ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีความหวาดกลัว ความเกลียดชัง ความเคียดแค้น นี่คือหายนะของสังคมไทย
เพราะจะใช้ทุกกลยุทธในการต่อสู้ไม่ว่าจะชอบธรรมหรือไม่
ความขัดแย้งทางการเมืองที่ขยายตัวในเชิงปริมาณและคุณภาพในหมู่ประชาชนไทยทุกชนชั้นและชั้นชน ถ้าเป็นความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์การเมืองล้วน
ๆ และผลประโยชน์กลุ่มคน ในยุคนี้ที่ค่ายเสรีประชาธิปไตยเป็นค่ายหลักในโลก
การเปลี่ยนแปลงการเมืองเชิงระบอบควรจะค่อนข้างง่ายกว่าในยุคก่อนสงครามโลกและหลังสงครามโลกใหม่
ๆ ที่มีสงครามเย็นระหว่าง 2 ค่าย คือค่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายสังคมนิยม
แต่ในประเทศไทย
ด้วยพื้นภูมิหลังชนชั้นนำของประเทศและประวัติศาสตร์ประเทศไทยมีความซับซ้อนในการคลี่คลายขยายตัว
ในการต่อสู้สลับการยอมจำนนและเสียดินแดนให้จักรวรรดินิยม
เพื่อรักษาการปกครองโดยระบอบเดิมและอาณาจักรเท่าที่เหลือ ยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็ตาม
เมื่อเผชิญกับการขยายตัวของทุนนิยมและการเมืองเสรีประชาธิปไตยที่ให้อำนาจประชาชนผู้ถูกปกครองในอดีต
มาเป็นผู้มีอำนาจปกครองโดยตัวแทนจากการเลือกตั้งนั้น
ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมอำนาจนิยมไทยไม่อาจยอมรับได้ จึงผนึกกำลังและสร้างเครือข่ายเพื่อยับยั้งอำนาจประชาชนในระบอบเสรีประชาธิปไตย
การต่อสู้ของฝ่ายอำนาจนิยมจารีตนิยมจึงใช้ยุทธศาสตร์ระยะยาว
ที่ยังยึดอำนาจไว้ในมือ (ไม่ต่ำกว่า 20 ปี) พูดง่าย ๆ
ว่าพวกฉันไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน (มีอะไรไหมล่ะ) กองทัพ, ตำรวจ,
ข้าราชการพลเรือน, กฎหมาย, รัฐธรรมนูญ, องค์กรอิสระ, กระบวนการยุติธรรม
จะไม่ถูกปล่อยมือเด็ดขาด มีปัญหาก็ทำรัฐประหารซ้ำก็ได้ แล้วมาตั้งพรรค
ทำนโยบายแจกเงินเอาใจประชาชนทุกชนชั้น
ทำนโยบายประชานิยมให้มากกว่ายุครัฐบาลที่ถูกกล่าวหาไว้
ตราบใดที่ตุลาการยอมรับอำนาจรัฐประหาร ประเทศไทยก็ต้องวนเวียนเช่นนี้จนกว่าจะมีการลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ของประชาชนที่ใหญ่กว่า
14 ตุลา 16 หรืออย่างไร?
นั่นคือยุทธศาสตร์ที่จะไม่คืนอำนาจให้ประชาชน
จะให้มีการเลือกตั้งปลอม ๆ ประชาธิปไตยปลอม ๆ เท่านั้น
ในส่วนยุทธวิธี
นี่ยิ่งน่าเป็นห่วง (ประเทศไทย) มาก เพราะใช้ทุกรูปแบบ เช่น ม็อบชนม็อบ
ถ้ามีการลุกขึ้นสู้ของฝ่ายประชาชน ใช้กฎหมายและองค์กรอิสระเล่นงานนักการเมือง
พรรคการเมือง และฝ่ายประชาชนที่อยู่ตรงข้ามผู้ยึดครองอำนาจ ลงท้ายใช้ความรุนแรงของผู้ถืออาวุธ
ปราบปราม, จับกุม, อุ้มฆ่า ฯลฯ
แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ
กลยุทธ์ การใช้ความเท็จ วาทะกรรม
และวาจาสร้างความเกลียดชังฝ่ายเห็นต่างทางการเมือง
เป็นการโฆษณาทางการเมืองของฝั่งตน โดยกระทำต่อฝ่ายตรงข้ามอย่างน่าขยะแขยงที่สุด
ทำให้ขยายความขัดแย้งในหมู่ประชาชนที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ
ทำให้ประชาชนเกลียดชังกันโดยการบิดเบือนข้อมูล ใช้ความเท็จ ใส่ร้าย เช่น
พวกนี้มีกองกำลังอาวุธ ใช้ความรุนแรง เป็นพวกก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง
(ถ้าไม่มีใครเผาก็ช่วยมันเผาเสียเลย) และล้มเจ้า
ดังที่ได้เขียนบทความมาก่อนหน้านี้ ตัวอย่างล่าสุด วาทะกรรมแห่งความเกลียดชังของ
มจ.จุลเจิม ที่กล่าวว่า คุณยิ่งลักษณ์ก็เข้าข่ายกล่าวหาหยาบคาย เหยียดเพศ 2 แง่ 3
ง่าม หรือเปิดตามไปดูคอมเม้นท์ต่าง ๆ ในข่าว, บทความ หรือหน้าเฟส ก็มีมวลชนใช้ Hate Speech อย่างไม่มีเหตุผล นี่แสดงว่าสติปัญญา ความรู้
ไม่ถูกใช้ในการติดตามเรื่องราวการเมืองเลย เอาความเกลียด ความกลัว ความเคียดแค้นที่ฝ่ายตรงข้ามได้รับชัยชนะทางการเมืองมาเป็นเรื่องสำคัญ
โดยไม่สนใจว่าการทำต่าง ๆ เหล่านั้นจะสร้างความเสียหายแก่ประเทศแต่อย่างไร?
การขยายความขัดแย้งในหมู่ประชาชนทั่วไปทำให้เกิดการเผชิญหน้า
ไม่ใช่แต่ม็อบชนม็อบ แต่แยกประชาชนเป็น 2 ฝ่ายมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ผ่านมากว่า 13
ปีแล้วนับจากรัฐประหาร 2549 ไม่มีทีท่าว่าบ้านเมืองจะสงบลง ยังรุนแรงขึ้น
และเมื่อปีปัญญาชนคนหนุ่มสาวมาเป็นผู้รักประชาธิปไตยมากขึ้น สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่มากขึ้น
ก็ยิ่งหวาดกลัวเสือตัวใหม่มากขึ้นไปอีก เกลียดกลัว เคียดแค้นทั้งเสือตัวเก่า
เสือตัวใหม่ แต่ถ้าเสือมาจากระบอบประชาธิปไตย มาจากประชาชน
ก็เท่ากับพวกสนับสนุนเผด็จการรัฐประหาร แสดงออกมาให้ประชาชนรู้ความจริงว่า
เขาไม่เอาระบอบประชาธิปไตยแน่นอน ถามว่าแล้วประชาชนเขาจะเลือกระบอบไหนในที่สุด
แล้วคุณจะสู้กับใคร เท่ากับว่าสู้กับประชาชนนั่นเอง!!!
ความเกลียดชังที่เป็นสงครามสี
แตกแยกในครอบครัว ในญาติพี่น้อง ในชุมชน ในสถานที่ทำงาน มันควรจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อความจริงปรากฏขึ้นเป็นลำดับว่าความชอบธรรมของชนชั้นนำที่ยึดติดกับอำนาจจารีตนิยมลดลง
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า
การใช้ยุทธวิธีทุกรูปแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจความชอบธรรม
แล้วใช้วิธีแจกเงินภาษีประชาชนให้แก่ประชาชน เพื่อสร้างประชารัฐนิยม
หวังคะแนนนิยมจากนโยบายแจกเงินให้แก่เกษตรกร คนจน คนชั้นกลาง
โดยไร้หลักการที่จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์จริง
ล่าสุดการคุกคามสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ไม่ให้ประชาชนไปแถลงข่าวหรือองค์กรอิสระที่เร่งรัด
โน้มเอียงในการให้ลงโทษพรรคการเมืองบางพรรค ถึงขึ้นลงโทษสถานหนักก็อาจเป็นได้
นี่น่าจะยิ่งกว่า 5 ปีที่แล้วเสียอีก ราวกับใช้มาตรา 44
ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านั่นเอง
ธิดา
ถาวรเศรษฐ
11
ธ.ค. 62