อ.ธิดา
ถาวรเศรษฐ : scenario ของประเทศไทยที่มองไปข้างหน้า เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ทุกย่างก้าวลำบาก
ทุกฝ่ายต่างประคองตัวเพราะมีบาดแผลกันหมด ขณะที่ “ตุลาการภิวัฒน์” มีบทบาทมาก
[ถอดเทป] จากรายการ NEWSROOM HOT-ISSUES 24 มิ.ย. 68
ดำเนินรายการโดย
กาย- พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ
กาย-พงศ์เกษม : ทันทีที่เปิดประชุมสภา
“พรรคภูมิใจไทย” ในฐานะฝ่ายค้านป้ายแดง
จะขอเสียงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะ อาจารย์คิดว่าไงครับ
เขาต้องขอเสียงสนับสนุน ซึ่งเขามี 69 เสียง ยังขาดอีกตั้ง 30 เสียง ?
อ.ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
อาจารย์ว่าการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามระบบรัฐสภาก็เป็นเรื่องที่ดีนะ
ขึ้นอยู่กับว่ามีคนเห็นด้วยหรือเปล่า เราก็หวังว่าคงไม่มีฟาร์มงูเห่าเต็มไปหมด
ก็ต้องถือเป็นโอกาสที่ดี ก็คือ มีการซักฟอกกันเต็มที่
มันจะได้เป็นทิศทางว่าต่อไปนี้ในวิกฤตแบบนี้ที่มีทั้งเรื่องการทหาร การเมือง
และทิศทางระหว่างประเทศ นโยบายของพรรคการเมืองและรัฐบาลควรจะเป็นแบบไหน
มีข้อดีข้อเสียตรงไหน ถ้ามองไปแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนแพ้/ชนะ
อาจารย์ก็คิดว่าเขาก็คงพยายามจะทำให้พรรครัฐบาลชนะ
เพราะว่าทุกวันนี้เท่าที่เขาอยู่กัน ในความคิดของอาจารย์มองว่าเขามองไปการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าเขาจะได้เสียงแค่ไหน
ที่จะทำก็คือทำเพื่อการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็คือใครเป็นฝ่ายค้านก็ประคอง
ทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้ดีที่สุด ใครเป็นรัฐบาล ก็พยายามจะประคองฝ่ายรัฐบาล
ไม่ว่าจะลำบากอย่างไร แล้วก็ให้อยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่จริง ๆ
ผู้ตัดสินเขามองไปที่ข้างหน้าว่าผู้ตัดสินจะเป็นประชาชน นั่นหมายถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่อาจารย์ว่ากว่าจะถึงการตัดสินของประชาชน
เกรงว่าจะมีผู้ตัดสินคนอื่นมาก่อน พวกองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช., กกต.,
ศาลรัฐธรรมนูญ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราเห็นเป็นแถว เพราะฉะนั้น scenario
ของประเทศไทยที่มองไปข้างหน้ามันเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ทุกย่างก้าวลำบาก
และกลายเป็นว่าผู้มีอิทธิพลสูงสุดมันกลายเป็นตุลาการ บทบาทตุลาการภิวัฒน์กับบทบาทของเวทีรัฐสภาของประชาชนก็กำลังดู
เท่าที่ผ่านมาตุลาการภิวัฒน์จัดการประชาชน แต่ว่าถ้าม็อบเยอะ มันก็จะมี worst-case
scenario อีกแบบหนึ่ง เรื่องการทำรัฐประหาร ถ้าม็อบเยอะมากจริง ๆ
รัฐประหารก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาได้ แปลว่าเข้าสู่ทฤษฎีสมคบคิด หมายความว่าเรามอง scenario ได้หลาย scenario
ก็คือถ้าในระบบรัฐสภาก็มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็โอเค
อันนี้ก็มองไปถึงยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศเลยได้ และต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ไป
แต่กลัว “นอกระบอบ” และ “นอกระบบ” เช่น มีทฤษฎีสมคบคิดเรื่องรัฐประหาร
หรือว่าถูกจัดการโดยตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งอาจารย์ก็มองไปว่ามันจะมีปัญหาแบบนี้
อยู่ในสภาพที่ยากลำบากเพราะทุกคนมีแผลหมด
การรัฐประหารในยุคของ
คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในความคิดของอาจารย์ซึ่งผ่านสนามการต่อสู้ประชาชนมาหลายสนามแล้วนะ
มองและศึกษาการทำรัฐประหารนะ อันนี้ถือว่าทำสุดกำลังแล้วนะ คืออยู่ได้ยาวนาน
ก็คือการวางแผนตั้งแต่ยุคคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนอยู่ข้าง ๆ คอยมองตาอยู่ตลอด
จนเผลอ ๆ มีคนบอกว่าคุณยิ่งลักษณ์ฯ คิดว่าน่าจะควบคุมผบ.ทบ.ได้
แต่ว่าไม่รู้เป็นการแสดงละครแบบไหน?
แล้วในที่สุดก็ทำรัฐประหารโดยมีการวางแผนกันหลายเดือนกับ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะว่าในความคิดของอาจารย์จากที่มารับฟังตลอดก็คือ
พวกเขาเป็นจำเลยในคดีปี 53 นะ แล้วก็อดีตอธิบดีดีเอสไอ เพิ่งออกจากคุก ธาริต
เพ็งดิษฐ์ เขาบอกเลยว่าตัว “บิ๊กตู่” ไปขู่เขาเลยว่าอย่าทำคดีนะ ถ้ากูรัฐประหาร
มึงตายแน่เลย (ขอโทษพูดในภาษาเขา) คือเดิมอาจารย์เชื่อบางส่วน แต่พอฟังคุณธาริตฯ
แล้ว โอ๊ะ 100%
แล้วอย่าลืมว่าอาจารย์ไปถึง
ICC นะ กว่า ICC จะรับเรื่องคดี
เพราะฉะนั้นอาจารย์เข้าใจนะที่เขมรทำ ICJ
ยังไม่เข้าตะกร้าอัยการนะ แต่เขายื่นแล้ว จนกระทั่งอัยการเรียก
มันต้องผ่านไปหลายตะกร้ากว่าจะไปถึงจุดโน้น ความหมายก็คือว่า การทำรัฐประหาร
ถ้าเขาจะทำรัฐประหารเที่ยวนี้เขาจะต้องคิดหนัก เพราะว่าของคุณประยุทธ์ฯ
มันสุดยอดแล้ว ทั้งการวางแผน แล้วเราก็รู้อยู่ว่ารัฐประหารครั้งนั้นเขาตกลงกันไว้แล้วเลยว่าต้องอยู่ในอำนาจอย่างน้อย
5 ปี แล้วเขียนรัฐธรรมนูญฉบับที่เลวที่สุด ที่สืบทอดอำนาจได้ยาวที่สุด
และมีการวางแผนไม่ว่าจะเป็น สว. หรืออะไรก็ตาม แล้วสามารถตั้งพรรคอยู่ได้อีก 4 ปี
เพิ่งมาแตกกันเอง ถ้าเขาไม่แตกกัน 2 พรรครวมกัน (พลังประชารัฐ กับ
รวมไทยสร้างชาติ) ก็ยังเสียงมากอยู่เหมือนกันนะ
เพราะฉะนั้น
ทำมากที่สุดแล้วแต่ก็ไม่ได้ประสบชัยชนะ และยิ่งทำให้สังคมไทยเลวร้าย
ไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ตรงข้าม!!! กลับทำให้เกิดกระแสต่อต้าน
เกิดคนรุ่นใหม่ เกิดการตื่นรู้ทางการเมือง
และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญนะในความคิดอาจารย์ ซึ่งตรงนี้เป็นความดีใจ
ชื่นใจมากของตัวเองว่า โอเค มันชัดเจน ต่อให้พวกคุณมีเครื่องมือ มีปืน มีค้อน
แต่ว่าพวกคุณอ่อนแอทุกวัน ในความคิดของอาจารย์นะ
เพราะฉะนั้น
วิธีการแบบเดิม (ถ้าเขามีสมองสักหน่อยนะ)
อาจารย์คิดว่าที่เขาจะใช้ก็คือใช้ตุลาการภิวัฒน์ แต่คุณอย่าลืมว่า
ถ้าเขาจัดการพรรคเพื่อไทย แล้วใครจะมาเป็นรัฐบาลครั้งต่อไป
จะสามารถที่จะต้านทานพรรคประชาชนได้มั้ย?
เพราะฉะนั้นอาจารย์ดูแล้วว่าขณะนี้มันอยู่ในสภาพที่ลำบากกันหมด
พรรคภูมิใจไทยจะมีเสียงมากพอที่จะมาเป็นผู้นำรัฐบาลครั้งต่อไปก็ไม่ได้ แล้วยังแผลเรื่อง
สว. ซึ่งไม่ว่าจะเหลืองจะแดง คนรับไม่ได้ทั้งนั้นเลยที่คุณทำเรื่องสว.
ความชอบธรรมก็ไม่มี ความเป็นไปได้ก็ไม่มีที่จะมาเป็นผู้นำของพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยม
และถ้าคุณไม่โอเคกับพรรคเพื่อไทย คำถามว่าแล้วใครจะไปสกัดพรรคประชาชน
ดังนั้น
มันอยู่ในสภาพที่ขณะนี้คนที่วางยุทธศาสตร์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ต้องคิดมาก
สมมุติว่าจะจัดการคุณ “อุ๊งอิ๊ง” หรือพรรคเพื่อไทย
แล้วเลือกตั้งครั้งต่อไปจะทำอย่างไร?
กาย-พงศ์เกษม : แต่ถ้าอยู่ไปอย่างนี้
เมื่อสักครู่พูดถึงคุณประยุทธ์ขึ้นมายกตัวอย่าง แล้วมีข่าวว่าตัวคุณอิ๊ง
ถ้าเกิดศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
หรือมีการสั่งให้ออกจากตำแหน่งเหมือนเคสคุณเศรษฐา
แคนดิเดตก็ไม่เหลือใครแล้วใช่มั้ย?
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : มันก็จะมีคุณชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าสุขภาพเป็นยังไง?
แต่อาจารย์ว่าพรรคเพื่อไทยก็คงพยายามเอานั่งรถเข็นมา ยังไงก็อาจเอามาแข่งกันกับ
“บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ดูสิว่าใครแข็งแรงกว่ากันระหว่างสองคนนี้
เขาคงต้องพยายามเอาคุณชัยเกษมฯ มา เพราะว่าพรรคเพื่อไทยก็คงต้องสู้ในลักษณะนั้น
แต่ในขณะเดียวกันอาจารย์มองว่าครั้งนี้การที่เอาพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล
มันเป็นการรบของผู้แพ้นะ มันเป็นการวางยุทธศาสตร์
ถ้าเป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่เข้าใจยุทธศาสตร์ จะไม่ออกมาต่อต้านพรรคเพื่อไทยมากนะ
เพราะรู้ว่ามันเป็นความจำเป็น (ของอนุรักษ์นิยม) เพราะพรรคประชาชนน่ากลัวกว่า
ยกเว้นพวกที่เป็นปัจเจก ไม่ชอบทักษิณ เกลียด
ถ้ามาเชียร์ตอนนี้ก็แปลว่าเมื่อก่อนฉันผิดซิ! เพราะเมื่อก่อนฉันก็ด่าเอาไว้เยอะ
พวกนี้จะไม่สนใจยุทธศาสตร์ เป็นเรื่องส่วนตัว
ขณะนี้มันจึงอยู่ในสภาพที่ชะงักงันที่ลำบาก
ต้องต่างฝ่ายต่างประคองตัวเพราะมีแผลหมด พรรคประชาชนก็ลำบาก มวลชนก็ลำบาก
เจอคดีความ 112 กันไม่รู้ตั้งเท่าไร คนก็ไม่กล้าขยับ
แล้วถ้าคุณจะไปเล่นงานพรรคเพื่อไทยมาก พวกคุณก็ลำบาก แล้วคุณจะเอาใครมาเป็นผู้นำ
เป็นรัฐบาลครั้งหน้า แปลว่าเป็นรัฐบาลครั้งหน้าคุณต้องยอมแพ้แล้ว
กาย-พงศ์เกษม :
คืออาจารย์มองว่ามันมีศัตรูเบอร์ 1 อยู่ที่จะต้องสกัดกั้นให้ได้
อ.ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
คืออาจารย์มองแบบการสู้รบนะ มันเป็นยุทธศาสตร์
ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้พรรคประชาชนมาเป็นรัฐบาล อยู่เป็นฝ่ายค้านเขาอาจจะโอเค
เพราะป่านนี้ 44 คน กระบวนการยังไม่เสร็จ อาจารย์ถามว่าเขาเรียกไปกี่คนแล้วนะ
ก็รู้สึกว่าจะเรียกไม่กี่คนเอง สงสัยเขา happy ที่พวกคุณเป็นฝ่ายค้านล่ะมั้ง
เพราะฉะนั้นมันอยู่ในสภาวะชะงักงัน ถ้าฝั่งจารีตต้องการจะเป็นรัฐบาลคุณก็ทำลายพรรคเพื่อไทยไม่ได้
คุณอาจจะไม่ชอบ เพราะว่าฝั่งอนุรักษ์ก็ไม่เป็นเอกภาพ มีทั้งพวกคลั่งชาติและขวาสุดโต่ง
ดังนั้นสภาพเมืองไทยในขณะนี้เป็นสภาพที่ลำบาก คือฝ่ายประชาชนเติบโต แต่ไม่มีอาวุธ
ไม่ใช่ปืนนะ หมายถึงว่าคุณไม่มีอาวุธในการที่จะเอาชนะ แต่คุณแข็งแรงไปเรื่อย ๆ
แต่ฝ่ายที่มีอาวุธ
มีทั้งค้อน มีทั้งปืนหลายอย่าง อ่อนแอนะ อ่อนแอลงไปทุกวัน
แต่ว่าเขายังมีอุปกรณ์สำคัญ (ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน) เพราะฉะนั้น อาจารย์ว่าลำบาก
สภาพประเทศไทยตอนนี้นะ
มันจึงเป็นเรื่องที่เมื่อกี้ที่พูดว่าบางทีมันก็ต้องดูวันต่อวัน
แต่อาจารย์มองในฐานะยุทธศาสตร์ มองยาวไกลเลยนะ อาจารย์ว่าฝั่งอนุรักษ์นิยมทำอะไรก็ยาก
ยกเว้นว่าไม่สนใจว่ามันจะเกิดผลอะไรขึ้นมา แต่ถ้ามีสมองสักหน่อยนะ จะทำงานยากมาก
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #การเมืองไทย #เพื่อไทย #ภูมิใจไทย #แพทองธาร