วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อ.ธิดา มอง “ทักษิณ” ปราศรัยช่วยศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.อุดร เป็นการทำงานทางยุทธศาสตร์ พุ่งเป้าการเลือกตั้งปี 70

 


อ.ธิดา มอง “ทักษิณ” ปราศรัยช่วยศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.อุดร เป็นการทำงานทางยุทธศาสตร์ พุ่งเป้าการเลือกตั้งปี 70


ถอดเทปรายการ Today Live (สำนักข่าวทูเดย์)

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 67 เวลา 18.00 น.

ดำเนินรายการโดย อภิสิทธิ์ ดุจดา

ลิ้งค์รายการ : https://www.youtube.com/watch?v=DdOVBvaBFoQ


ในมุมมองของ อ.ธิดา ทำไมคุณทักษิณจะต้องไปที่อุดรธานี?


ที่ตัวดิฉันมองก็คือว่าแม้เป็นการเลือกตั้งนายกอบจ. และแม้นดูเหมือนว่ามีโอกาสได้สูง มันไม่คู่คี่เหมือนแบบปทุมธานี แต่ว่ามันเป็นการทำงานทางยุทธศาสตร์ จะสังเกตว่าแม้กระทั่งคุณทักษิณที่ไปพูดครั้งนี้พูดไม่ยาว แล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องการเมือง แต่ไปเป็นเชิงสัญลักษณ์ ดิฉันมองว่าเป็นเรื่องทางยุทธศาสตร์ และพูดไปถึง 2570 ในเวลาสั้น ๆ พูดถึงนายกอบจ.คนนี้ แต่พูดไปถึง 2570 แสดงว่าการพูดครั้งนี้คือเป้าหมายไปถึง 2570 เลย ก็คือการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะต้องชนะที่นี่ให้ได้ เพราะว่าครั้งที่แล้วที่อุดรธานีคนก็ไม่คาดคิดว่า พรรคก้าวไกลได้สส. 1 เขต ไม่มาก แต่ถ้าดู Popular Vote แล้ว ห่างกันประมาณ 5-6 หมื่นคะแนนเอง บัญชีรายชื่อ


ผู้ดำเนินรายการ : จาก 10 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยได้ 7 ที่นั่ง พรรคประชาชน (พรรคก้าวไกลเดิม) ได้ 1 ที่นั่ง และพรรคไทยสร้างไทยได้ 2 ที่นั่ง


แต่ว่าอาจารย์หมายถึงบัญชีรายชื่อ คะแนนห่างกัน 6 หมื่นกว่า เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดใจ เพราะว่าอุดรธานีปกติ ความจริงในทัศนะอาจารย์ไม่ใช่เมืองหลวงคนเสื้อแดงนะ เพราะว่าคุณขวัญชัยมักจะพูด ตอนนั้นคุณขวัญชัยก็ถือว่าเป็นแกนนำที่อุดรธานี แกประสบความสำเร็จจากการทำสถานีวิทยุกระจายเสียง อาจารย์ยังไปช่วยทอดผ้าป่าหาเงินทำสถานีวิทยุบ้านที่อยู่ทุกวันนี้แหละ และการเป็นดีเจสถานีวิทยุกระจายเสียงนั้นมันก็สอดคล้องกับสถานการณ์ในเวลานั้นกับคนในชนบท ก็คือไปทำนาไปอะไรแต่ก็ฟัง พอมาเป็นแฟนคลับทางการเมืองก็ค่อนข้างได้ผล


ดังนั้น คุณขวัญชัยก็อยากจะโฆษณาว่าที่นี่เป็นเมืองหลวง คืออยากได้สถานีวิทยุที่ใหญ่แล้วก็มีที่ดินมากมาย อะไรประมาณนี้ แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไร คือในเวลานั้นมีคนหลายกลุ่ม กลุ่มอิสระก็มี กลุ่มที่ตั้งตัวเป็นแกนนำแต่ละจังหวัดก็มี หมู่บ้านเสื้อแดงก็มี บางทีก็พูดกันไปเอง ความจริงในภาคอีสานพูดตรง ๆ ว่าเรามองภาพรวม คนเสื้อแดงภาคอีสานอยู่เยอะมาก ขนาดโคราช ขอนแก่น โดยเฉพาะทางอีสานเหนือก็จะมีคนเสื้อแดงมาก แต่ว่าคำว่า “เป็นเมืองหลวง” คุณขวัญชัยแกตั้งของแกเอง แต่ก็ไม่มีใครไปคัดค้านแกไง เพราะฉะนั้นคนก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น


แต่ในทัศนะอาจารย์ เป็นยังไง?


เสื้อแดงไม่มีเมืองหลวง เพราะเสื้อแดงมันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณในการต่อสู้กับเผด็จการและจารีตนิยม และพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกระทำ ดังนั้นก็เป็นเหมือนกับหลังพิงที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนเสื้อแดงในการต่อสู้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามี loyalty (ความภักดี) ต่อคุณทักษิณกับพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ก็เยอะ แต่บางส่วนคนเสื้อแดงก็จะมีแนวคิดในเชิงอุดมการณ์ในการต่อสู้มากกว่า คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งจะมีการเลือกพรรคใหม่ ซึ่งเป็นสัดส่วนขนาดเคลมว่าเป็นเมืองหลวงนะ ถ้าดูตัวเลขเราก็จะเห็นว่าห่างกัน 6 หมื่นกว่า มันเป็นไปได้ยังไง ก็เหลือเชื่อสำหรับอาจารย์เหมือนกัน แต่ว่าแน่นอน เขตเนี่ยมัน The winner takes all ก็คือหมายความว่า ชนะก็ได้ไป เพราะฉะนั้น คะแนนของเขตมันห่างกันระหว่างสองพรรคนี้มากกว่าสักหน่อย ก็แสดงให้เห็นว่ามันก็มีบทบาทยุทธศาสตร์บ้านใหญ่


ในขณะนี้คุณทักษิณที่ต้องลงไป มันเป็นการทำงานในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อมองไปถึงอนาคต ไม่ใช่แค่สนามท้องถิ่น นอกจากนั้นก็คือ คู่ต่อสู้ของคุณทักษิณอาจจะมีทั้งสีส้ม สีน้ำเงิน ถ้าในเชิงยุทธศาสตร์บ้านใหญ่ สีน้ำเงินก็จะเป็นคู่ต่อสู้ แต่ว่าถ้าเป็นลักษณะ Popular Vote แล้วก็ฐานการเมืองของคนเสื้อแดงเดิม พรรคประชาชนจะเป็นคู่แข่ง เพราะฉะนั้นการที่คุณทักษิณเดินทางไปเท่ากับเป็นการแข่งขันกับพรรคประชาชนโดยตรง เพื่อเป็นการย้ำเตือนคนเสื้อแดงที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยไม่ให้ปันใจไปพรรคอื่น มันก็เลยมีลักษณะอ้อนหน่อย ความจริงก็ได้เปรียบ ก็ดูคุณทักษิณพูดไม่มากหรอก แต่ว่าไปเป็นเชิงสัญลักษณ์ ไม่เหมือนกับพูดที่ว่าจะต้องชนะให้ได้อะไรอย่างนี้ สบาย ๆ พูดในเรื่องยาเสพติด เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องเป็นหนี้ เพราะว่าคุณทักษิณมีความเชื่อว่า ถ้าแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ ก็จะได้รับเสียงคืนเป็นจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะมีทัศนะแตกต่างจากอาจารย์นิดหนึ่ง



ส่วนใหญ่ที่ฟังคุณทักษิณปราศรัย พูดไม่เยอะเหมือนที่อาจารย์บอก พูดเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก


เป็นวิธีคิดของคุณทักษิณซึ่งประสบความสำเร็จในยุคไทยรักไทย ในเวลานั้นการเมืองเราพัฒนาไปในทางที่เป็นบวก ทางที่ดี มีรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้า แต่ว่าเรามีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจมากในช่วงเวลานั้น มี “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ดังนั้นมันถูกที่ถูกเวลา จึงประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ในเวลานี้มันก็มีวิกฤตเศรษฐกิจด้วย แต่ว่าในทัศนะอาจารย์และคนจำนวนมากก็มองว่า การเมืองวิกฤตมากกว่า และวิกฤตเศรษฐกิจกับวิกฤตสังคมที่พูดอยู่ไม่ใช่ไม่มีนะ ถูกต้องที่พูดถึงเรื่องปัญหายาเสพติด พูดเรื่องหนี้ครัวเรือน เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากอย่างยิ่ง แต่ว่าสาเหตุมันมาจากวิกฤตการเมือง


ดังนั้น ถ้าคนที่เป็นนักต่อสู้และเข้าใจ ก็ต้องมองว่าคุณจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง คุณก็ต้องแก้ปัญหาการเมืองก่อน มิฉะนั้นคุณทักษิณ/พรรคเพื่อไทยก็คงแจกเงินหมื่นได้หมดแล้ว แต่เมื่อเขาอนุญาตให้แจกได้เฉพาะคนเปราะบาง ก็ทำได้แค่นั้น ส่วนที่เหลือไม่รู้ว่าปีหน้าจะแจกได้ยังไง อาจจะแจกแค่คนละครึ่ง ก็แล้วแต่ว่าเขาจะอนุญาตหรือเปล่า? หรือจะเจออะไรสะดุดก่อนหรือเปล่า? มันอยู่ที่การตีความ ในทัศนะของอาจารย์เองมองว่า ขณะนี้วิกฤตเศรษฐกิจที่มันเกิดขึ้นมันเกิดจากวิกฤตการเมืองสะสมมาเป็นเวลาลำดับที่เราถูกทำรัฐประหารและถูกทำให้ถอยหลังมาในช่วง 2 ทศวรรษนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2557 มันก็ 10 ปีแล้ว มันไม่เดินไปข้างหน้าก็แปลว่าคนอื่นเขาแซงเราไปเยอะนะ เพราะฉะนั้นวิกฤตเศรษฐกิจมันจึงมาจากการเมือง


แต่ว่าคุณทักษิณก็คงมีความหวังอย่างเดียว คุณทักษิณจะพูดเรื่องแก้วิกฤตการเมืองได้ยังไง? พูดเรื่องนั้นไม่ได้เลย เพราะว่าขณะนี้อยู่ในฐานะอะไร? นี่คือปัญหาที่ พรรคก้าวไกล/พรรคอนาคตใหม่/พรรคประชาชน มาในเวลาที่ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เสียงมันจึงได้มากอย่างที่ตัวอาจารย์ก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เสียงมากขนาดนี้ แม้กระทั่ง “อุดรธานี” เลือกตั้งที่ผ่านมา บัญชีรายชื่อต่างกัน 6 หมื่นกว่าคะแนน ในขณะที่พรรคเพื่อไทยลงหลักปักฐานมาร่วม 20 ปี แล้วก็ได้สส.มามากพอสมควร ผ่านการต่อสู้เต็มที่ แต่กลายเป็นว่าชนะเพียง 6 หมื่นกว่า หมายถึงว่าบัญชีรายชื่อ ถ้านับบัญชีรายชื่อทั่วประเทศ พรรคก้าวไกลได้ 14 ล้านกว่า พรรคเพื่อไทยได้ 10 ล้านเศษ มันห่างกันเกือบ 4 ล้าน ทำให้ที่นั่งบัญชีรายชื่อห่างกัน 10 ที่นั่ง แต่ว่า 3-4 ล้านมันไม่ใช่น้อยสำหรับพรรคที่เกิดใหม่อย่างรวดเร็ว


เพราะฉะนั้น ตรงนี้อยู่ที่การตีความว่าวิกฤตอะไรที่จะดึงคะแนนเสียง พรรคประชาชนก็ต้องถือเอาวิกฤตการเมืองและการแก้ปัญหาทางการเมือง โจทย์ทางการเมืองในการหาเสียง พรรคเพื่อไทยก็ต้องเอาโจทย์ทางเศรษฐกิจในการหาเสียง จริง ๆ มันต้องพูดทั้งสองอย่าง พรรคก้าวไกลก็ต้องพูดทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตการเมือง แต่ว่าพรรคก้าวไกลสามารถพูดปัญหาในฐานะที่เป็นพรรคที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบคนเสื้อแดงเดิมได้ แต่พรรคเพื่อไทยก็คงพูดในประเด็นนี้ไม่ได้ พูดได้เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลแค่ไหน


การที่คุณทักษิณ “ยกทัพ” แกนนำของเพื่อไทยมาครั้งนี้ แปลว่าเขาก็ไม่ประมาท แม้บางคนบอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นต่อและมีโอกาสชนะสูงกว่าพรรคประชาชน


อาจารย์ว่าจริง ๆ แล้วก็คือคุณทักษิณไม่ได้คิดว่าจะต้องหอบใครไปมากหรอก แกไปคนเดียวก็พอแล้ว คนอื่นตามแกไปเอง ก็คือคล้าย ๆ คุณทักษิณไปก็รู้ว่าคนต้องมากมายมหาศาล ถ้าไม่มีคนอื่นไปมีคุณทักษิณไปคนเดียว ตัวเลขคนก็แค่นี้ อาจารย์มองว่าคนอื่นมาร่วมเป็นเหมือนกองเชียร์หรือเป็นอะไรที่ประดับมากกว่า เพราะพระเอกก็คือคุณทักษิณ คนอื่นเป็นตัวประกอบ และโดยเฉพาะเจ๊แดงยิ่งไม่เกี่ยวเลย คงไปเป็นเพื่อนเฉย ๆ ไปเที่ยวมากกว่า ไม่ได้ผลทางการเมืองหรอก อาจจะยิ่งแย่ไปอีกก็ได้


การที่คุณทักษิณมาที่อุดรธานี ส่งผล บวก/ลบ ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้มั้ย?

 

ดังที่บอกว่าจริง ๆ ปัจจัยด้านบวก โอกาสชนะมันมีสูงกว่าอยู่แล้วถ้าเราพิจารณาจากฐานเดิม คุณทักษิณมา แน่นอนมันก็เป็นปัจจัยบวกที่เพิ่มขึ้น เพราะว่ามีอย่างหนึ่งก็คือคนไทย โดยเฉพาะคนในชนบท มีความ loyalty มีความซื่อตรงและภักดี คล้าย ๆ กับเหมือนแบรนด์เก่าที่เราเคยชอบ มันก็ยังมีความผูกพันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ว่าคนเสื้อแดงที่อายุมาก ๆ แล้วได้ผลประโยชน์จาก 30 บาทรักษาทุกโรคด้วย แล้วก็นึกถึงสมัยก่อนหน้านี้ ความผูกพัน ซึ่งอาจจะเรียกว่าที่ไปเลือกพรรคอื่น คือคนที่เลือกอยู่แล้วอาจารย์เข้าใจว่าก็เลือกอยู่นั่นแหละ ก็คงได้อยู่แล้ว คงไม่เสียไป นี่พูดแบบเอาใจช่วยกันนะ คุณทักษิณมาก็หวังว่าจะได้มาเพิ่ม แต่ว่าในบางที่ไม่แน่ คุณทักษิณไปนี่อาจจะเสียไปมากกว่านั้นก็ได้


แต่เราพยายามมองว่าที่อุดรฯ ก็เนื่องจากว่าเป็นพรรคก้าวไกลได้ชนะในเขต 1 กับเขต 7 ที่ได้เยอะหน่อย ก็แสดงว่าภาพรวมคนอุดรฯ เขามีความคิดนะ คือเขตเขาเลือกพรรคหนึ่ง แต่บัญชีรายชื่อเขาก็ไปเลือกอีกพรรคหนึ่ง ก็อย่างที่บอก ไม่น่าเชื่อว่ามันต่างกันเพียง 5-6 หมื่นคะแนนในกรณีเพื่อไทยกับก้าวไกล อาจารย์คิดว่าคุณทักษิณไปน่าจะได้ด้านบวกเพิ่มขึ้น


ผู้ดำเนินรายการสรุปประเด็นใหญ่ ๆ 10 เรื่อง ที่ “ณัฐวุฒิ” ปราศรัย


ไม่มีการเมือง ไม่มีอะไรเลย เป็นแต่เพียงอย่างที่อาจารย์บอก เป็นตัวประกอบ/ตัวประดับสำหรับคุณทักษิณเท่านั้นเอง คือปราศรัยล่วงหน้า ไม่สามารถปราศรัยเรื่องนโยบายทั้งทางการเมือง และแม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจด้วย ก็คงไม่สามารถมีคำมั่นสัญญา แต่ความจริงคือขณะนี้มันพกความได้เปรียบมาเยอะอยู่แล้ว เพราะตัวเองเป็นรัฐบาล ฐานเสียงเดิมก็มีอยู่มากพอสมควร การเป็นรัฐบาลมันได้เปรียบ เพราะสามารถที่จะนำเสนอนโยบาย ซึ่งอาจารย์ผิดหวังนะ คือจริง ๆ ผู้สมัครนายกอบจ. แม้ว่าคุณจะเป็นแค่นายกอบจ. คุณก้ผลิตนโยบายที่ตัวเองจะทำได้ว่าจะทำเรื่องอะไรบ้างเป็นเรื่องแรก ทำเศรษฐกิจ การศึกษา หรือทางการเมือง หรือการปรับโครงสร้างทางการเมืองของท้องถิ่น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของท้องถิ่น จะทำได้อย่างไร อันนี้จริง ๆ แล้วมันต้องมี แต่ดูแล้วไม่มีเลย


ฉะนั้น เพื่อไทยใช้คุณทักษิณกับความเป็นรัฐบาลเท่านั้นเอง อาจารย์ว่าก็น่าจะประมาทไปหน่อยนะ ควรจะทำได้ดีกว่านี้ ถึงแม้ว่าตัวเองได้เปรียบ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลย คุณทักษิณก็ยังพูดเรื่องปราบปรามยาเสพติด พูดเรื่องหนี้ เรายอมรับอยู่ว่า 2 ประเด็นนี้สำคัญและถูกหมักหมมมานานมาก แต่ดังที่บอกว่าปัญหาของมัน ต้นเหตุมันจริง ๆ คือความจริงถ้าเป็นศาสนาพุทธ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเรียงแล้ว ทุกข์มันเห็น แต่สมุทัยคือสาเหตุของมัน มันเป็นสาเหตุจากการเมือง เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่แก้ ทุกข์ก็จะอยู่อย่างนี้ไปตลอดนั่นแหละ ในความคิดของอาจารย์นะ


ไม่รู้ว่าการปราศรัยรอบต่อ ๆ ไปจะดีกว่านี้หรือเปล่า? แต่ในรอบนี้ไม่มีอะไรเลย ขายความเป็นคุณทักษิณ แล้วคุณทักษิณพูดไม่ได้เน้นด้วยพูดเรื่องยาเสพติดกับเรื่องหนี้ พูดเบา ๆ พูดแบบไม่ได้ตั้งใจพูด คือมาโชว์ตัวประมาณว่าทักษิณมาแล้ว เรื่องสำคัญ ไม่เจอกันตั้ง 10 กว่าปีนะ มาแล้ว เพราะคุณทักษิณคงมีความเชื่อมั่น แต่ว่าในความคิดของอาจารย์นะ ตัวเลขต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่มันสะท้อนให้เห็นว่าคนเสื้อแดงและแม้กระทั่งคนชนบทไม่เหมือนเดิม เขาสามารถตีความโจทย์การเมืองออกว่าปัญหามันเกิดจากการที่เรามีการทำรัฐประหาร และมีเผด็จการจารีตนิยมเข้ามา แล้วอำนาจของประชาชนนั้นถูกทำลายหายไป แล้วเป็นสาเหตุที่ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจมันไม่ได้รับการแก้ไข มีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะแข่งเรื่อง GDP แข่งเรื่องอะไรก็สู้เขาไม่ได้ ตอนนี้ทำได้อย่างเดียว อย่างมากก็คือชวนคนเที่ยวประเทศไทยแล้วก็ขายอาหาร แต่ว่ามันก็โอเค คือคุณทำได้แค่นี้ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงว่าขาดวิสัยทัศน์ ขาดยุทธศาสตร์ คนมันเปลี่ยนไปแล้วนะ



คนเสื้อแดงอุดรฯ เปลี่ยนไปมั้ย? เพราะว่าพรรคเพื่อไทย/ทักษิณในวันนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยจากก่อนที่พูดเรื่องประชาธิปไตยแบบพระเอกได้ แต่วันนี้ไม่มีเลยบนเวที บางคนอาจวิเคราะห์ว่าเพราะไปจับมือกับคนทำรัฐประหาร


คือไม่กล้าพูดอะไรแล้ว เพราะถ้าพูดไปคุณก็จะถูกเอาไม่ใช่ไม้เคาะหัวอย่างเดียวแหละ ไม่งั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตามข่าวนะว่าคุณทักษิณมาจะไม่ต้องติดคุกเลย แม้กระทั่งอยู่ชั้น 14 หรืออะไรก็ตาม แล้วคุณเศรษฐาทำไมจะต้องถูกออกไป อันนี้ก็แปลว่ามันมีการยื้อยุดมีการต่อรองต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา กรณีขณะนี้ที่คุณทักษิณอยู่ คุณพูดหรือทำอะไรเกินเลยไม่ได้นะ เพราะว่าในเชิงยุทธศาสตร์ของฝั่งจารีต พรรคเพื่อไทยเป็นสิ่งจำเป็น อาจารย์เคยพูดในรายการนี้ด้วย แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาต้องการจะให้เติบโตจริง ไม่ได้เป็นที่รัก ขณะนี้ที่รักดูเหมือน “สีน้ำเงิน” จะเป็นที่รักและประสบความสำเร็จในเวทีวุฒิสมาชิกด้วย ถึงแม้ว่า Popular Vote จะไม่ได้ก็ตาม


อาจารย์กำลังจะบอกว่า อนุรักษ์นิยม/อำนาจเก่า ใช้คุณทักษิณสู้กับพรรคสีส้มชั่วครั้งชั่วคราว


ใช่ และไม่ได้รักคุณ ไม่ได้ต้องการให้คุณเติบโตจริง เพราะฉะนั้นเขาก็คงระมัดระวัง ก็คือจะไปแตะการเมืองก็ไม่ได้ ยกตัวอย่าง เลือกตั้งครั้งที่แล้วบอกว่า 112 ต้องเอาไปคุยกันในสภา ตอนนี้ก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ทีนี้ถ้ายิ่งพูดมากเดี๋ยวทำไม่ได้ ก็จะโดนคำว่าตะบัดสัตย์ซ้ำไปซ้ำมาอีก มันไม่เป็นที่น่าชื่นชม ดังนั้นก็เข้าใจได้ว่าเลยไม่พูดเลย เอาว่าคุณทักษิณมาแล้ว แค่นั้น!


บางคนกล่าวหาว่า ตระบัดสัตย์, กลับคำพูด, โกหก คำพูดเหล่านี้ส่งผลต่อพี่น้องที่อุดรฯ มั้ยในแง่ของการเมืองท้องถิ่นรอบนี้?


อาจารย์ว่านะ คือการที่ข้ามขั้วไปและการที่ไม่เข้มแข็งในการแก้ปัญหาทางการเมือง ไม่สามารถเป็นที่หวังได้ มันจะทำให้ “คนเสื้อแดง-คนในชนบท-ไพร่” จำนวนหนึ่ง หันไปเลือกพรรคประชาชน คือพรรคประชาชนนั้นเสียงของคนเมืองที่ใกล้ชิดเทคโนโลยีและคนรุ่นใหม่ มันได้อยู่แล้ว แต่น่าประหลาดที่คนในชนบทซึ่งอาจารย์ภูมิใจนะว่าอาจารย์เป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงที่เราเปิดโรงเรียนการเมือง แล้วในเวทีการปราศรัยหรือในโรงเรียนของเรานั้น เราสร้างพลเมืองที่มีการตื่นรู้ทางการเมืองขึ้นมา เพื่อให้ตระหนักถึงอำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แล้วทำให้เขาคิดเองได้ ไม่ว่าจะมีแกนนำนปช.แตกแยก อยู่/ไม่อยู่ก็ตาม จะพูดการเมืองหรือไม่พูดก็ตาม แต่ประชาชนในปี 2566 ไม่เหมือนกับปี 2544 อย่างสิ้นเชิง


เพราะฉะนั้น คนที่เลือกเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยยังรักษาไว้ได้อยู่ โดยเฉพาะเมื่อคุณทักษิณมา ก็น่าจะยังโอเคถ้าไม่เสียมากไปกว่านี้อีก ซึ่งอาจารย์ก็ไม่แน่ใจ เหตุผลเพราะว่าขณะที่เลือกปี 2566 เขายังบอกว่าเขาไม่เอา 2 ลุง แต่ตอนนี้ข้ามมาแล้ว แต่มีสิ่งชดเชยว่ามีคุณทักษิณมา มันชดเชยกันได้ไหม? กับการที่เขาดีใจ อาจารย์เชื่อว่าคนเสื้อแดงไม่ว่าจะคิดยังไง? เขาดีใจที่คุณทักษิณมา แต่ว่ามันชดเชยกันได้ไหมกับการที่คุณทักษิณมาแล้วมันต้องข้ามขั้ว คือเขารักคุณทักษิณ ดิฉันไม่ปฏิเสธ แล้วเขาอยากให้คุณทักษิณกลับ เขาถูกกระทำมาตลอด สงสาร แต่มันชดเชยกันได้หรือเปล่า? กับการที่ว่าคุณทักษิณมาแล้วต้องไปจับมือ ต้องไปเป็นนั่งร้าน แล้วต้องไปอยู่ภายใต้การควบคุม พูด/ทำอะไรตามแบบที่ต้องการไม่ได้ ทำแบบเดิมไม่ได้


เพราะฉะนั้น จะพูดอะไรก็ไม่กล้าพูดมากแล้ว แต่พูดในสิ่งที่คิดว่าไม่โดนเล่นงาน พูดเรื่องยาเสพติดนะ พูดได้ พูดเรื่องหนี้ครัวเรือน พูดได้ แต่ถ้าพูดมากกว่านี้หรือเรื่องอื่นอาจจะมีปัญหาทีหลังอีกก็ได้ ตอนนี้ก็เลยชูคุณทักษิณเป็นหลัก คนอื่นเกร็งหมด อาจารย์เข้าใจนะต้องเกร็งหมด จะพูดอะไรมากก็กลัวว่ามันทำไม่ได้จริงตามปากพูด ก็จะโดนข้อหาตระบัดสัตย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งคุณทักษิณหรือรัฐบาลเองก็ต้องเปลี่ยนตั้งหลายเรื่อง ไม่ว่าตอนนี้ถ้าทางการเมือง แก้ไขรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ตามความเข้าใจของคนก็คิดว่าเขาคงจะให้รวม 112 แบบมีเงื่อนไข คือเขาเอามาตรงกลาง พวกหนึ่ง 112 แบบไม่มีเงื่อนไขนิรโทษเลย อีกพวกหนึ่งไม่เอาเลย ไม่นิรโทษ แต่คนก็มีความหวังว่าเพื่อไทยจะเลือกตรงกลางคือให้นิรโทษรวม 112 แบบมีเงื่อนไข แต่ตอนนี้ไม่ใช้ละ ดังนั้นก็ต้องกลับมาทางนี้


แม้กระทั่งเรื่องประชามติที่ว่ามี 2 ชั้น มันจะกลายเป็นชั้นครึ่ง ซึ่งมันก็ยิ่งยุ่งกันใหญ่ ดังนั้นแปลว่าอะไรที่เคยคิดและเคยพูดเอาไว้ เอาเข้าจริงมันทำไม่ได้ ดังนั้น คนบางส่วนถึงแม้เขาจะรักคุณทักษิณ แต่คิดว่าถ้ามันไม่คุ้มกันกับการที่ได้เป็นรัฐบาลแบบนี้ จะเรียกว่าแบบเป็ดง่อยก็ได้ คือเดินเต็มก็ไม่ได้คือทำอะไรไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่นคนที่เลือกสส.อุดรฯ แบบเดียวกับบัญชีรายชื่อที่มี 10 ล้าน อันนี้มันประมาณ 3 แสนกว่าที่อุดรฯ นะ จากคน 8 แสนกว่า คำถามว่าใน 3 แสนกว่านี้ขณะนั้นยังมองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่สู้กับอำนาจเผด็จการมาตลอด ถึงแม้ว่าดูจะไม่ค่อยกล้าแข็งเหมือนกับพรรคหนุ่ม ๆ คนรุ่นใหม่ แต่ก็ผูกพันกันมานาน มันเป็นไปได้ที่ 3 แสนกว่าก็จะมีคนซึ่งเป็นผู้รักประชาธิปไตย โอเค คุณทักษิณมา คนส่วนหนึ่งที่รักมากก็คิดว่ามันเป็นด้านบวก แต่อย่างไรก็ตามมันแลกกับการเมืองที่ข้ามขั้วได้หรือเปล่า?


ดังนั้น ที่ได้มาจากที่คุณทักษิณมา กับที่จะเสียแบบที่เขาไม่สามารถยอมรับได้ อาจารย์ไม่รู้ว่าอันไหนจะมากกว่ากันนะ เพราะเดิมความเข้าใจของอาจารย์ก็คือใน 10 ล้านกว่าทั่วประเทศที่เลือกบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย อาจารย์มองครึ่งต่อครึ่งเลยนะ ครึ่งหนึ่งเป็น FC อีกครึ่งหนึ่งเป็นอุดมการณ์ แล้วถ้าครึ่งอุดมการณ์เกิดยกออกทั้งยวง มันก็น่าเป็นห่วง มันก็แบบเดียวกับ 395,000 ชื่อของในอุดรฯ อยู่เหมือนกัน โอเค มันมีด้านบวกของคุณทักษิณ ด้านบวกที่เป็นรัฐบาล แต่มันมีด้านลบก็คือปัญหาทางการเมือง มันไม่ได้มีบวกอย่างเดียว แล้วแก้เศรษฐกิจก็ไม่ได้แก้ได้เต็มที่ทั้งหมด ขณะนี้บางคนเรียกหาชาวนาหาไร่ละ 1 พัน แบบเดียวกับยุคลุงตู่แล้วนะ ก็ไม่ได้แน่ใจว่าปัญหาเศรษฐกิจจะทำได้ดี


เพราะฉะนั้นมีด้านบวกของคุณทักษิณ แต่ด้านลบที่มันหนักหน่วงก็คือการที่คุณไปจับมือ และทำให้ประชาชนยังไม่สามารถได้อำนาจ มันต้องยืดไปอีก โหวตเตอร์ของพรรคเพื่อไทยรวมทั้งประเทศใน 10 ล้านกว่า และใน 3 แสนกว่าในอุดรฯ มันจะมีครึ่งต่อครึ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ


พรรคประชาชนเขาก็จะลงพื้นที่เหมือนกัน ผู้ช่วยหาเสียงช่วยลุยเต็มที่เหมือนกัน อาจารย์เห็นการทำงานของพรรคประชาชนเป็นอย่างไรในการสู้ศึกครั้งนี้


คือพรรคประชาชนเขาพูดได้เต็มที่ ในขณะที่เพื่อไทยก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดได้อย่างมากก็กลายเป็นคุณทักษิณนั่นแหละที่พูด 2 คำแค่นั้น แต่พรรคประชาชนจะได้เปรียบที่พูดได้เต็มที่ในประเด็นการเมือง ซึ่งมันจะถูกจริตกับคนที่ต้องการแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมือง และนี่คือสิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกกับพรรคเพื่อไทยและฝั่งจารีตอำนาจนิยมทั้งหลายว่า ประชาชนได้เปลี่ยนไปแล้ว ผลของการเลือกพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชน แม้นคุณจะใช้วิธีเอาพรรคเพื่อไทยมา มันอาจจะทำให้พัฒนาการการเมืองของไทยชะลอไปพักหนึ่ง แต่มันไม่มีทางที่ฝ่ายจารีตจะชนะ ในทัศนะของอาจารย์นะ


เพราะฉะนั้นพรรคประชาชนก็สามารถหาเสียงได้เต็มที่ จะแก้ปัญหาการเมืองอย่างไร จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร เพียงแต่อาจจะพูดเรื่อง 112 ไม่ได้ เพราะว่าถูกหมายหัวเอาไว้อะไรประมาณนี้ แต่เขาพูดได้เต็มที่ พูดได้ทุกเรื่อง และโดยเฉพาะในกรณีที่ประชาชนสนใจ แม้กระทั่งเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น ควรจะพูดกันได้ว่าจะทำให้ท้องถิ่นและประชาชนมีความสุขและดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งมันก็ต้องไปด้วยกันกับยุทธศาสตร์ใหญ่ ถ้ายุทธศาสตร์ใหญ่มีการปรับโครงสร้างการเมือง ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เวลามาปรับสู่ท้องที่ก็จะอิงกันไปกับยุทธศาสตร์ใหญ่ได้

แต่พรรคที่ไม่มียุทธศาสตร์ใหญ่เลย จะทำได้ก็เพียงบางเรื่องซึ่งได้รับอนุญาตให้พูดได้เท่านั้น พรรคประชาชนเสียเปรียบที่ตัวเองไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีงบประมาณ อันนี้เสียเปรียบ แต่มีข้อได้เปรียบตรงที่ว่าหาเสียงได้เต็มที่เลย พูดได้เต็มที่ ในขณะที่พรรคทางฝ่ายรัฐบาลพูดไม่ได้ ต้องตัวเกร็ง ต้องระมัดระวังมากเลยว่าพูดไปแล้วทำไม่ได้เดี๋ยวจะโดนว่าอีกหรือเปล่า? ประมาณนี้ แต่ที่จริงอาจารย์มองนะว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้นะ ไม่รู้ว่าเวทีต่อ ๆ ไปจะพูดยังไง? แต่ว่าคงจะตัวเกร็งกันไปหมดแล้วแหละของพรรคเพื่อไทย


คือเราได้แต่นั่งดู แน่นอนมันก็เหมือนกับคนเสื้อแดงทั่วไป เคยมีความผูกพัน เคยรู้จัก เป็นเพื่อนฝูง เคยใกล้ชิดกันบ้างอยู่จำนวนหนึ่ง ถึงแม้อาจารย์ไม่ใช่สายทางฝ่ายการเมือง ก็คือแกนนำคนเสื้อแดงสายที่มาจากนักการเมืองเป็นส่วนใหญ่ แล้วพวกนี้เรียกว่าตั้งแต่แรก ๆ เลยโจมตีเล่นงานด่าอาจารย์ประจำเลย ไม่ได้แบ่งอย่างเป็นทางการ แต่เรารู้ ท่วงทำนองและเป้าหมายไม่เหมือนกัน คนที่เดินทางมาจากฝ่ายต่อสู้จะมุ่งผลประโยชน์เป้าหมายการต่อสู้ประชาชนเป็นเป้าหมายของการทำงาน แต่ว่าคนที่มาจากสายการเมือง จะเอาผลประโยชน์หรือเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลัก ในที่สุดมันจะพิสูจน์ว่าใครเป็นใคร


ถ้ามาจากสายการเมืองและพรรคการเมืองทำได้ดี มันก็จะโอเคไปด้วยกันกับการต่อสู้ประชาชนได้ แต่ถ้าพรรคการเมืองนั้นทำได้ไม่ดี มันก็จะมีความขัดแย้ง ในระหว่างทางที่แล้วมามันมีความขัดแย้งโดยตลอด อาจารย์เป็นประธานนปช.ที่เรียกว่าถูกเล่นงาน ถูกด่าเยอะมาก จากสายการเมือง ถูกด่าจนเดี๋ยวนี้ แต่อาจารย์ไม่ว่าอะไร ไม่สนใจ เราไม่เหมือนกัน เป้าหมายเราไม่เหมือนกัน อาจารย์ไม่ใช่นักการเมือง ไม่มุ่งผลประโยชน์ในเรื่องที่ทางของทางการเมือง ของอาจารย์มีอย่างเดียวเท่านั้นก็คือผลประโยชน์ของประชาชนว่า ทำอย่างไรให้เราได้ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริง ไม่ต้องมีรัฐประหาร ไม่ถูกแทรกแซงด้วยอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชน นี่อย่างต่ำที่สุดแค่นี้

เพราะฉะนั้น เป้าหมายไม่เหมือนกัน วิธีการทำงานก็ไม่เหมือนกัน บางทีก็อาจจะไม่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน หลายคนด่าอาจารย์อยู่ข้างนอก ข้างหลังเวทีก็เอาตะกร้ามาขอโทษก็มี! ด่ามาจนถึงบัดนี้ก็มี แต่ว่าอาจารย์ไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าถ้าเป็น Animal Farm มันก็เป็นสัตว์คนละประเภท ไม่เหมือนกัน



อดีตแกนนำเช่น จตุพร-ณัฐวุฒิ ความสัมพันธ์ส่วนตัวตอนนี้เป็นอย่างไร?


คือมันเริ่มด้วยคุณจตุพร เรามีปัญหาตอนที่เขาไปทำพรรคเพื่อชาติและอยากจะให้เป็นของนปช. ซึ่งตรงนั้นเผอิญว่าการขับเคลื่อนองค์กรนปช.ต้องใช้การปรึกษาหารือ อันนี้คุณจตุพรเขามีความเชื่อมั่นมาก ในขณะที่จริง ๆ แล้วอาจารย์ไม่ควรจะมีอิทธิพลอะไร เพราะยังไงอาจารย์ก็ไม่ทำพรรคการเมืองอยู่แล้ว แต่ให้คำปรึกษาให้ความเห็นได้ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ ทีนี้คุณจตุพรมีความเชื่อมั่นในตัวเองและไปทำพรรคเพื่อชาติ มันก็แยกทางกันระดับหนึ่งตั้งแต่ตอนต้น แล้วคุณจตุพรก็ไปอยู่คณะหลอมรวม อันนั้นมันไม่ใช่เป้าหมายและจุดยืนของอาจารย์ เรื่องอื่นก็เรียกว่าเป็นเรื่องต่างคนต่างไป ภาวะการนำก็หมด คือเป็นสิทธิ์ของเขาที่เขาจะเลือกทางเดิน


แต่ว่าจริง ๆ แต่ละคนมาสายการเมือง เขาไม่เข้าใจว่าคนอย่างอาจารย์ที่มาจากสายต่อสู้ อายุปูนนี้แล้ว อายุ 80 แล้ว สู้มาตั้งแต่ 2516 แล้วจะมาเป็นกองเชียร์พรรคการเมือง จะมาเป็นแฟนคลับนักการเมืองพรรคการเมือง มันบ้าแล้ว! มันเป็นไปได้ยังไง? หมายความว่าเราอุทิศตัวเองในถนนทางการต่อสู้มายาวนานเกินกว่าที่จะมาเป็นแฟนคลับบุคคลของใครได้ “จตุพร” ตั้งแต่เขาไปทำพรรคเพื่อชาติก็ไม่ได้คุยกัน


นอกจากนั้นช่วงที่เราทำ “UDDnews” ความจริง UDD ก็คือนปช.นะ เขาก็มีความเห็นตอนช่วงที่ว่ามีการซาวเสียงว่า องค์กรนปช. ควรจะอยู่หรือไป แต่ว่าอย่างที่อาจารย์บอกว่าแต่ละคนรู้จักอาจารย์น้อยไป อาจารย์ไม่มีเจตนาอะไรหรอก เพราะว่าเราเดินแนวทางมวลชน อยากจะดูว่าประชาชนคิดยังไง เราก็โยนคำถามไป แต่ว่าเขาไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจก็ไม่พอใจ เพราะฉะนั้นก็ต่างคนต่างอยู่ไปก็แล้วกัน ซึ่งตั้งแต่พรรคเพื่อชาติก็นานมาแล้ว เขาก็คงไม่สบายใจกันมากคือว่า พรรคเพื่อชาติจะเป็นพรรคของนปช.คงไม่ได้ เพราะว่าต้องถามความเห็น แม้กระทั่งตอนหลังจะ ยุบ/ไม่ยุบ องค์กรนปช. อาจารย์ก็เดินแนวทางมวลชน เราก็โยนไปถามคน ซึ่งไม่ Happy อันนี้เรียกว่าวิธีคิด วิธีทำงาน และเป้าหมายเราไม่ตรงกัน


อีกคนคือ “ณัฐวุฒิ” ก็ใกล้ชิดกันมากกว่า ก็คิดว่าคุยได้นะ ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าในช่วงครั้งที่สองที่ข้ามขั้วมา ตัวอาจารย์เองเข้าใจเขาว่าเขาใฝ่ฝันจะเป็นนักการเมือง แล้วเขาไม่มีทางอื่นเลือกหรอก ก็ต้องอยู่กับพรรคเพื่อไทยนี่แหละ เมื่อพรรคเพื่อไทยเดินไปได้แล้ว และมีความเชื่อมั่นว่าอาจจะไปได้รอด เขาก็ต้องกลับเข้ามาอีกที แต่ว่าบางคน โดยเฉพาะคุณหมอเหวงอาจจะมีความเห็นหนักเสียหน่อยเพราะว่าจริง ๆ เขาก็รักคุณณัฐวุฒิมาก เขาก็เลยผิดหวังมากที่กลับเข้าไปรอบสองเนี่ย ก่อนหน้านั้นก็ยังคุยกันอยู่ อาจารย์ว่าเขาคงรักมาก เมื่อตอนที่คุณเต้นไปเป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เขามาขอให้ไปส่ง คุณหมอเหวงก็ไปส่งนะ แล้วอาจารย์ก็เตรียมทีมงานให้ไปจัดอะไรต่าง ๆ เต็มที่ เขาติดคุกกันอยู่ ไม่ว่าจะ “จตุพร-ณัฐวุฒิ” อาจารย์ก็ไปเยี่ยมทุกวัน แล้วยังเอามวลชนไปเยี่ยม อาจารย์ก็ดูแลเต็มที่ในฐานะที่ว่าเราเป็นอดีตประธานนปช.


และถึงแม้ว่าเป้าหมายเราอาจจะไม่ตรงกันทั้งหมด แต่เราก็เป็นมิตรร่วมรบ อาจารย์ไม่ติดค้างใคร ทำงานให้เต็มที่ทุกอย่างในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานต่างประเทศ ไม่ว่างานเปเปอร์หรืออะไรต่าง ๆ อาจารย์ก็ทำมาตลอด คนที่เป็นแบบอาจารย์ก็จะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่มีอาจารย์คนเดียวนะ ก็คือไม่ได้หวังที่จะต้องเป็นตัวเด่นดัง แต่ขอให้เส้นทางของเราเป็นเส้นทางที่ถูกต้องเราก็เดิน และเราเป็นส่วนที่ทำให้ถนนของประชาชนเดินไปได้ด้วยดี เราก็ภูมิใจแล้ว นี่อาจารย์ภูมิใจมากเลยนะ ที่คนเสื้อแดงแตกกัน แล้วก็เลือกพรรคโน้นทีเลือกพรรคนี้ที ภูมิใจ!!! ใช่!!! เพราะว่าเขาคิดได้ เป็นตัวของเขาเอง แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าแกนนำด้วย ก็องค์กรนปช.ไม่มี เพราะฉะนั้น อาจารย์ดีใจและภูมิใจมาก นี่คือความสำเร็จ


คุณสุเทพแกเคยพูดว่าแกไม่ได้แพ้พรรคเพื่อไทย แต่แกแพ้โรงเรียนการเมืองนปช. ช่วงหนึ่งแกก็อุตส่าห์ไปดูงานถึงประเทศจีน เพราะแกคิดเอาว่าอาจารย์เป็นฝ่ายซ้าย ก็คงทำโรงเรียนการเมืองแบบโรงเรียนคอมมิวนิสต์ แต่เขาทำไม่สำเร็จหรอก แต่เราทำได้ และอาจารย์เชื่อว่าโรงเรียนการเมืองมีส่วนมากทีเดียว


อาจารย์เอาแนวคิดโรงเรียนการเมืองมาจากไหน?


วิธีคิดวิธีทำงานของฝ่ายซ้ายก็ต้องมี คือคนเราไม่สามารถที่จะรู้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนพื้นฐาน มันก็เหมือนการทำนา ถ้าคุณไม่เคยทำเลย ก็ต้องเข้าคอร์ส จะเปลี่ยนแปลงประเทศและมีบทบาทในฐานะนักต่อสู้ ก็ต้องมีคอร์สการเมือง อย่างน้อยที่สุดเข้ามาอยู่ในนปช.ก็ต้องรู้ว่านปช.มีนโยบายอย่างไร เป้าหมายเป็นอย่างไร ถ้าเขาไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องมาร่วม และเราประกาศให้สังคมรู้ ที่สำคัญมันจะได้เดินเป็นจังหวะ ก้าวไปด้วยกัน เหมือนกับการร้องเพลงหมู่ ถ้าไม่ฝึกซ้อมกันมันก็ไม่ได้ ก็ร้องกันคนละจังหวะ ร้องกันคนละคีย์ ทุกอย่างต้องมีการฝึกอบรม ต้องมีลักษณะจัดตั้งระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น อาจารย์ภูมิใจมากที่เขาเลือกกันอุตลุดหมดเลย อาจารย์ภูมิใจและดีใจ ก็คือเขาเป็นตัวของเขาเอง เขาคิดได้ อาจารย์ใช้คำว่า active citizen เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้


ดังนั้น อาจารย์ก็เป็นห่วงนะบอกตรง ๆ พรรคเพื่อไทย 10 ล้านกว่าเสียงที่ได้ไป และรวมทั้งอุดรฯ 3 แสนกว่า ถ้าครึ่งหนึ่งเกิดเป็นพวกที่เลือกตอนนั้นเพราะคิดว่าคุณไม่เอา 2 ลุง พอมาถึงตอนนี้ปี 2570 แบบที่คุณทักษิณอยากจะมองเห็น แล้วเขาจะเอาเหรอ? เพราะฉะนั้น คุณทักษิณมา อาจจะมีด้านบวก แต่ว่าจะเท่ากับที่เสียเพราะคุณข้ามขั้วทางการเมือง แล้วไปจับมือกับรัฐบาลเดิมฝ่ายเผด็จการจารีตอำนาจนิยม มันจะสมดุลกันมั้ย สมมุติคุณทักษิณมาได้บวกสัก 2 แล้วถ้าเกิดที่หายไปสัก 8 ล่ะ เราก็ไม่รู้


คือเราไม่รู้ว่าคนอุดรฯ เองจะเป็นอย่างไร ที่เคยเลือกเมื่อคุณทักษิณมาก็ยังคงเลือกอยู่ หรือว่าที่ยังไม่เลือกพอเห็นคนทักษิณมาแล้วจะมาเลือกซ้ำ แต่อาจารย์ว่าจะยากหน่อย เพราะว่าประเทศไทย คนไทย และแม้กระทั่งคนอุดรฯ ก็เปลี่ยนไปแล้ว อาจารย์ตกใจแต่ดีใจ คือไม่นึกว่ามันจะเป็นปรากฏการณ์ที่รวดเร็วได้ขนาดนี้ แต่ก็ภูมิใจในคนเสื้อแดงนะ แม้นว่าเขาจะเลือกพรรคไหนก็ตาม ถ้าเขาเลือกโดยใช้ความคิดของเขาเอง มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ แต่อย่าให้เป็นเรื่องของเงิน ใช้สมองของตัวเองอาจารย์ก็โอเคแล้ว


แต่เท่าที่เห็นมาจากการเลือกตั้งปี 2566 น่าสนใจสำหรับปี 2570 ในขณะนี้ฝ่ายค้านเสียเปรียบเพราะไม่ได้เป็นรัฐบาล ผลงานมีแต่ในรัฐสภา แต่ว่าสามารถพูดจาได้เต็มที่เพราะตัวเองไม่ได้เป็นรัฐบาล วิถีทางในการที่ว่าจะทำอย่างไรให้พื้นที่ที่อุดรฯ หรือแต่ละจังหวัดสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็พูดได้เต็มที่ แต่เราเห็นวันนี้ว่าเพื่อไทยไม่กล้าพูด ชูอย่างเดียวคือคุณทักษิณ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณ #เพื่อไทย #อบจอุดร