วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

ยุคสมัยการสืบทอดอำนาจทหารไทย : อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ

ยุคสมัยการสืบทอดอำนาจทหารไทย

ยุคที่ 1
                 จาก พ.ศ. 2475 เริ่มต้นจากพลเอกพระยาพหล พลพยุหเสนา  ผู้ก่อการสายทหารของคณะราษฎรส่งทอดให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม  แม้จะมีการทำรัฐประหารในปี 2490 แล้วทำให้เกิดรัฐธรรมนูญล้าหลัง  นำประเทศสู่อนุรักษ์นิยมจนเป็นเผด็จการทหารเต็มรูปแบบ  ส่งต่อมายังการทำรัฐประหารครั้งสำคัญในปี พ.ศ. 2500  ได้จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ เป็นเผด็จการทหารสำคัญของประเทศ  แล้วก็ส่งต่อมายังจอมพล ถนอม  กิตติขจร จนถึงปี พ.ศ. 2516

การสืบทอดเผด็จการทหารจึงสิ้นสุดยุคแรกของการสืบทอดอำนาจของผู้บัญชาการทหารบก  แม้จะมีนายกรัฐมนตรีพลเรือนบ้างก็เป็นเวลาสั้น ๆ  แต่อำนาจการปกครองยังอยู่ในมือทหารเป็นลำดับมา  นับเวลาได้ประมาณ 40 ปี

ยุคที่ 2
                 เริ่มจากการทำรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519  โดย พลเรือเอก สงัด  ชลออยู่ ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่อำนาจยังอยู่ที่กองทัพบก  มีพลเอก เกรียงศักดิ์  ชมะนันทน์ และพลเอก เปรม  ติณสูลานนท์ สืบทอดอำนาจจาก 2519 ถึง 2531  นับเป็นเวลาประมาณ 12 ปี ที่เปลี่ยนจากเผด็จการทหารเต็มรูปแบบมาเป็นการสืบทอดอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีทหารที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)  เรียกกันว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ

ยุคที่ 3
                 เป็นยุคสั้น ๆ  มีการทำรัฐประหารในปี พ.ศ. 2534  แต่ผู้ทำรัฐประหารไม่เป็นนายกรัฐมนตรีเอง  อย่างไรก็ตามหลังการได้รัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารฉบับปี 2534  เมื่อมีความพยายามจะสืบทอดอำนาจแบบเดิม  ก็ถูกประชาชนเดินขบวนขับไล่จนเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญก้าวหน้าในปี 2540  เพื่อเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ  ไม่มีนายกฯ ทหาร  ไม่มี ส.ว.แต่งตั้ง  เป็นระบอบประชาธิปไตยเกือบเต็มใบที่ยังมีอำนาจรัฐอนุรักษ์นิยมและทหารอำนาจนิยมซ้อนทับอยู่

ยุคที่ 4  ยุคสุดท้าย!
                 การทำรัฐประหารในปี 2549 เพื่อกำจัดพรรคการเมืองและนักการเมืองของทุนใหม่โดยเฉพาะ คือ ดร.ทักษิณ  ชินวัตร  ที่ได้รับการสนับสนุนชนะการเลือกตั้งถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ของประเทศ  โดยอาศัยข้อดีของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มุ่งสร้างพรรคการเมืองมีมาตรฐานขนาดใหญ่  เพื่อควบคุมนักการเมืองท้องถิ่นและอิสระที่มุ่งซื้อขายตำแหน่งและผลประโยชน์แบบเดิมที่ไม่สามารถตั้งรัฐบาลเข้มแข็งเพื่อบริหารประเทศแบบเดียวกับประเทศเสรีประชาธิปไตยทั้งหลาย 

แต่ชัยชนะของพรรคการเมืองนายทุนใหม่เช่นนี้เป็นการปะทะอำนาจนำของชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมเดิม  อดีตข้าราชการระดับสูงทั้งทหารและพลเรือน  รวมทั้งอำนาจรัฐข้าราชการไทย  การทำรัฐประหารปี 2549 กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกลุ่มอนุรักษ์นิยมทางเดียวที่เหลืออยู่  นอกไปจากใช้อำนาจตุลาการและองค์กรอิสระที่ไม่ควรจะมีการทำรัฐประหารในประเทศไทยอีก  เมื่อคำนึงถึงพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่ไม่ใช่ประเทศยากจนอีกแล้ว  เมื่อคำนึงถึงรายได้เฉลี่ยและ GDP ของประเทศในยุคทุนนิยมโลกาภิวัตน์  และแม้จะมีการทำรัฐประหาร 2549 โดยผู้บัญชาการทหารบกชื่อ พลเอก สนธิ  บุญยรัตนกลิน และการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับอนุรักษ์นิยม 2550 แทนที่รัฐธรรมนูญก้าวหน้าในปี 2540  ก็ยับยั้งความนิยมของประชาชนไม่ได้อยู่ดีสำหรับพรรคการเมืองของ ดร.ทักษิณ  ชินวัตร  ที่ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ

                 การทำรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 โดย พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง  เพราะพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมไม่สามารถเอาชนะพรรคนายทุนใหม่ที่ไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมในวิถีทางรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตย  การทำรัฐประหารครั้งใหม่ล่าสุดในปี 2557  คณะรัฐประหาร คสช. ได้ใช้ยุทธศาสตร์ใหม่และกลยุทธ์ใหม่  ไม่ทำแบบสองครั้งก่อนหน้านี้ที่ส่งมอบอำนาจให้กลุ่มขุนนางพลเรือนอนุรักษ์นิยมขึ้นครองอำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี  แต่จงใจสืบทอดอำนาจและครองอำนาจเสียเอง  โดยเลื่อน ROAD MAP การคืนอำนาจให้ประชาธิปไตยไปเรื่อย ๆ  และการเขียนรัฐธรรมนูญด้วยการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2 คนแล้ว  ท่ามกลางการถกเถียงถึงความล้าหลังของรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. และการเขียนบทเฉพาะกาลเพื่อครองอำนาจอีกยาวนาน

                 รัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้พรรคการเมืองขนาดกลาง ขนาดเล็ก โดยทำให้พรรคใหญ่ถูกทอนกำลัง  และควบคุมอำนาจพรรคการเมือง-นักการเมืองที่ถูกเลือกตั้ง  โดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมพลเรือนออกแบบรัฐธรรมนูญให้อำนาจองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ  มีอำนาจควบคุมอำนาจจากประชาชนจนไม่สามารถทำการบริหารประเทศ  ออกกฎหมาย  รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  แต่อนุรักษ์นิยมและอำนาจนิยมฝ่ายทหารต้องการออกแบบให้ได้ ส.ว.แต่งตั้งและมีนายกรัฐมนตรีจากคนภายนอก (หมายถึงฝ่ายอนุรักษ์นิยมทหารหรือพลเรือนที่ไม่ได้มาจากพรรคการเมือง)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบทเฉพาะกาลที่ คสช.และคณะสามารถสืบทอดอำนาจได้ยาวนาน  โดยเทียบเคียงกับคณะรัฐประหารก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็น จอมพล ป. พิบูลสงคราม, จอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ และพลเอก เปรม  ติณสูลานนท์

                 นั่นก็หมายความว่า  ระยะเวลาสืบทอดอำนาจของคณะ คสช. ต้องการเวลายาวนานอาจนับสิบปี  โดยเรียกมันว่าเป็นระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่จำเป็นก่อนจะเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสากล  ก็คือเป็นประชาธิปไตยแบบ (ทหาร) ไทยมากกว่า 

นี่อาจเป็นคู่แข่งสำคัญกับระบอบทหารของประเทศพม่าทีเดียว!

ธิดา  ถาวรเศรษฐ
24 มีนาคม 2559