ยูดีดีนิวส์ : 25 ธ.ค. 62 เมื่อเวลา 12.30 น. วันนี้ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มาพบกับทุกท่านทางเฟสบุ๊คไลฟ์แฟนเพจ โดยได้กล่าวถึงภาคประชาชนไทยโดยเฉพาะผู้รักประชาธิปไตยในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงซึ่งได้ตั้งประเด็นว่า
"ประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยต้อนรับปีใหม่ 2563"
อ.ธิดากล่าวว่า ดิฉันไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นผู้ชี้นำอะไร แต่จากประสบการณ์ของตัวเองก็คิดว่ามันเป็นเวลาที่ต้องให้กำลังใจกัน เพราะว่าเรามีรัฐประหารต่อเนื่อง การต่อสู้ของประชาชนนั้นยาวนาน (2549 ถึงปัจจุบัน) 13 ปี หลายคนก็แก่ชรา ติดคุก ติดตาราง เดินเข้าออก บาดเจ็บ ล้มตาย
ดังนั้นในปี 2563 ก็เป็นปีที่เราควรจะให้กำลังใจในประชาชนฝั่งที่ยืนอยู่กับระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนที่แท้จริง ดิฉันใช้คำว่าฤดูกาลของฝั่งประชาชนน่าจะมาถึงแล้ว เราจะเห็นองศาร้อนแรง...ซึ่งค่อย ๆ ขยับขึ้น
เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า การทำรัฐประหารครั้งที่แล้วเขาอยู่มาได้ 5 ปีแล้ว มันมีการควบคุมประชาชนอย่างเข้มข้น แกนนำในฝั่งประชาชนเดิมก็เรียกว่าขาข้างหนึ่งอยู่ในคุก แม้กระทั่งแกนนำที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ก็มีคดีความเต็มไปหมด แต่ดิฉันก็อยากจะให้กำลังใจว่า ในปี 2563 นั้นน่าจะเป็นปีฤดูกาลของการต่อสู้ของประชาชนที่มีคุณค่า มีพลัง ปัญญา และมีความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดขึ้น
เริ่มต้นที่ต้องเข้าใจประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยว่า
ประชาชนก็มีสองขา ขาหนึ่งสนับสนุนเวทีรัฐสภา ซึ่งก็หลากหลายแล้วแต่ว่าชอบพรรคหนึ่ง พรรคสอง พรรคสาม แต่โดยทั่วไปถ้ามีอุดมการณ์แน่วแน่ ผู้รักประชาธิปไตยก็จะเลือกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์แบบเดียวกัน อีกขาหนึ่งก็เป็นขาบนเวทีการต่อสู้ ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเช่น ปีใหม่อาจจะมีการวิ่งไล่ลุง หรือว่ามีเวทีเรื่องราวอื่น ๆ ขึ้นมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
พรรคการเมืองบางพรรคก็มีสองขา ก็คือต่อสู้ในเวทีรัฐสภาและอีกด้านหนึ่งก็คือการต่อสู้ร่วมกับขบวนการประชาชนในเวทีของประชาชนนอกรัฐสภา เพราะพรรคการเมืองที่ต่อสู้ในเวทีรัฐสภาที่มีอำนาจคณะรัฐประหารต่อเนื่อง ที่มีการสืบทอดอำนาจ ถ้าปราศจากการต่อสู้ของประชาชน การต่อสู้ในเวทีรัฐสภาก็จะโดนเหยียบ
โดยเฉพาะในยามนี้ซึ่งมีการสืบทอดอำนาจ รัฐบาลแม้จะประกอบด้วยพรรคการเมืองถึง 19 พรรค แต่ว่าอำนาจรัฐอื่น ๆ เช่น กองทัพ, องค์กรอิสระ อำนาจรัฐอื่น ๆ อยู่ในมือหมด เพราะฉะนั้นฝ่ายค้านหรือฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลในขณะนี้ มีอย่างเดียวก็คือ ประชาชนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ดังนั้น พรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ไร้อุดมการณ์ หรือนักการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ ทัศนะของดิฉันก็คือจะไม่มีอนาคต จะต้องเสื่อมสลายไป
แต่พรรคการเมืองบางพรรคมีขาเดียว พร้อมที่จะไปอยู่กับรัฐบาลไหนก็ได้ที่ชนะ ก็คือหวังได้เป็นรัฐบาลอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเชียงกง หรือว่ารัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้องเข้มข้น พรรคบางพรรคอาจจะไม่เกี่ยง
แต่บางพรรคก็อาจจะบอกว่า ไม่เอารัฐประหาร ไม่เอาการสืบทอดอำนาจ แต่ก็สามารถมาอยู่ในรัฐบาลเชียงกงแล้วบอกว่าเป็นรัฐอิสระก็ได้ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่วันนี้ที่ดิฉันอยากจะเน้นก็คือพรรคการเมือง คุณต้องมีขาการต่อสู้สนับสนุนอุดมการณ์ของค่ายเสรีประชาธิปไตย มิฉะนั้นพรรคการเมืองก็เกิดขึ้นไม่ได้ จะมีแต่พรรคการเมืองที่มาจากการทำรัฐประหาร ถามว่ามันจะมีอนาคตหรือเปล่า?
มันจึงเป็นภาพรวมของฝั่งฝ่ายผู้รักประชาธิไตย ทั้งพรรคการเมืองและประชาชน ซึ่งอาจจะสนับสนุนพรรคการเมืองใดก็ได้ อาจจะมีชื่อองค์กรใดก็ได้ เราพูดรวม ๆ กันว่า "ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในปีใหม่ 2563" จะทำอะไรได้บ้าง?
ในทัศนะดิฉันก็คือ ประการแรกเลย แก้ไขรัฐธรรมนูญและประกาศ คำสั่ง กฎหมายที่มาจากการทำรัฐประหาร ที่คุกคามสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหาความยุติธรรม
ถ้าใครติดตามในเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ จะมีเรื่องลิงที่มีการทดสอบให้รู้ว่า ขนาดลิงก็คิดได้ว่าถ้ามันถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมก็จะโกรธมาก นั่นคือลิง แล้วประชาชนล่ะ?
ดังนั้นกฎหมายหรือกติกาต่าง ๆ ที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งเวทีรัฐสภาและเวทีประชาชนต้องสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยที่จะแก้ไข ซึ่งแน่นอนขบวนการต่อสู้ของประชาชนไม่ใช่ขบวนการที่มีกำลังอาวุธ อาจจะมีคนดูถูกเหยียดหยามว่าจะไปชนะได้อย่างไร?
อ.ธิดากล่าวว่า อาจจะไม่เห็นได้ทันที แต่ว่าความเสื่อมมันเกิดขึ้นได้ ดังนั้นรูปการณ์ การต่อสู้ การขับเคลื่อน มันจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนที่ไม่เหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องพึ่งแกนนำ เพราะแกนนำถูกจับหมดแล้ว นี่ยกตัวอย่างเป็นต้น มันจะต้องมีรูปแบบใหม่ ๆ การขับเคลื่อนใหม่ ๆ ที่ความสูญเสียมีน้อยที่สุด
ประการแรกเลยก็คือเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เท่าที่ดิฉันดูขณะนี้การตั้งคณะศึกษาในเวทีรัฐสภา อันนั้นก็ทำไป แต่ฝ่ายประชาชน นปช. ก็เคยทำมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 50 แล้ว ว่าเราต้องการสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเพิ่งจะมาตรงกันนี่แหละ เพราะตอนนั้นเราเสนอแต่ฝ่ายรัฐบาลขณะนั้นไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้เห็นเหมือนกันแล้ว เป็น สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งดิฉันไม่แน่ใจว่าเวทีรัฐสภาจะสามารถตอบอันนี้ได้ เพราะฝ่ายค้านก็ต้องการแบบนี้
ดิฉันมองเลยว่า เวทีรัฐสภาเขาคงไม่สามารถยอมรับได้ที่ให้ สสร. มาจากการเลือกตั้ง...หรือเปล่า? ดังนั้นภาคประชาชนต้องช่วยกันผลักดัน ก็คือ ให้ สสร. เป็นเวทีในการเขียนรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายต่าง ๆ สามารถมาเข้าสู่เวทีนี้ได้โดยผ่านการเลือกตั้งของประชาชน ก็คุณชนะเลือกตั้งซ่อมไง แล้วจะไปกลัวอะไร?
ประการที่สองก็คือ ปัญหาใช้ความจริงสู้ความเท็จ เพราะเรื่องนี้ฝ่ายผู้รักประชาธิปไตยยังถูกกระทำมาจนถึงบัดนี้ นั่นก็คือเราต้องการขยายแนวร่วมให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากว่าประชาชนไทยได้รับข้อมูลอันเป็นเท็จตลอดเวลา คำถามว่าแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
คำหนึ่งก็คือ "ล้มเจ้า"
คำหนึ่งก็คือ "เผาบ้านเผาเมือง"
อีกคำหนึ่งก็คือ "ควายแดง"
คำหนึ่งก็คือ "ขี้ข้าทักษิณ"
ก็พูดกันอยู่อย่างนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะเปลี่ยนตัว มีคุณธนาธรมาเป็นเป้าอีกคนหนึ่งก็ตาม มันก็ยังมีเรื่องราวที่พรรคอนาคตใหม่และคุณธนาธรก็จะต้องเจอกับการบิดเบือนแบบนี้ด้วย
ดังนั้นฝ่ายประชาชนกับพรรคการเมืองจะต้องผนึกกำลังกันในการที่สู้ความเท็จ ตอบโต้ ให้ข้อมูลที่เป็นจริงโดยไม่ต้องใช้ Hate speech ไม่ต้องใช้ความเท็จ ต้องสู้กันด้วยพลังประชาชนที่หลากหลาย
ประการที่สามที่สำคัญมาก เราจะต้องมีจิตใจกว้างขวาง ไม่คิดว่าต้องให้ทุกคนเหมือนตัวเอง เช่น บางคนเชียร์เพื่อไทย บางคนเชียร์อนาคตใหม่ แล้วอาจจะมีความขัดแย้งกัน เราต้องการจิตใจที่กว้างขวางมาก คือกำหนดเป้า ต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ของประชาชน เขียนกติกาของประชาชน เพียงเท่านี้ ประเด็นอื่นต้องปัดออกไป ไม่อย่างนั้นพัฒนาการของแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยจะไม่สามารถเติบใหญ่ได้ ไม่ต้องไปรังเกียจเสื้อแดง เสื้อส้ม ดิฉันว่าก็คือ แสวงจุดร่วม (มีนิดเดียว) สงวนจุดต่าง (ที่ต่างกันพักเอาไว้ก่อน)
นี่ก็เป็นข้อที่ดิฉันอยากเห็นในขบวนฝ่ายประชาธิปไตย เพราะโดยประสบการณ์ก็คือมันจะมีการชังกันเอง ถือว่าเราดีกว่า เมื่อดีกว่าก็จะไปเหยียบอีกฝ่ายที่ขัดแย้งกัน
สิ่งสุดท้ายที่ไม่ต้องเรียกร้องเพราะมันจะเกิดขึ้นเอง ก็คือ การต่อสู้ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม จะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องพึ่งแกนนำ เราต้องศึกษาบทเรียนนี้ที่ทำให้การต่อสู้นั้นใช้สติปัญญาและเสียหายน้อยที่สุด นี่ก็เป็นเรื่องที่ดิฉันอยากเรียกร้องว่าเรามีบทเรียนของการเสียหายของทุกฝ่าย เราไม่อยากให้เกิดความเสียหายแบบนั้น พี่น้องประชาชนก็ยากลำบากมามากพอควรแล้ว แต่เราไม่ต้องการให้การเสียสละของประชาชนที่แล้วมาสูญเปล่า เพราะถนนการต่อสู้ของประชาชนนั้นเป็นถนนที่แน่นอน ก้าวไปข้างหน้า แต่อาจจะช้าหน่อย
แต่มีอย่างหนึ่งก็คือ ท่ามกลางการต่อสู้เราต้องเข้าใจว่าฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม นั้นคิดต่างจากเรา ในขณะที่เราพูดความจริง ไม่ต้องการให้มีใครตาย บาดเจ็บ สูญเสีย หรือติดคุก แต่ฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม คิดตรงข้ามนะ
เขาอยากให้ติดคุก
อยากให้ไม่มีแผ่นดินอยู่
จะตายไปห้าร้อยคนหมื่นคนไม่เป็นไร!!!
ถ้าเอาวิธีคิดของเราไปทาบกับฝั่งจารีตนิยม อำนาจนิยม น่าจะลำบาก แต่อย่างไรก็ตามดิฉันก็เชื่อมั่นว่า จะเป็นพรรคการเมือง จะเป็นประชาชน ก็ได้รับบทเรียนกันมาพอสมควร ดิฉันมองว่าปี 2563 เป็นปีที่พัฒนาการของการต่อสู้ของประชาชนจะเริ่มขึ้นอย่างสดใส แม้จะมีข่าวร้ายสำหรับพรรคการเมืองบ้างก็ตาม แต่นั้นก็คือวิถีการต่อสู้ของประชาชนได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ค่ะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด