียบร้อยแล้ว
อ.ธิดากล่าวว่า การได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลออสเตรเลียก็เท่ากับการยอมรับว่าอยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาลออสเตรเลีย "ฮาคีม" จึงมีความกล้าที่จะเดินทางมาไทยเพราะเชื่อว่าตนเองมีสิทธิที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ยกเว้นบาห์เรน ซึ่งอ.ธิดาคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐเผด็จการไทยไม่เข้าใจ!!!
นอกจากกระทำกับคนในประเทศที่เห็นต่างแล้ว ยังไปกระทำกับพลเมืองของประเทศอื่นที่เห็นต่างกับประเทศนั้น ๆ ซึ่งนายฟิล โรเบิร์ตสัน รักษาการแทนผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย องค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์วอทซ์ กล่าวว่า การที่ไทยดำเนินการกับอาคีมทั้งการควบคุมตัวและฝากขัง เป็นการทรยศต่อคำพูดของประยุทธ์ที่พูดในเวทีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติว่าไทยเคารพหลักการสิทธิมนุษยชน และตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศไทยไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยสอดคล้องกับที่พูดไว้กับเวทีนานาชาติ
นายฟิลยังกล่าวต่อว่า หมายแดงของ INTERPOL ที่ทางรัฐไทยอ้างนั้นเป็นโมฆะไปแล้วจากการที่ฮาคีมได้รับสถานะผู้ลี้ภัยที่รับรองโดยรัฐบาลออสเตรเลีย ประเทศที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศหากพบว่าฮาคีมได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยแล้ว เขาจะส่งกลับขึ้นเครื่องให้ไปออสเตรเลีย
นี่คือประเด็นแรกที่บ่งบอกว่ารัฐไทยปัจจุบันนี้แม้จะก้าวเข้าสู่การเลือกตั้ง จะเป็นระบอบประชาธิปไตยอีกไม่กี่วัน แต่ทัศนะต่อปัญหาสิทธิมนุษยชน ปัญหาสิทธิเสรีภาพ ยังรุนแรง ... ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย!!!
ล่าสุดกรณีที่เกิดขึ้นกับนายเอกชัย หงส์กังวาน คือถูกเผารถยนต์ส่วนตัว ซึ่งก่อนหน้านี้เอกชัยถูกลอบทำร้ายร่างกายมา 5 ครั้งแล้ว ซึ่งล่าสุดอ.ธิดามองว่ามีลักษณะข่มขู่ที่รุนแรงและแสดงออกถึงว่าให้เกิดความหวาดกลัว
อ.ธิดากล่าวว่าแทนที่จะผ่อนปรนลงเพราะจะเข้าสู่ประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง แต่ดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงประมาณว่าจะปิดบัญชีเลือดหรือเปล่า?
อย่างในกรณีที่เราทราบกัน "ผู้ลี้ภัย" ในประเทศใกล้เคียง และดูวิธีการที่กระทำต่อ 2 ศพที่พบ มันรุนแรงประหนึ่งมีความเกลียดชังและข่มขู่ให้คนอื่นกลัวหรือเปล่า?
ในทางหลักการ ... การสร้างปรากฎการณ์ความรุนแรงเช่นนี้คุณต้องการบอกอะไร? การเผารถของเอกชัย ต้องการให้เปลวไฟนั้นบอกอะไร? หรือการเอาแท่งปูนไปยัดใส่ศพ ต้องการบอกอะไร? และช่วยไม่ได้ที่ทำให้อ.ธิดารำลึกถึงความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่มีการตอกอก มีการเอาขวดไปกระทำย่ำยีต่อผู้หญิง มีการเอาเก้าอี้ฟาดศพหรือการลากศพไปบนสนามหญ้า เป็นต้น
ความรุนแรงเหล่านี้แสดงให้ออกถึงความเกลียดชัง ข่มขู่ให้กลัว คนเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติ ไม่ใช่แม้กระทั่งเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ทั้ง ๆ ปัจจุบันทำทารุณกรรมกับสัตว์ยังไม่ได้เลยนะ ตรงนี้อ.ธิดาอยากถามว่า ... คุณหวังผลอะไร?
ทัศนะอ.ธิดาคิดว่าสิ่งที่ท่านทำไม่ได้ทำให้เขากลัวนะ แต่จะทำให้เขาโกรธเคียดแค้นมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้อ.ธิดากล่าวว่า "คสช. ไม่ได้อยู่ในเส้นทางของการที่จะนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ขณะนี้กำลังปิดบัญชีผู้เห็นต่างโดยใช้ความนุรแง ... ใช่หรือเปล่า? ดิฉันว่าไม่ได้ผลนะ คุณไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้หรอก ยกเว้นคุณทำให้ถูกแล้วเขาเห็นด้วย
ปรากฎการณ์ข่มขู่คุกคามที่ทวีความรุนแรงแสดงออกถึงทัศนะที่อยู่กับอำนาจรัฐ คนที่เห็นต่างกับรัฐถือว่าไม่ถูกต้องและจะทำวิธีไหนก็ได้ แต่ท่านไม่สามารถปิดบัญชีกับคนเห็นต่างได้ ถ้าคุณทำถูกและให้เกียรติให้สิทธิกับคนที่เห็นต่าง สถานการณ์ก็จะดีขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่คุณคุกคามข่มขู่ สถานการณ์มักจะรุนแรง
ถ้าคุณอยากได้อำนาจรัฐที่ถูกต้อง คุณควรจะคิดทำอย่างไรให้ประชาชนชื่นชมมากกว่าไปไล่จัดการบี้คนที่เห็นต่าง นั่นแหละคือสิ่งที่ทำลายคุณ และไม่มีทางได้ประโยชน์ทั้งต่อ คสช. และประเทศชาติ
"สุดท้ายคือคุณประยุทธ์วางมือดีกว่า ไม่ต้องเป็นคนปิดบัญชีเอง ให้พรรคการเมืองเขารณรงค์หาเสียงกันให้เต็มที่ ลงจากหลังสือตอนนี้สบายเพราะเสือจะไม่กัด แต่ถ้าลงช้ากว่านี้ดิฉันไม่รู้ค่ะ" อ.ธิดากล่าว