วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ธิดา ถาวรเศรษฐ : การกล่าวเท็จและทำให้สังคมเชื่อว่า นปช. เป็นขบวนการล้มเจ้า!!!


กรณีการกล่าวเท็จและทำให้สังคมเชื่อว่า นปช. เป็นขบวนการล้มเจ้า!!!

การอ้างความชอบธรรมในการปราบปรามใช้ความรุนแรงกับฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนและชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมที่ไม่มีข้อมูลจริงเพียงพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขยายความขัดแย้งในสังคมไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังจะมีต่อไปในอนาคตที่มืดมนของประเทศไทยอีกยาวนาน

ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ และในรัฐธรรมนูญฉบับหลัง ๆ ก็ได้เติมคำว่า เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (มาตรา 2)

ตามมาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ


นปช. มีหลักนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษร และเขียนในบัตรสมาชิก นปช. (ที่ทำบัตรสมาชิก) ชัดเจนว่า เป็นไปตาม 3 มาตรา แห่งรัฐธรรมนูญนี้และรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ

หมายความว่าสมาชิก นปช. ต้องเห็นด้วยและปฏิบัติตามนโยบาย นปช. ซึ่งเป็นมติที่ประชุมที่กำหนดขึ้นเมื่อวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2552 ที่กาญจนบุรี หลังจากมีการปราบปรามจากรัฐบาลและกองทัพ เพื่อสร้างเอกภาพในหมู่แกนนำและมวลชน นปช.

ในประเด็นที่พยายามทำให้สังคมเชื่อว่า นปช. เป็นขบวนการล้มเจ้า มักเอ่ยถึงชื่อบุคคลต่าง ๆ ที่ถูกดำเนินคดี 112 มากมายหลายคน นี่เป็นการโจมตี แก้เกี้ยว ทั้งที่รู้ว่าคนเหล่านั้น “ไม่ใช่” นปช.

แม้ผู้ที่ถูกกล่าวหาที่ถูกดำเนินคดี 112 จะไม่ใด้ขึ้นกับ นปช. ดิฉันไม่อยากจะลงรายละเอียดว่าจำนวนมากถูกกล่าวหาที่บิดเบือนข้อมูล เช่น กรณี “อากง” เป็นต้น และมีคดีอื่น ๆ อีกที่กลั่นแกล้งกันส่วนตัว นี่จึงทำให้คนจำนวนมากอยากปรับปรุงกฎหมายกรณี 112 ซึ่งเกิดหลังรัฐประหารก่อนหน้านี้ นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้มีมาตรา 112 แต่คนจำนวนมากไม่ต้องการให้มีการกลั่นแกล้งกัน จึงเสนอให้ผู้ฟ้องร้องเป็นหน่วยงานเดียว เช่น สำนักราชเลขาธิการ เป็นต้น และโทษขั้นต่ำไม่ควรกำหนด ซึ่งรุนแรงกว่าในสมัย ร.6 ด้วยซ้ำ

ดิฉันจะข้ามมายังขบวนการ นปช. และขบวนการประชาชนสันติวิธี ซึ่งสร้างเอกภาพด้วยหลักนโยบายและยุทธศาสตร์ 2 ขา ใช้เวทีการต่อสู้ทั้งในรัฐสภา ยึดมั่นสันติวิธี ไม่มีการใช้กำลังอาวุธ แน่นอนว่าฝ่ายที่เกลียดชังประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ฝ่ายอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม หรือพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม อาจบอกว่าไม่เชื่อ และพยายามโยงกลุ่มคนต่าง ๆ มาให้ นปช. และแกนนำ นปช.

ดิฉันอยากให้อ่านคำพิพากษาคดีก่อการร้ายที่ไม่พบการเชื่อมโยงใด ๆ ในลักษณะก่อความรุนแรงทั้งแกนนำและ นปช. เลย (อ่านได้ที่ https://prachatai.com/journal/2019/08/83861)


ส่วนเรื่องล้มเจ้านั้น ดิฉันอยากให้อ่าน “ผู้จัดการออนไลน์” วันที่ 26 พ.ค. 54 เอง ที่พาดหัวว่า

โอละพ่อ! เสธ.ไก่อู รับกลางศาล “ผังล้มเจ้า” แค่ให้ข้อมูล นักวิชาการแดงพอใจ ถอนฟ้องหมิ่น “อภิสิทธิ์-สุเทพ” หลุดด้วย

จากกรณีที่วันที่ 26 เมษายน 2553 ศอฉ. โดยโฆษก ศอฉ. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้แจกจ่ายเอกสารแผนผังรวบรวมเครือข่ายบุคคลที่มีความคิดและพฤติกรรมล้มล้างสถาบันเบื้องสูง โดยเชื่อมโยงว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นแกนกลาง เนื่องจากแผนผังดังกล่าวได้เชื่อมโยงพาดพิงบุคคลทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ เวปไซด์ รวมแกนนำคนเสื้อแดง แกนนำนปช. จากกรณีที่นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำแผนผังดังกล่าวเป็นหลักฐานเพื่อฟ้องร้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รวม 3 คน ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาท โดยศาลได้รับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1529/2553


พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก.
และอดีตโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอฉ.) (ที่มา: สำนักโฆษก)
ต่อมา พ.อ.สรรเสริญ ได้แถลงต่อศาลว่า มติจากที่ประชุมของ ศอฉ. ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้สังคมพิจารณา และ พ.อ.สรรเสริญ ได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้น (ผังล้มเจ้า) ไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่า ผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง

ดิฉันจะไม่ลงรายละเอียดในคดี 112 ของแต่ละท่านที่อาจมีความเชื่อมโยงหรือไม่ หรือเป็นคนที่เคยร่วมงานกับ นปก., นปช.

แต่ดังที่ได้กล่าวว่า นโยบาย นปช. ชัดเจน แกนนำ นปช. ไม่มีความขัดแย้งกันในเรื่องนโยบาย เพราะผ่านมติและได้รับการยอมรับมาแล้วตั้งแต่ปลายปี 2552 จนเผยแพร่ในโรงเรียนการเมือง นปช. ทั่วประเทศ ทั้งแกนนำและมวลสมาชิก นปช. เป็นเอกภาพในเรื่องระบอบการปกครองตามนโยบายนี้

ส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับ นปช. ก็มีการแยกตัวเป็นอิสระ เช่น กลุ่มแดงสยาม กลุ่ม 24 มิถุนา และกลุ่มอื่น ๆ เราไม่เรียกว่าเขาเป็นแดงเทียม แต่เขาเป็นแดงอิสระที่เขาต้องรับผิดชอบการกระทำและคำพูดเอง

เมื่อตอนดิฉันเป็นประธาน นปช. กลุ่มอิสระก็ขยายตัว ขยายกลุ่ม มี 3-4 คนก็ตั้งกลุ่มกัน และมาตั้งเวทีข้างนอกเมื่อ นปช. ตั้งเวทีปราศรัย ดิฉันทราบดีว่ากลุ่มอิสระเหล่านี้อาจมีปัญหากับรัฐอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยมมาก แต่เราไม่อาจแทรกแซง ห้ามปราบ แนะนำใด ๆ ได้ เพราะเขาเลือกแนวทางของเขาเอง เขาไม่ขึ้นกับนโยบายของ นปช. และแกนนำ นปช. แต่จะเชื่อมโยงกับกลุ่มใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

องค์กร นปช. ก็ถูกโจมตีจากผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ตัวดิฉันเองก็ถูกใส่ร้าย พูดเท็จ ว่าขัดขวางการเคลื่อนไหวของกลุ่มอิสระเหล่านี้ เพื่ออ้างเป็นเหตุผลที่ว่ากลุ่มอิสระไม่อาจระดมคนมาร่วมได้ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้ไปขัดขวางใด ๆ แต่ขบวนการ นปช. นั้นเป็นขบวนการที่ไม่มีนโยบายล้มล้างสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด

ขบวนการ นปช. และกลุ่มแดงอิสระ จึงมีบางอย่างร่วมกันในแง่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านการรัฐประหาร ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของคณะรัฐประหารทุกคณะ รวมทั้ง คสช.

การร่วมกันในแนวทางการต่อต้านรัฐประหารและความอยุติธรรมจึงเป็นหลักใหญ่ แต่การสร้างสังคมประชาธิปไตยและรายละเอียดอื่น ๆ อาจจะแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มียุทธศาสตร์ 2 ขา และการใช้สันติวิธีของ นปช. ซึ่งเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าต้องการความสามัคคีของคนส่วนใหญ่ เพื่อล้มล้างผลพวงการทำรัฐประหาร

กลุ่มคนที่เกลียดชังและหวาดกลัว ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย รวมถึง นปช. ก็พยายามใส่ร้ายเพื่อแย่งชิงมวลชนที่ข้อมูลไม่เพียงพอ เข้าใจผิดว่าคนเสื้อแดง นปช. ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคฝ่ายค้าน จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและคณะ ในการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และขบวนการประชาชนผู้รักประชาธิปไตย นี่ก็กำลังขยายตัวไปสู่พรรคการเมืองใหม่ ที่ได้เสียงเลือกตั้งมากผิดคาด ดิฉันสงสัยว่าพวกไหนโหนสถาบัน ที่อ้างสถาบัน จงรักภักดีจริงหรือเปล่า หวังดี หรือ หวังร้าย กันแน่!

ถ้าตราบใดที่ชนชั้นนำ จารีตนิยม อำนาจนิยม ยังใช้การอ้างความจงรักภักดี อ้างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นคาถาเพื่อจัดการกับผู้ที่ฝ่ายตนเองหวาดกลัวว่าจะขึ้นมามีอำนาจรัฐแทนกลุ่มตน ทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้

แล้วประชาชนจะอดทนต่อสู้สันติวิธีไปได้นานเท่าไร ชนชั้นนำ จารีตนิยม อำนาจนิยม เหล่านี้ รักตัว เห็นแก่ตัว ไม่เห็นหัวประชาชน และไม่รักประเทศไทย  ขอแต่ให้กลุ่มตน คณะตน มีอำนาจปกครองตลอดไป ประเทศไทยจะฉิบหายอย่างไรก็ไม่สน!!!

ธิดา ถาวรเศรษฐ
2 ธ.ค. 62