ยูดีดีนิวส์ : 11 ธ.ค. 62 การสนทนาของ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ผ่านทางเฟสบุ๊คแฟนเพจในวันนี้ ได้พูดถึงประเด็น
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของระบอบอำมาตย์ฯ ไทย ที่ไม่เปลี่ยน!!!
โดย อ.ธิดา ได้กล่าวว่า ปรากฏการณ์ในกรณีที่ กกต. ชงเพื่อให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ผลจะเป็นอย่างไรอันนั้นก็น่าจะทำนายได้ ดิฉันจะไม่พูดถึง แต่ดิฉันอยากจะเริ่มด้วยเรื่องราวที่ทำให้เราไม่แปลกใจถ้าเราเข้าใจปัญหาความขัดแย้งที่เข้าสู่หลักทฤษฎี
ในกรณีนี้ดิฉันจึงต้องพูดประเด็นว่า ระบอบอำมาตย์ฯ ไทย ที่เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ไม่เคยเปลี่ยน ปกติดิฉันจะพูดยุทธศาสตร์เฉย ๆ ถ้าท่านผู้ชมอ่านที่ดิฉันเขียนลงเพจ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ (คลิกอ่านได้ที่ https://www.facebook.com/tida.tawornseth/photos/a.211793535550644/2904534872943150/?type=3&theater) ดิฉันพูดถึงยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย แต่มีแต่ว่ายุทธวิธีเพิ่มขึ้น แต่ยุทธศาสตร์ที่ดิฉันพูดนั้นก็คือยุทธศาสตร์ที่ยังไม่คืนอำนาจให้กับประชาชน
ข่าวด่วนจาก "ข่าวสด" วันที่ 11 ธ.ค. 62 เวลา 13.31 น. |
แต่เนื่องจากข่าววันนี้ ทำให้ดิฉันต้องพูดยุทธศาสตร์ในประเด็นที่เป็นประเด็นจริง ไม่ต้องอมพะนำ ก็คือ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ เหมือนที่ดิฉันพูดในโรงเรียนนปช. ก็คือ "ยิงศรต้องมีเป้า"
หมายความว่าระบอบอำมาตย์ฯ ไทยต่อสู้เพื่อให้มีอำนาจอยู่ยาวนาน แต่ว่าก็ต้องมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ถ้าไม่ใช่นักต่อสู้ก็จะมองเอาว่า เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่สร้างสรรค์ เช่น เป้าหมายเพื่อนำไปสู่ระบอบอำมาตย์ฯ แบบไหน หรือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่จะสร้างประชาธิปไตยแบบไหน
แต่จริง ๆ ถ้าเป็นการต่อสู้ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ก็คือเป้าหมายของการทำลายล้าง ของการกำจัด ปรากฏการณ์วันนี้มันแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ดิฉันจำเป็นต้องพูดออกมาตรง ๆ ก็คือ คุณธนาธรคือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในยุคใหม่ (ยุคนี้) นั่นเอง
อ.ปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎร |
ถ้าเราพูดถึงเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในอดีตแรกเลยนับจากมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง 2475 เป็นต้นมา เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของระบอบอำมาตย์ฯ ที่ต้องจัดการ เราจะเห็นไม่ว่าจะเป็น "กบฎบวรเดช" ซึ่งไม่สำเร็จ หรือ สำเร็จในยุคต่อมา เช่น มีการรัฐประหารในปี 2940 หรือการกำจัด อ.ปรีดี เราพูดได้ว่าเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในตอนต้นของการเปลี่ยนแปลงปกครองก็คือ "คณะราษฎร" และตัวบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือ อ.ปรีดี พนมยงค์
หลังจากนั้นรัฐประหาร 2490 ก็ต้องจัดการสิ่งที่ยังเป็นสิ่งที่เหลือจาก "คณะราษฎร" แม้นจะเคยร่วมมือกัน ก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถัดมาเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ยุคที่ 2 ก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เพราะเขาประกาศตัวในฐานะอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าต้องการนำประเทศเข้าสู่สังคมนิยม แม้กระทั่งสังคมที่มีอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ (พูดง่าย ๆ ว่าเขาอยากจะก็อบปี้การต่อสู้ของประเทศจีน ที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั่นแหละ)
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของระบอบอำมาตย์ฯ ไทยเป้าที่สามคือนายทุนที่เขาขนานนามว่า "นายทุนสามานย์" ก็คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคณะ ซึ่งหมายถึงพรรคไทยรักไทย รวมทั้งผู้สนับสนุนทั้งปวง และในนี้ก็รวมคนเสื้อแดง, นปช. นี่คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์รุ่นที่ 3 ซึ่งยังกำจัดได้ไม่หมด แต่ในทันใดนั้นก็เกิดปรากฏตัวของเสือตัวใหม่ เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ 4
ดังนั้นเป็นเรื่องที่เราทำนายกันมาก่อนแล้วว่า ในที่สุดเสือตัวใหม่ซึ่งดูจะน่ากลัวกว่าเสือตัวเก่า เพราะเสือตัวใหม่สามารถเชื่อมโยงกับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ตลอดจนปัญญาชนและคนจำนวนหนึ่งซึ่งเคยปฏิเสธ ดร.ทักษิณ ชินวัตร แต่เขาสามารถยอมรับคุณธนาธร, ยอมรับพรรคอนาคตใหม่ได้ การยอมรับอันนี้หมายความว่า เกิดแนวร่วมผู้รักประชาธิปไตยและต่อต้านการสืบทอดอำนาจที่ขยายตัวกว้างขวางใหญ่โตขึ้น
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของระบอบอำมาตย์ฯ ไทยเป้าที่สามคือนายทุนที่เขาขนานนามว่า "นายทุนสามานย์" ก็คือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคณะ ซึ่งหมายถึงพรรคไทยรักไทย รวมทั้งผู้สนับสนุนทั้งปวง และในนี้ก็รวมคนเสื้อแดง, นปช. นี่คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์รุ่นที่ 3 ซึ่งยังกำจัดได้ไม่หมด แต่ในทันใดนั้นก็เกิดปรากฏตัวของเสือตัวใหม่ เป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ 4
ดังนั้นเป็นเรื่องที่เราทำนายกันมาก่อนแล้วว่า ในที่สุดเสือตัวใหม่ซึ่งดูจะน่ากลัวกว่าเสือตัวเก่า เพราะเสือตัวใหม่สามารถเชื่อมโยงกับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ ตลอดจนปัญญาชนและคนจำนวนหนึ่งซึ่งเคยปฏิเสธ ดร.ทักษิณ ชินวัตร แต่เขาสามารถยอมรับคุณธนาธร, ยอมรับพรรคอนาคตใหม่ได้ การยอมรับอันนี้หมายความว่า เกิดแนวร่วมผู้รักประชาธิปไตยและต่อต้านการสืบทอดอำนาจที่ขยายตัวกว้างขวางใหญ่โตขึ้น
ดังนั้นเสือตัวเก่าก็กำจัดไปอย่างหนักแล้ว ใช้วิธีรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ คือการปราบปราม การจับกุมคุมขัง การถูกดำเนินคดีต่าง ๆ การยุบพรรคการเมืองไม่รู้กี่ตลบ ทันใดนั้นก็เกิดเสือตัวใหม่ซึ่งดูน่ากลัวว่าเสือตัวเก่า
ภาพจากสำนักข่าวอิศรา |
ปรากฏการณ์อันนี้ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของระบอบอำมาตย์ฯ ไทย ซึ่งไม่เคยเปลี่ยน คือไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน และยังไม่สามารถยอมรับระบอบประชาธิปไตยได้ ดูได้จาก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เมื่อไม่กี่วันมานี้ยังโจมตีการสืบทอดอำนาจโครม ๆ แต่ทันใดนั้นก็บอกว่าถ้าปล่อยไปพรรคดร.ทักษิณก็ชนะ แล้วไง? ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคุณมีปัญหากับบุคคล คุณไม่ได้มีปัญหากับระบอบ
ในขณะที่สำหรับคนรุ่นใหม่ สำหรับแนวร่วมผู้รักประชาธิปไตย รักความยุติธรรมทั้งปวงนั้น เราก้าวข้ามสีเสื้อ ก้าวข้ามพรรคการเมือง ขอแต่เพียงว่าให้เป็นกลุ่มคนรักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม และต่อต้านการสืบทอดอำนาจ อันนี้ก็จะเป็นแนวร่วมที่กว้างใหญ่ไพศาลซึ่งจะทวีกำลังมากขึ้นนะ
คือคุณจัดการกับเสือตัวเก่า ... เกิดเสือตัวใหม่
ผนึกกำลังกับเสือตัวเก่าหรือเปล่า...ไม่รู้?
ผนึกกำลังกับเสือตัวเก่าหรือเปล่า...ไม่รู้?
แต่ว่าปรากฏการณ์วันนี้ตามข่าวจาก "ข่าวสด" ระบุเลยว่า
"ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ ปม "ธนา"ร" ปล่อยกุ้พรรค 191 ล้านบาท ชี้มีเหตุอันเชื่อได้ว่าเป็นการรับบริจาคเงินโดยแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 72 ของกฎหมายพรรคการเมือง ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ตามมาตรา 92 (3) ของกฎหมายพรรคการเมือง"
ซึ่งมาตรา 92 ระบุว่า "เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น"
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ล้มล้างการปกครองหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย แต่มาอยู่ (3) ก็มีเหตุอันควรสงสัย เป็นการกระทำการฝ่าฝืนตามมาตรา 20 (2) มาตรา 28, มาตรา 30, มาตรา 36, มาตรา 44, มาตรา 45, มาตรา 46, มาตรา 72 หรือ มาตรา 74 เยอะแยะไปหมด
แต่ว่า กกต. เป็นองค์กรอิสระซึ่งเกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 40 โดยหวังจะใช้เป็นเครื่องมือของประชาชนในการตรวจสอบถ่วงดุลนักการเมือง พรรคการเมือง แต่ กกต. มันต้องมีที่มาจากประชาชน เพราะที่ผ่านมา กกต. มาจากวุฒิสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
แต่รัฐธรรมนูญ 50 และรัฐธรรมนูญ 60 กกต. ไม่ใช่เครื่องมือของประชาชนอีกต่อไปแล้วที่จะมาถ่วงดุลอำนาจ แต่ กกต. กลับกลายเป็นเครื่องมือของคณะรัฐประหารและการสืบทอด (เราก็รู้กันอยู่)
ขณะนี้องค์กรอิสระทั้งหลายทั้งปวง หรือกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวุฒิสมาชิก สนช. ล้วนมีที่มาจาก คสช. ทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นองค์กรอิสระอันสืบทอดอำนาจมาจากการทำรัฐประหารทั้งสิ้น
สุดท้ายไม่เรียกว่าคานอำนาจด้วยซ้ำ แต่สามารถมาจัดการอำนาจของพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน 6 ล้านกว่าเสียง ถ้าคุณเอาคน 6 ล้านกว่าคนมายืน ถามว่าจะยืนกันตรงไหน แต่ว่าองค์กรอิสระปัจจุบันที่มีที่มาจากคณะรัฐประหาร สามารถทำได้!
ไม่ใช่ปรากฏการณ์นี้อย่างเดียว ยังมีปรากฏการณ์ผนึกกำลังระหว่าง "หมอวรงค์" กับ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" จะตั้งเวทีทั่วประเทศสู้ "อนาคตใหม่" จะพูดถึงประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์กับคนไทย และประเด็นการเมือง นี่หมายความว่าอะไร???
หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ |
นี่ก็คือส่วนหนึ่งของเครือข่ายระบอบอำมาตย์ฯ ในด้านที่เกี่ยวข้องกับการสร้างม็อบอนุรักษ์นิยม...ใช่หรือไม่?
วันก่อนเราพูดถึงกิจกรรมมีคน "วิ่ง-ไล่-ลุง" ก็มีคนออกมา "วิ่ง-ตาม-ลุง" ความจริงเรามองในแง่ขำขัน ไม่ใช่เรื่องซีเรียส
แต่มาอันนี้ของ "หมอวรงค์กับสุเทพ" ไม่ใช่เรื่องขำขันนะ แปลว่าเอาจริง ถามว่าคนเหล่านี้คืออะไร? เขาก็คือส่วนหนึ่งของเครือข่ายระบอบอำมาตย์ฯ
แล้วศรีสุวรรณคืออะไร? ก็เป็นส่วนหนึ่งของมือชง โดยมีองค์กรอิสระรับเรื่องต่อมา หนึ่งองค์กร สององค์กร แล้วนำต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ในทัศนะของอ.ธิดา เครือข่ายเหล่านี้ก็คือของระบอบที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชน ไม่รู้จะเรียกอะไร ก็ต้องเรียกว่า เครือข่ายระบอบอำมาตย์ฯ ที่สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารด้วย นั่นก็เป็นเครือข่ายระบอบอำมาตยฯ จารีตนิยม อำนาจนิยม นั่นเอง
ในทัศนะของอ.ธิดา เครือข่ายเหล่านี้ก็คือของระบอบที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชน ไม่รู้จะเรียกอะไร ก็ต้องเรียกว่า เครือข่ายระบอบอำมาตย์ฯ ที่สืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารด้วย นั่นก็เป็นเครือข่ายระบอบอำมาตยฯ จารีตนิยม อำนาจนิยม นั่นเอง
ม.จ.จุลเจิม ยุคล อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ |
"นี่เขายังหนุ่มไม่เป็นไร เขายังมีอายุต่อไป ที่จะสามารถทำการอันยิ่งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงประเทศได้"
รีบขู่เลยว่า "โลงมีไว้ใส่คนตาย ไม่ใช้มีไว้ใส่คนแก่"
แล้วกล้ามาก บอกว่าถ้าใครไปพูดมากจะฟ้อง ม.112
อ.ธิดาถามว่า รู้หรือเปล่าว่า ม.112 เขามีไว้สำหรับใคร?
ม.112 มีไว้สำหรับ
1) พระมหากษัตริย์
2) พระราชินี
3) รัชทายาท
4) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
แล้ว ม.จ.จุลเจิม เป็นใคร? อันนี้เป็นความเหิมเกริมที่รู้สึกว่าตัวเองชนะมาโดยตลอด คณะราฎษรก็หายไป พรรคคอมมิวนิสต์ก็หายไป ดร.ทักษิณ (ในทัศนะของเขา) ก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ ประหนึ่งว่าชนะมาหมด แต่ดิฉันว่าท่านเข้าใจผิดนะ ที่ท่านคิดว่าชนะนั้น มีความพ่ายแพ้อยู่เป็นด้านหลัก แล้วคนที่ท่านคิดว่าเขาพ่ายแพ้
ถามว่าคนลืมคณะราษฎรไหม? คนลืม อ.ปรีดี ไหม?
ถนนประชาธิปไตยเป็นถนนที่ทุกคนจะมุ่งเดินหรือเปล่า?
หรือเขาจะเดินกลับไปสู่ระบอบอำมาตย์ฯ
คนจำนวนแค่ไหนที่จะเดินถอยหลัง
คนส่วนใหญ่เขาจะต้องเดินไปในทิศทางที่ก้าวหน้าทั้งสิ้น
แน่นอนในระหว่างการเดินอาจจะถูกปราบปราม อาจจะถูกจัดการ
แต่ว่าถนนสายประชาชนนั้นเป็นถนนที่มีคนสืบทอดต่อ
ดิฉันมองว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้ ที่มีการจัดการโดย กกต. ไม่เป็นที่หน้าแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีแพลมมาแล้วที่คุณช่อ พรรณิการ์ และหลายคนออกมาพูดในประเด็นที่ว่า เขาเรียกว่า "ธง" แต่ไม่เรียกว่า "ธง" ก็ได้ หมายความว่า ตั้งแง่คิด เพราะ กกต. เองก็ยอมรับว่า กกต. ไม่ได้มีมติตอนนั้น แต่เป็นการให้ความคิดทางกฎหมาย หรือบางคนก็ถือว่า ตั้งธงทางกฎหมาย ก็ได้ ก็แปลว่าที่เขียนออกมานั้นก็จริง และ ณ วันนี้ก็จัดการแล้ว โดยที่อ้างมาตรา เมื่อมีการยุบพรรค ก็ต้องลงโทษกรรมการบริหารตามมาก็ต้องตัดสิทธิ์ ยังไม่รู้คดีอาญาอย่างอื่นต่อไปอีกหรือเปล่า?
แต่ว่าชะตากรรมของคุณธนาธร, คุณปิยบุตร, คุณพรรณิการ์ และรวมทั้งอนาคตใหม่ คุณปิยบุตรเคยบอกว่าเป็นหนังม้วนเก่า หรือละครแบบบ้านทรายทอง แล้วก็เปลี่ยนตัวละครไปเรื่อย แต่ดิฉันพูดให้ตรง ๆ เลยว่า
"เป้าหมายทางยุทธศาสตร์นั้นมันมีเป็นยุค ยุคของ ดร.ทักษิณ ยังคาบเกี่ยวกันอยู่ ก็มามียุคของธนาธร
ซึ่ง ฐานของคณะราษฎร
ฐานของความคิดฝ่ายซ้าย
ฐานของสิ่งที่ดร.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยทำมา
และฐานที่คุณธนาธรทำนั้น
มันยังเป็นถนนสายเดียวที่ต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
คนอาจจะหาย อาจจะตาย อาจจะติดคุก
แต่ว่าความคิด อุดมการณ์ ถูกสืบทอดมาเป็นลำดับ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยที่ระบอบอำมาตย์ฯ ไทย เครือข่ายอำมาตย์ฯ ไทย ยังไม่เปลี่ยนค่ะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด