กรณีการกล่าวเท็จและทำให้สังคมเชื่อว่า นปช.
เป็นขบวนการล้มเจ้า!!!
การอ้างความชอบธรรมในการปราบปรามใช้ความรุนแรงกับฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนและชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมที่ไม่มีข้อมูลจริงเพียงพอ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขยายความขัดแย้งในสังคมไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
และยังจะมีต่อไปในอนาคตที่มืดมนของประเทศไทยอีกยาวนาน
ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ
และในรัฐธรรมนูญฉบับหลัง ๆ ก็ได้เติมคำว่า เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(มาตรา 2)
ตามมาตรา
3 อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข
ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
นปช. มีหลักนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษร และเขียนในบัตรสมาชิก นปช. (ที่ทำบัตรสมาชิก) ชัดเจนว่า เป็นไปตาม 3 มาตรา แห่งรัฐธรรมนูญนี้และรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ
นปช. มีหลักนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษร และเขียนในบัตรสมาชิก นปช. (ที่ทำบัตรสมาชิก) ชัดเจนว่า เป็นไปตาม 3 มาตรา แห่งรัฐธรรมนูญนี้และรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ
หมายความว่าสมาชิก
นปช. ต้องเห็นด้วยและปฏิบัติตามนโยบาย นปช. ซึ่งเป็นมติที่ประชุมที่กำหนดขึ้นเมื่อวันที่
7-8 กรกฎาคม 2552 ที่กาญจนบุรี หลังจากมีการปราบปรามจากรัฐบาลและกองทัพ
เพื่อสร้างเอกภาพในหมู่แกนนำและมวลชน นปช.
ในประเด็นที่พยายามทำให้สังคมเชื่อว่า
นปช. เป็นขบวนการล้มเจ้า มักเอ่ยถึงชื่อบุคคลต่าง ๆ ที่ถูกดำเนินคดี 112
มากมายหลายคน นี่เป็นการโจมตี แก้เกี้ยว ทั้งที่รู้ว่าคนเหล่านั้น “ไม่ใช่” นปช.
แม้ผู้ที่ถูกกล่าวหาที่ถูกดำเนินคดี
112 จะไม่ใด้ขึ้นกับ นปช. ดิฉันไม่อยากจะลงรายละเอียดว่าจำนวนมากถูกกล่าวหาที่บิดเบือนข้อมูล
เช่น กรณี “อากง” เป็นต้น และมีคดีอื่น ๆ อีกที่กลั่นแกล้งกันส่วนตัว
นี่จึงทำให้คนจำนวนมากอยากปรับปรุงกฎหมายกรณี 112 ซึ่งเกิดหลังรัฐประหารก่อนหน้านี้
นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้มีมาตรา 112
แต่คนจำนวนมากไม่ต้องการให้มีการกลั่นแกล้งกัน
จึงเสนอให้ผู้ฟ้องร้องเป็นหน่วยงานเดียว เช่น สำนักราชเลขาธิการ เป็นต้น และโทษขั้นต่ำไม่ควรกำหนด
ซึ่งรุนแรงกว่าในสมัย ร.6 ด้วยซ้ำ
ดิฉันจะข้ามมายังขบวนการ
นปช. และขบวนการประชาชนสันติวิธี ซึ่งสร้างเอกภาพด้วยหลักนโยบายและยุทธศาสตร์ 2 ขา
ใช้เวทีการต่อสู้ทั้งในรัฐสภา ยึดมั่นสันติวิธี ไม่มีการใช้กำลังอาวุธ
แน่นอนว่าฝ่ายที่เกลียดชังประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ฝ่ายอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยม
หรือพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม อาจบอกว่าไม่เชื่อ และพยายามโยงกลุ่มคนต่าง ๆ มาให้
นปช. และแกนนำ นปช.
ดิฉันอยากให้อ่านคำพิพากษาคดีก่อการร้ายที่ไม่พบการเชื่อมโยงใด
ๆ ในลักษณะก่อความรุนแรงทั้งแกนนำและ นปช. เลย (อ่านได้ที่ https://prachatai.com/journal/2019/08/83861)
ส่วนเรื่องล้มเจ้านั้น
ดิฉันอยากให้อ่าน “ผู้จัดการออนไลน์” วันที่ 26 พ.ค. 54 เอง ที่พาดหัวว่า
โอละพ่อ! เสธ.ไก่อู รับกลางศาล “ผังล้มเจ้า”
แค่ให้ข้อมูล นักวิชาการแดงพอใจ ถอนฟ้องหมิ่น “อภิสิทธิ์-สุเทพ” หลุดด้วย
จากกรณีที่วันที่
26 เมษายน 2553 ศอฉ. โดยโฆษก ศอฉ. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด
ได้แจกจ่ายเอกสารแผนผังรวบรวมเครือข่ายบุคคลที่มีความคิดและพฤติกรรมล้มล้างสถาบันเบื้องสูง
โดยเชื่อมโยงว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นแกนกลาง
เนื่องจากแผนผังดังกล่าวได้เชื่อมโยงพาดพิงบุคคลทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ
เวปไซด์ รวมแกนนำคนเสื้อแดง แกนนำนปช. จากกรณีที่นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นำแผนผังดังกล่าวเป็นหลักฐานเพื่อฟ้องร้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รวม 3 คน ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาท
โดยศาลได้รับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1529/2553
ต่อมา พ.อ.สรรเสริญ ได้แถลงต่อศาลว่า มติจากที่ประชุมของ
ศอฉ. ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้สังคมพิจารณา
และ พ.อ.สรรเสริญ ได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้น (ผังล้มเจ้า)
ไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่า
ผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ
ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก. และอดีตโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอฉ.) (ที่มา: สำนักโฆษก) |
ดิฉันจะไม่ลงรายละเอียดในคดี
112 ของแต่ละท่านที่อาจมีความเชื่อมโยงหรือไม่ หรือเป็นคนที่เคยร่วมงานกับ นปก.,
นปช.
แต่ดังที่ได้กล่าวว่า
นโยบาย นปช. ชัดเจน แกนนำ นปช. ไม่มีความขัดแย้งกันในเรื่องนโยบาย
เพราะผ่านมติและได้รับการยอมรับมาแล้วตั้งแต่ปลายปี 2552
จนเผยแพร่ในโรงเรียนการเมือง นปช. ทั่วประเทศ ทั้งแกนนำและมวลสมาชิก นปช.
เป็นเอกภาพในเรื่องระบอบการปกครองตามนโยบายนี้
ส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับ
นปช. ก็มีการแยกตัวเป็นอิสระ เช่น กลุ่มแดงสยาม กลุ่ม 24 มิถุนา และกลุ่มอื่น ๆ
เราไม่เรียกว่าเขาเป็นแดงเทียม
แต่เขาเป็นแดงอิสระที่เขาต้องรับผิดชอบการกระทำและคำพูดเอง
เมื่อตอนดิฉันเป็นประธาน
นปช. กลุ่มอิสระก็ขยายตัว ขยายกลุ่ม มี 3-4 คนก็ตั้งกลุ่มกัน และมาตั้งเวทีข้างนอกเมื่อ
นปช. ตั้งเวทีปราศรัย ดิฉันทราบดีว่ากลุ่มอิสระเหล่านี้อาจมีปัญหากับรัฐอนุรักษ์นิยม
อำนาจนิยมมาก แต่เราไม่อาจแทรกแซง ห้ามปราบ แนะนำใด ๆ ได้
เพราะเขาเลือกแนวทางของเขาเอง เขาไม่ขึ้นกับนโยบายของ นปช. และแกนนำ นปช.
แต่จะเชื่อมโยงกับกลุ่มใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
องค์กร
นปช. ก็ถูกโจมตีจากผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ตัวดิฉันเองก็ถูกใส่ร้าย พูดเท็จ ว่าขัดขวางการเคลื่อนไหวของกลุ่มอิสระเหล่านี้
เพื่ออ้างเป็นเหตุผลที่ว่ากลุ่มอิสระไม่อาจระดมคนมาร่วมได้
ทั้งที่ดิฉันไม่ได้ไปขัดขวางใด ๆ แต่ขบวนการ นปช.
นั้นเป็นขบวนการที่ไม่มีนโยบายล้มล้างสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด
ขบวนการ
นปช. และกลุ่มแดงอิสระ จึงมีบางอย่างร่วมกันในแง่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ต่อต้านการรัฐประหาร ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ
และการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของคณะรัฐประหารทุกคณะ รวมทั้ง คสช.
การร่วมกันในแนวทางการต่อต้านรัฐประหารและความอยุติธรรมจึงเป็นหลักใหญ่
แต่การสร้างสังคมประชาธิปไตยและรายละเอียดอื่น ๆ อาจจะแตกต่างกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มียุทธศาสตร์ 2 ขา และการใช้สันติวิธีของ นปช. ซึ่งเป็นภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าต้องการความสามัคคีของคนส่วนใหญ่ เพื่อล้มล้างผลพวงการทำรัฐประหาร
กลุ่มคนที่เกลียดชังและหวาดกลัว
ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย รวมถึง นปช.
ก็พยายามใส่ร้ายเพื่อแย่งชิงมวลชนที่ข้อมูลไม่เพียงพอ เข้าใจผิดว่าคนเสื้อแดง นปช.
ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคฝ่ายค้าน จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและคณะ
ในการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และขบวนการประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
นี่ก็กำลังขยายตัวไปสู่พรรคการเมืองใหม่ ที่ได้เสียงเลือกตั้งมากผิดคาด ดิฉันสงสัยว่าพวกไหนโหนสถาบัน
ที่อ้างสถาบัน จงรักภักดีจริงหรือเปล่า หวังดี หรือ หวังร้าย กันแน่!
ถ้าตราบใดที่ชนชั้นนำ
จารีตนิยม อำนาจนิยม ยังใช้การอ้างความจงรักภักดี อ้างสถาบันชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์
เป็นคาถาเพื่อจัดการกับผู้ที่ฝ่ายตนเองหวาดกลัวว่าจะขึ้นมามีอำนาจรัฐแทนกลุ่มตน
ทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในประเทศนี้
แล้วประชาชนจะอดทนต่อสู้สันติวิธีไปได้นานเท่าไร
ชนชั้นนำ จารีตนิยม อำนาจนิยม เหล่านี้ รักตัว เห็นแก่ตัว ไม่เห็นหัวประชาชน
และไม่รักประเทศไทย ขอแต่ให้กลุ่มตน คณะตน มีอำนาจปกครองตลอดไป
ประเทศไทยจะฉิบหายอย่างไรก็ไม่สน!!!
ธิดา
ถาวรเศรษฐ
2
ธ.ค. 62