วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ส.ส.ระบบจัดสรรปันส่วนผสมในร่างรัฐธรรมนูญ (มีชัย) : อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ


ในรายการ "เหลียวหลังแลไปข้างหน้าเพื่อประชาธิปไตย" เมื่อวันที่ 2  - 5 ก.พ. 59 อ.ธิดา  ถาวรเศรษฐ ได้วิเคราะห์ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, แนวคิดและเป้าหมายของการใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม รวมทั้งผลที่เกิดจากการใช้ระบบนี้ โดย อ.ธิดา ได้แสดงทัศนะต่อประเด็นต่าง ๆในร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวดังนี้

การเลือกส.ส. ในระบบจัดสรรปันส่วนผสมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย

1. ทำไมคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจึงต้องใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม

เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองใดได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาด  ไม่ต้องการให้เกิดพรรคใหญ่ 2-3 พรรค  ตามเป้าหมายของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ต้องการให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง  ควบคุม ส.ส. ได้  และกำจัดนักการเมืองเจ้าพ่อในท้องถิ่นที่ตั้งกลุ่มมาเรียกร้องต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี  

       แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งเป้าหมายตรงข้ามกับรัฐธรรมนูญปี 2540  เพราะระบบนี้จะทำให้พรรคกลาง, พรรคค่อนข้างเล็ก  เก็บคะแนนที่แพ้ตามเขตต่าง ๆ มาเพิ่มเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อได้มากขึ้น  และพรรคการเมืองขนาดใหญ่จะทิ้งห่างกันไม่มาก  นำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสมที่พรรคคะแนนกลาง ๆ มีอำนาจต่อรองให้ได้ประโยชน์  ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงใหญ่ ๆ มากที่สุด  และมีความเป็นไปได้สูงที่พรรคกลาง ๆ , พรรคขนาดเล็กเหล่านี้จะนำเสนอนายกรัฐมนตรีคนนอกผู้มีบารมีดังที่เกิดขึ้นเสมอในช่วงเวลาก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2540  นั่นหมายความว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องการหมุนประเทศไทยกลับไปสู่ช่วงเวลาเดิม  ก่อนปี 2535  และก่อนมีรัฐธรรมนูญ 2540 นั่นเอง  เพื่อให้ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมและอำนาจนิยมไทยสามารถควบคุมอำนาจประชาชนที่ผ่านพรรคการเมืองนักการเมือง

2. เพื่อบรรลุเป้าหมายตามข้อแรก  ระบบจัดสรรปันส่วนผสมจึงถูกนำมาจากการคำนวณ ส.ส.แบบสัดส่วนตามความนิยมพรรคของบางประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี เป็นต้น  โดยหวังไม่ให้พรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด  ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง  เพราะระบบสัดส่วนในประเทศเหล่านั้นมีเหตุผลสำคัญเฉพาะประเทศเขาที่เป็นสหพันธรัฐรองรับ  แต่การนำมาประยุกต์ดัดแปลงจากระบบเดิมนั้นได้ต่อยอดจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์มาเป็น 1 บัตรเลือกส.ส.เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อและรับรองชื่อนายกรัฐมนตรี (3 IN 1)

2.1 ปัญหาสำคัญคือ  ยกเว้นหน่วยเล็ก ๆ บางประเทศแล้ว  ในโลกนี้ไม่มีใครใช้บัตรใบเดียวเพื่อตอบหลายเจตนารมณ์  เพราะบัตร 1 ใบต้องตอบโจทย์ข้อเดียว  คือจะเลือกส.ส.เขตกับพรรคเป็นคนละเรื่อง  นี่เป็นหลักการใหญ่ที่ร่างรัฐธรรมนูญนี้บังคับประชาชนให้ทำตามที่ตนเอง (คณะผู้ร่าง) ต้องการ  แทนที่จะร่างให้ตรงกับเจตจำนงประชาชนทั่วไปในสากล

2.2 การทำให้พรรคการเมืองอ่อนแออันเนื่องจากต้องใช้ผู้มีบารมีและอิทธิพลในท้องถิ่นเพื่อให้ได้คะแนนนิยมของส.ส.และพรรคด้วยบัตรใบเดียวกัน  เพราะพรรคไม่สามารถนำเสนอนโยบายที่โดดเด่นได้อีกต่อไป  อันเนื่องจากถูกบังคับด้วยบทบัญญัติในการควบคุมนโยบายทางเศรษฐกิจสังคมอย่างเข้มงวด

2.3 เกิดพรรคขนาดกลางใหญ่ กลางเล็ก และพรรคเสริม (เป็นอะไหล่พรรคใหญ่)

2.4 ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่สนับสนุนหน่ออ่อนใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นเป็นพรรคเล็ก  เพราะการมีบัตรเดียวต้องเอาคะแนนส.ส.เขตทั้งประเทศมาคิดเป็นคะแนนสัดส่วนพรรค  เท่ากับว่าทุกพรรคต้องส่งคนลงให้ได้ครบทุกเขตหรือส่งมากที่สุด  ซึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับพรรคเกิดใหม่ที่มีแนวทางอุดมการณ์เฉพาะ

3. ปัญหาการได้มาซึ่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อจะถูกมัดไว้กับคะแนน ส.ส.เขตของทุกพรรคจนคำนวณไม่ได้  เพราะต้องรอตัวเลขที่ถูกต้องและได้รับการรับรองทุกเขต  และบางพรรคอาจไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว  เพราะได้ ส.ส.เขต เท่ากับหรือมากกว่าสัดส่วน  เพราะเอามาผสมกันแทนที่จะเป็นแบบคู่ขนานเหมือนรัฐธรรมนูญ 40  ซึ่งประชาชนได้เลือก ส.ส. และพรรคตามเจตนารมณ์  และคะแนนของส.ส.เขตก็เป็นการเอาชนะด้วยเสียงข้างมากตามที่เคยเลือกตั้งมาตลอดในสังคมไทยและสังคมโลก  แต่คะแนนพรรคก็สามารถเก็บสะสมได้ทุกคะแนนไม่ได้ถูกทิ้งตามที่พวกอนุรักษ์นิยมหลอกลวงว่าคะแนนถูกทิ้งน้ำไป  เพราะการเลือกส.ส.เขตเขาคัดคนชนะออกมา  และผู้ชนะก็ได้คะแนนไม่เท่ากันทุกเขต  คะแนนเขาทิ้งน้ำหมดทั้งผู้แพ้ผู้ชนะ  เพราะเขาเอาคนชนะเป็นสำคัญสำหรับส.ส.เขตทั่วโลก

ผลที่เกิดขึ้นจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมนี้

1. เป็นที่มาของรัฐบาลผสม  ไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลได้ง่ายต้องต่อรองใช้เวลา  เพราะคะแนนเสียงไล่เลี่ยกันไม่ทิ้งขาด  จนอาจเป็นเหตุให้ต้องใช้บริการนายกฯ คนนอกที่นำเสนอโดยพรรคกลาง, พรรคเล็ก  ดังที่เกิดในยุคพลเอกเปรมและยุคม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้น  กระทั่งนำไปสู่การทำรัฐประหารรอบใหม่อีกก็ได้  ถ้าขัดแย้งกันจนตกลงกันไม่ได้

2. ระบบนี้ทำให้มีการซื้อเสียง  ทุจริตมากกว่าเดิม  เพราะเดิมพันสูง  ซื้อ 1 ได้ 3  และจะมีการฟ้องร้องเพื่อล้มผลการเลือกตั้งมากกว่าเดิม

3. ประเด็น Overhang Mandate ที่เกิดจากพรรคเล็กได้ส.ส.เขตในจำนวนสัดส่วนที่มากกว่าสัดส่วนที่พรรคควรได้เมื่อคำนวณคะแนนรวมทั่วประเทศ  ทำให้เกิดการโต้เถียงได้ว่าจำนวนส.ส.ไม่ตรงกับสัดส่วนที่ควรจะเป็นตามระบบสัดส่วน  จะเป็นเรื่องโต้แย้งยาวและศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันตัดสินแล้วว่าต้องใช้เปอร์เซ็นสัดส่วนเป็นหลัก  ในประเทศเราจะขัดแย้งกันไม่รู้จบเมื่อใช้ระบบสัดส่วนเป็นหลัก  แต่จำนวนคนไม่ได้ตามสัดส่วน  จะตอบคำถามผู้สมัครส.ส.และพรรคการเมือง ประชาชน และชาวโลกอย่างไร  หรือจะหวังให้ศาลรัฐธรรมนูญไทยตัดสินต่างกับศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน

ดิฉันเห็นว่าเป้าหมายของอนุรักษ์นิยมไทยได้พยายามหมุนกงล้อประวัติศาสตร์ให้ถอยหลังไปก่อนปี พ.ศ. 2535  และก่อนใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ให้ได้ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ สักค่อนใบครึ่งใบ  โดยเริ่มจากอำนาจนิติบัญญัติที่ไม่ได้มาจากประชาชนตรงไปตรงมา เช่น วุฒิสมาชิกและการเลือกส.ส.ในระบบจัดสรรปันส่วนผสมนั่นเอง

ธิดา  ถาวรเศรษฐ
5 ก.พ. 59