ถอดคำให้สัมภาษณ์ "จตุพร" ในรายการ THAIS VOICE โดย คุณจอม เพชรประดับ ได้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2558 ผ่านทาง Skype ในประเด็น "เคลียร์ข้อกล่าวหา ทิ้งมวลชนให้ติดคุก - จำนนเผด็จการ คสช." ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
จอม : มีเสียงของมวลชนคนเสื้อแดงออกมาเหมือนกันนะครับ ในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 เป็นต้นมา บทบาทของ นปช. ก็อาจจะนิ่งด้วยข้อเงื่อนไขของ คสช. ด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าที่ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากก็อาจจะรู้สึกผิดหวังกับความนิ่ง ความเฉย หรือการยอมจำนนเกินไปกับ คสช. ของ นปช.
จตุพร : ความจริงไม่มีวันใดที่จะเกิดความนิ่งเฉยเลย พวกผมจัดรายการทางโทรทัศน์ช่อง PEACE TV ผมเองไม่ต้องการให้มีปัญหามาจัดทาง Youtube เหมือนกับคุณจอม ทุกถ้อยคำ ทุกเนื้อหา ไม่ได้แตกต่างไปจากบนเวทีปราศรัยที่เราเคยพูดเรื่องหลักการประชาธิปไตยแม้แต่เพียงเสี้ยวเปอร์เซ็นเดียว เพียงแต่ว่าท่วงทำนองของการอธิบายลองติดตามฟังกันดูซิครับว่ามันมีท่วงทำนองใดที่คิดจะถอยกันบ้าง แต่เป็นเรื่องของการจับจังหวะ
เพราะเราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์การยึดอำนาจนั้น คสช. เรียกง่าย ๆ ว่า “ยึดเบ็ดเสร็จ” แต่ผมก็ได้บอกกับพรรคพวกและอธิบายในที่สาธารณะกันว่า เอาล่ะ! เราก็ใช้วิกฤตอันนี้ แต่ละส่วนเราก็จัดการปฏิรูปกันเอง แต่หลักใหญ่ใจความก็คือว่า ก่อนการยึดอำนาจความเห็นแตกต่างกันมานั้นเราพูดอีกซีกหนึ่งก็ไม่ฟัง ซีกหนึ่งพูดเราก็ไม่ฟัง แต่ปรากฏการณ์ของการรัฐประหารนี้ต้องให้เห็นด้วยตา สัมผัสด้วยตัว มันไม่ได้เกิดมาเพราะเราไปบอกให้เขาเชื่อ
พี่น้องเสื้อแดงเรามีความเข้าใจกันอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเขาเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตจะต้องเจอแบบนี้นะ แต่ระยะเวลาปีเศษเขาก็เห็น แล้วทัศนะเกิดความเปลี่ยนแปลงกันมากมาย ผมเรียนย้ำเลยว่าถ้าคนไม่เห็นภาพความเป็นเผด็จการที่ชัดเจน กลับมาเลือกตั้งเราชนะก็ปกครองไม่ได้อยู่ดี ปัญหาก็กลับสู่ที่เดิม แต่ผมเองก็บอกชัดเจนว่าการขับเคลื่อนของ นปช. นั้นเหมือนกับการเล่นฟุตบอล เดิมเตะทุกจังหวะแต่ยิงประตูไม่ได้ อีกฝ่ายจับบอลได้ครั้งเดียวยิงประตูเลย
วันนี้ผมก็ใช้หลักคิดเหมือนกันว่า เล่นไม่จำเป็นจะต้องสวยงาม ไม่ต้องเอาใจใคร แต่ผลลัพธ์สุดท้ายดำรงความมุ่งหมายอยู่คือยิงประตูให้ได้ คือเอาประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ แล้วผมประกาศชัดถ้ารัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตยนี่ก็ไม่รับ
จอม : สองปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่า นปช. อาจจะมีเหตุผลที่จะไม่ขยับเขยื้อนหรือว่ามีเวลา หรือว่ามีการทำกิจกรรมอยู่แล้ว แล้วก็มีการสู้ในรูปแบบที่เป็นอยู่แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นที่ออกมาสู้อย่างกลุ่มเสรีชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย กลุ่มพลเมืองโต้กลับ นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ กลุ่มนักศึกษาอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น ดูจะมีน้ำหนักหรือมีพลังมากกว่า นปช. ด้วยซ้ำไป อันนี้คือการเปรียบเทียบให้เห็นกระบวนการนี้ อันนี้จะอธิบายอย่างไรในเมื่อกลุ่มนั้นทำได้ นปช. เองทำไมจะทำไม่ได้ นี่คืออาจจะเปรียบเทียบด้วยคนที่อยู่ในมวลชนคนเสื้อแดง
จตุพร : คุณจอมลองนึกถึงเหตุการณ์พฤษา 2535 นะ คือจุดเริ่มต้นขบวนการนักศึกษาถอยไปปี 2516 หรือจะปี 35 ก็ตามเรื่องการจุดประกาย แต่เราก็เห็นกันอยู่ ผมเองก็เป็นผู้นำนักศึกษามาเก่า เราก็รู้ว่าเราอยู่ในบริบทและศักยภาพขนาดใด ฝ่ายความมั่นคงเองนั้นก็รู้ว่าทัพจริงที่จะสู้รบก็คือทัพ นปช. นี่แหละ แต่ว่า(สัญญาณกระตุ้งทำให้ฟังไม่ได้ใจความ) การประเมินทุกเหตุการณ์ทั้งหมด พวกผมมีโอกาสสู้ได้ครั้งเดียว ผมก็บอกชัดเจนว่ายังไม่ชนะ ก็ยังไม่เพิ่งรีบไปแพ้ แต่ระหว่างทางทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างไม่ทรยศกัน แต่วันใดเห็นว่าทุกอย่างพร้อมกันแล้ว ผมมีโอกาสครั้งเดียว ไม่มีโอกาสสองครั้ง
จอม : ทำไมโอกาสจึงมีแค่ครั้งเดียว
จตุพร : คือพวกผมทุกคนที่เป็นแกนนำ นปช. ทั้งหมดแสดงความคิดเห็นอยู่ในรายการโทรทัศน์ซึ่งโลกสื่อสารไร้พรมแดน เนื้อหาใจความไม่ได้แตกต่างกับการไปอยู่บนถนนหรือสนามการต่อสู้ แต่พวกผมก็ถูกเงื่อนไขที่กำหนดโดยเรื่องการปล่อยตัวชั่วคราวในคดีก่อการร้ายและคดีอื่น ๆ พรรคพวกก็ติดคดีพัทยาบ้าง คดีบ้านสี่เสาบ้าง ผิดเงื่อนไขเข้าเรือนจำทันทีกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คือถ้าจะตามใจกันว่าจะต้องทำตามทุกอย่าง แล้วท้ายที่สุดเราก็จะไม่เหลือใครในทัพนี้เลย การต่อสู้ที่ทุกคนวาดหวังจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้ คือพวกเราเห็นว่าถ้ายังไม่ชนะก็ยังไม่รีบไปแพ้แต่ไม่ยอมจำนน!
จอม : ที่ยังแสดงความคิดเห็นบอกว่าถ้ามีข้อจำกัดของการที่จะต้องอยู่ในเงื่อนไขของการประกันตัว หรือแม้แต่เงื่อนไขของ คสช. แต่ว่าในกิจกรรมที่พยายามจะสร้างความเข้าใจ ฟื้นกำลังใจ สร้างเอกภาพกันในกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงก็สามารถทำได้ และประเด็นสำคัญที่มีการตั้งคำถามกับ นปช. หรือแกนนำ นปช. อย่างมากก็คือ คนเสื้อแดงที่ถูกติดคุกหรือเสรีชนที่ร่วมเดินเส้นทางต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ยังอยู่ในเรือนจำจำนวนนับร้อยคนหรือมากกว่านั้น ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก นปช. จากแกนนำ นปช. เลย หรือน้อยมาก อันนี้จะอธิบายอย่างไรครับ
จตุพร : คืออย่างนี้ครับ พวกผมเองความที่ว่าเราก็ทำตามสภาพที่เราสามารถทำได้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ และที่สำคัญตลอดระยะเวลานั้น สิ่งที่เราเรียกร้องและดำเนินการมาโดยตลอดนั้น คือการปลดปล่อยบรรดาประชาชนทุกฝ่าย ยกเว้นแกนนำ ถ้าเลือกแนวทางอย่างนี้กันมาตั้งแต่ต้น พี่น้องประชาชนได้รับการปล่อยตัวไปนานแล้ว ส่วนการดูแล แต่ละส่วนก็ตามสภาพการณ์กัน
เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าในซีกของพวกเรานั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่าเวลาเกิดเหตุไม่ว่าการประกันตัว ทนายความ เรื่องราวต่าง ๆ เลือดตาแทบกระเด็นกันอยู่แล้ว นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งส่วนใด พวกเรา ผมก็บอกอยู่เสมอว่าไปกัน แต่ว่าถ้าเราพรวดพลาดแบบคนอื่นที่เขาทำกันได้นั้น แน่นอนที่สุดพี่น้องที่อยู่ในเรือนจำ ผมก็รู้ ผมก็ติดคุกมา พี่น้องที่อยู่ในเรือนจำจะเกิดความยากลำบากกันอย่างไร โดยส่วนใหญ่ผมจะมอบหมายให้กับพรรคพวกที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักก็ไปดูแลตามที่สามารถจะดูแลกันได้ตลอดเวลากันอยู่แล้ว
จอม : เสียงสะท้อนที่ออกมาก็ดูเหมือนว่าตัวแทนหรือคนที่ไปในนามของ นปช. ก็เกือบจะเรียกได้ว่าน้อยมากที่จะให้กำลังใจกับคนเสื้อแดงหรือว่ามวลชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยด้วย แล้วก็อยู่ในเรือนจำ ก็ยังเสียงสะท้อนบอกว่ายังน้อยอยู่เหมือนกัน
จตุพร : คืออย่างนี้ครับ อย่างที่ผมบอกไปว่า ถ้าเราขยับนิด คือเนื่องจากแกนนำทั้งหมดผ่านการติดคุกมาก่อนทั้งสิ้นนะ เราก็รู้ว่าบริบทคุกในยุคใดสมัยใด สิ่งที่คนที่อยู่ในเรือนจำจะไม่ได้รับผลกระทบในวันเวลาแบบนี้ด้วยนะ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงนอกจากยุคคุกที่โรงเรียนพลตำรวจนครบาลบางเขนแล้วมาอยู่ที่เรือนจำพิเศษเหมือนเดิม หลาย ๆ อย่างสภาพการณ์แตกต่างไปมากกว่าเดิม เราก็พยายามจะสื่อเพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย แต่ว่าการจะไปยืนพูดเพื่อให้เห็นที่เรือนจำนั้นมันไม่ใช่วิสัย เราเองก็พยายามเรียกร้องแล้วเขาก็ดำเนินการเปลี่ยนแปลงกันไปพอสมควร คือผมไม่ขออธิบายนะครับ เพียงแต่ว่าผมก็ได้มอบหมายคนที่เขาทำหน้าที่ในการดูแลเท่าที่จะดูแลกันได้ นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เพราะผมรู้ว่าถ้าผมโผล่ไป คนที่ติดอยู่ในคุกจะยากลำบากในสถานการณ์อย่างนี้
จอม : หลังจากรัฐประหารมาแล้วมันก็มีคำถามเยอะนะครับ หลายคนก็อาจจะหมายถึงว่าคนเสื้อแดงในขบวนการเองก็อาจจะผิดหวัง สมหวัง หรืออาจจะพอใจไม่พอใจ เคยประเมินตัวเองไหมครับว่าการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในฐานะที่เป็นประธาน นปช. ที่ผ่านมามันประสบความสำเร็จหรือว่าล้มเหลวอย่างไร ถ้าจะให้ลองประเมินตัวเอง
จตุพร : คือผมเองผ่านในโลกแห่งความเป็นจริงมา ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปเอาใจใคร โดยที่ไม่ได้มีการศึกษาทุกเรื่องราวแล้วผมก็เป็นเช่นนี้นะ ไม่ใช่เพิ่งมาเป็น แล้วถึงเวลาผมก็รบจนสุดทางทุกครั้งคราวกันไป เพียงแต่ว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์เขาไม่ได้อยู่ในสถานะรับผิดชอบอย่างที่ผมต้องรับผิดชอบ เพราะเวลาการต่อสู้มันไม่ได้คิดแค่อยากจะต่อสู้ และก็ต่อสู้ทำตามใจโดยไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ทั้งเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ที่เราผ่านกันมา ถึงเวลาที่เราเห็นว่ามันใช่ในการต่อสู้นั้นและเราต้องเตรียมพร้อมทั้งหมด เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่าคู่ต่อสู้ของเรานั้นเขามีความพร้อมและอยู่ในกลไกครบถ้วน มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่มี และเขาอย่างเดียวที่ไม่มีเหมือนกับเราคือหัวใจในการต่อสู้ หลักการต่อสู้นั้นจะไปตามใจคนที่วิพากษ์วิจารณ์ผม พูดง่าย ๆ เขาก็วิพากษ์วิจารณ์ผมมาตั้งแต่ต้นจนจบอยู่แล้ว และเขาเป็นอิสระของเขาตั้งแต่ต้นจนจบกันอยู่แล้ว แต่ว่าภาระความรับผิดชอบระหว่างเขากับผมต่างกัน
ถ้าผมตัดสินใจแปลความกันว่าผมต้องเตรียมพร้อมหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าชุมนุมวันนี้พรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร เจอกับอะไร จะแก้ไขปัญหากันอย่างไร เพราะเราผ่านกันมาว่าเราเจออะไรกันมาบ้าง อีกฝ่ายหนึ่งใช้วิชามารอะไรกับเราบ้าง ผมไม่อยากจะบอกว่าการไม่รู้บางครั้งแล้วก็มาวิพากษ์วิจารณ์ ก็ตลอดระยะเวลาถ้านั่งโพสต์อยู่ในเน็ตกันแล้วผมก็นั่งจัดรายการกันอยู่มีถ้อยคำใดไปรับใช้เผด็จการมันบ้าง แต่ละวันที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เพียงแต่ว่าไม่ได้ปราศรัยบนท้องถนน และไม่ใช่หมายความว่าจะไม่ไป แต่เพียงว่าในขณะนี้ถ้ายังเห็นว่าไม่ชนะ แล้วเราจะรีบไปแพ้ทำไม?
การทำหน้าที่ของคนที่เป็นประธาน นปช. ซึ่งประชาชนโดยส่วนใหญ่ใครนัดก็เห็นปริมาณกันอยู่แล้ว แล้ววันนี้โดยประชาชนส่วนใหญ่ผมไม่รู้ว่าเขามีความรู้สึกกันอย่างไร? แต่ผมไม่มีสิทธิ์จะมาเอาใจบรรดาผู้ร้อนวิชาทั้งหลาย แล้วเสร็จแล้วเขาไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่เราเองเห็นความตาย เห็นความสูญเสียกัน แล้วท้ายที่สุดเราเองก็เห็นว่าฝ่ายหนึ่งนั้นเขาเตรียมการอะไรกันไว้บ้าง
เหยื่ออันโอชะที่ดีที่สุดที่จะช่วย คสช. ได้ก็คือ “เสื้อแดงที่ขาดสติ” ไง
จอม : แต่ในมุมของคนเสื้อแดงบางกลุ่มบางคนที่อยู่ในที่ตั้งตอนนี้เองก็มองว่า ถ้าสู้แล้วแพ้ถ้าประเมินจากที่ผ่านมา สุดท้ายทหารก็มารัฐประหาร หรือสุดท้ายก็ยึดอำนาจไป แล้วเขามีการเปรียบเทียบด้วยว่าคำพูดของแกนนำ นปช. บนเวทีในหลาย ๆ เวทีก็จะประกาศชัดเจนว่าจะสู้กับทหาร จะสู้กับกองทัพ จะสู้จนตัวตาย อะไรต่าง ๆ แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเท่าไหร่ สุดท้ายก็คือพบกับความพ่ายแพ้อยู่ดี นี่ก็จะเป็นเสียงที่สะท้อนออกมาเหมือนกัน
จตุพร : คือเหตุการณ์ 22 พ.ค. ถ้าพวกผมอยู่ที่อักษะแล้วไม่ต่อสู้อะไรเลยนี่ประณามหยามเหยียดกันได้ แต่นี่ถูกล็อคตัวในวงการเจรจา ไม่ไปก็เป็นปัญหาพวกเดียว เขาก็ควบคุมตัวในวงประชุมซึ่งก็เป็นที่ทราบกันว่านัดไปประชุมแล้วก็รวบ ซึ่งประเทศไทยก็เพิ่งเคยมีครั้งนี้ครั้งแรก กว่าที่เขาจะปล่อยพวกผมมานั้นเขาก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ปล่อยมาก็ประกบติด ขยับอะไรกันไม่ได้เลยอะไรกันเลย
เมื่อเราเองก็เห็นสภาพการณ์กันอย่างนี้ ถ้าอยู่ในสนามรบแล้วไม่ต่อสู้ก็ว่ากัน แต่เป็นเพราะว่ามันไม่มีโอกาสจะได้สู้เลย เราชุมนุม 12 วัน ผมและคณะรวม 5 คนก็ถูกล็อค แล้วที่เวทีพอแกนนำถูกล็อคที่หอประชุมกองทัพบกแล้ว คือทั้งหมดทั้งปวงเขาปล่อยในวันที่เขาจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อยเสร็จสิ้นแล้ว วันนี้เมื่อคิดที่จะเอาประชาธิปไตยคืนมานั้น เราต้องเอาคืนมาได้จริง ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าต้องให้ฝ่ายสนับสนุนการยึดอำนาจเขาได้เห็นว่าที่เขาสนับสนุนการยึดอำนาจนั้น เขาได้รับความหายนะอย่างไรบ้าง? หลายคนคายฟันอย่างกันอยู่แล้ว สภาพสถานการณ์ที่มันง่อนแง่นขนาด EU, อเมริกา, Tier 3 คว่ำบาตร ห้องเย็นก็จะปิดอยู่แล้วเพราะว่าขายอาหารประมงไม่ได้ ร้านอาหารประมงก็ทยอยกันปิด นี่ผมยกตัวอย่างว่าพินาศย่อยยับหมด ท่องเที่ยวพินาศย่อยยับหมด เกษตรกรย่อยยับพินาศหมด ปรอทเขาใกล้จะแตก
แล้ววิธีการที่จะเบี่ยงเบนความสนใจนั้นก็เป็นชุดเดียวกับที่ปฏิบัติการในปี 53 พูดง่าย ๆ ว่าเขากำลังปรอทจะแตกแล้ว รออีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าเราให้เขามาสวมรอยสร้างสถานการณ์นี้โดยที่เราพยายามต้องการพูดเอาใจบรรดาเส้นทางสีแดงที่ปั่นขึ้นเวทีพันธมิตร แล้วผมเองก็ได้ใจจากพวกนี้ ไม่ว่าผม แต่ว่าจะมีคนจับเสื้อแดงแบบว่ามหาดไทย แบบหลาย ๆ แห่งที่เขาไปกระทำการ แล้วเสร็จแล้วก็สร้างซีรีย์ซึ่งเขาทำมาโดยตลอด แล้ววันนี้ก็กำลังทำอยู่ เรากำลังจะชนะกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ออกทีเดียวแล้วก็ต้องชนะกัน ไม่ใช่อยู่หอคอยงาช้างว่าจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้ ก็ถ้าพร้อมก็ทำเองซิ แต่พวกผมเองก็เห็นว่ายังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมไม่ใช่ว่าไม่สู้ แต่ไม่โง่ไง นี่พูดตรง ๆ ใช้คำนี้ เพราะผมกับเขาสู้กันมายาวนานหลายปี คนฝ่ายเราก็เป็นพี่น้องทหารตำรวจเต็มหมด รู้เขารู้เรา ผมประเมินสถานการณ์ตลอด แต่ถ้านั่งจินตนาการโพสต์ไป โพสต์มา โพสต์มา โพสต์ไป ก็สะใจกันนะครับ แล้วสุดท้ายผลลัพธ์ในการต่อสู้จะประสบปัญหาอะไร? เพราะว่าในทางปฏิบัตินั้นผมเองต้องยืนในสนามจริง และต้องนำพาประชาชน และต้องรับผิดชอบ กับมานั่งแชตอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะอย่างไรก็ได้ คืออารมณ์คนละอย่าง ผมไม่ต้องการการสรรเสริญเยินยอแล้วพาทัพของพี่น้องประชาชนไปพินาศย่อยยับ
จอม : คือแน่นอนการพูดก็เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้หลายคนอาจจะไม่พอใจเพราะว่าเป็นการพูดเพื่อสร้างความแตกแยกในขบวนการคนเสื้อแดงจำนวนหลายครั้งเหมือนกัน หรือแม้แต่เรื่องของการที่จะทำให้คนอื่นที่อยู่ในขบวนการในเส้นทางเดียวกันแต่ไม่ได้เป็นแดง แล้วก็เป็นผู้ที่ต้องการจะเรียกร้องประชาธิปไตยต่อสู้กับอำนาจเผด็จการเหมือนกันแต่อาจจะไม่ได้เป็นแดงเต็มตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้ลดความน่าเชื่อถือ หรือทำให้ความศรัทธาที่เคยมีในตัวคุณจตุพรอาจจะลดน้องลงไปหรือเปล่าด้วยการที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในขบวนการและในเส้นทางของกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยเอง
จตุพร : คือหลากหลายเรื่องราวที่คนอื่นไปกระทำ แต่ผมคือผู้รับเคราะห์อยู่แทบทุกครั้งทุกเรื่องราว เพราะว่าหลังจากเหตุการณ์ปี 53 ผมก็ยืนหยัดเพื่อจะพาให้พี่น้องประชาชนแหวกพ้นความกลัวจากการถูกปราบปรามเข่นฆ่า ท้ายที่สุดเขาก็จับผมขัง ผมเองก็เห็นว่าบรรดาร้อนวิชาถ้ารับผิดชอบไม่เป็นปัญหา ใครทำอะไรรับผิดชอบทำไปแล้วรับผิดชอบ ผมไม่ขัดข้อง ไม่เคยไปแตะ ไม่เคยยุ่งเกี่ยว
แต่ประเภททิ้งปัญหาให้กับคนที่เขาอยู่แล้วก็ต้องไปอธิบายกับสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้เรื่องเลย ผมถือว่าไม่แฟร์ไง แต่ครั้งนี้ผมเองเห็นว่าการร้อนรุ่มร้อนวิชากัน แล้วก็ออกมาประณามหยามเหยียด ด่าด้วยถ้อยคำสาดเสียเทเสีย พอผมสวนกลับไปบ้างบอกว่าแตกแยก นั่นแปลความว่าถ้าผมเอาใจพวกนี้แล้วไปกระทำการสิ่งที่นำพาให้ทัพใหญ่เข้าไปร่วมในสิ่งที่เราไม่ได้เตรียมการอะไรนั้น ผมจะได้รับความรักจากคนเหล่านี้ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ผม ชื่นชมผม
แต่ประชาชนส่วนใหญ่เกิน 90% ที่ร่วมชะตากรรมนั้นเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ใครจะทำอะไรไม่ได้มาขึ้นกับผมเลย คุณต้องการทำอะไรคุณก็ทำไปซิครับ ก็คุณไม่ได้ร่วมกับผมมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว บางครั้งอาจจะเจอกันหรือว่ามาขอขึ้นเวที เราก็ไม่ขัดข้องไง แต่ว่าเขามีตัวตนของเขาเป็นอย่างนี้แต่ไหแต่ไร แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันมาหลายปีดีดัก ไม่ใช่เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์ เพียงแต่ว่าพอกระแสถาโถมแบบนี้แทนที่จะกระแทก คสช. กลับมากระแทก นปช. แทน นี่คือสิ่งที่ผมเองต้องชี้แจงและตอบโต้ เพราะว่าเขาไม่ได้เคยร่วมจมหัวจมท้ายกับผมและ นปช. อยู่แล้ว
จอม : คุณจตุพรก็คงจะทราบนะครับว่าหลังจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีหลายกลุ่มขึ้นนะครับ
จตุพร : เดิมก็มีหลายกลุ่มอยู่แล้ว
จอม : ครับ ก็อาจจะมีหลายกลุ่มที่ผิดหวังกับ นปช. ก็อาจจะมีกลุ่มของเขาเอง กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มนักศึกษา อะไรต่าง ๆ บนเส้นทางต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมีเยอะมาก คิดว่า นปช. เองจะสามารถที่จะเป็นแกนกลางผสานพลังนี้เป็นพลังเดียวกันได้ไหมครับในอนาคต
จตุพร : คือผมเองก็บอกกับบรรดาหมู่มิตรว่า ทัพของนักศึกษาที่เขาขับเคลื่อนมันเป็นพลังบริสุทธิ์อยู่แล้ว ทัพนักวิชาการเขาก็เพียว ๆ อยู่แล้ว เราต้องหลบ อย่าเข้าไปใกล้ เพราะจะทำให้พลังของเขานั้นได้ถูกละเลง และอธิบายในมิติต่าง ๆ ไปทำลายน้ำหนักเขา แต่ว่าได้ติดตามทุกเรื่องราวโดยตลอด ขณะเดียวกันผมเองก็เห็นว่าเราก็ผ่านสถานการณ์แบบนี้กันมาแล้ว เขาทำหน้าที่ขับเคลื่อนได้สวยงาม งดงาม ทำแล้วตัวก็รับผิดชอบ ผมจึงบอกว่าพวกที่อยู่ในโลกไซเบอร์ถ้าเอาแบบอย่างน้องกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ หรือแบบพลเมืองโต้กลับ หรือจะแบบสมบัติ บุญงามอนงค์ คือรับผิดชอบ เป็นตัวตน ทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ หรือนักวิชาการทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ และก็มีตัวตนความรับผิดชอบ ไม่ต้องไปเรียกร้องใคร เพราะที่ผ่านมาคนที่เรียกร้องผมอยู่ในเวลานี้เขาก็ไม่เคยมาร่วมจมหัวจมท้ายกับ นปช. แล้วก็เป็นอย่างนี้กันมาตั้งแต่ต้น เ พียงแต่ว่าพอดูสถานการณ์นี้ได้จังหวะ ฉะนั้นอยากจะทำอะไรคุณก็ทำซิ คุณก็มีสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว คุณก็ไม่ขึ้นกับผม ผมก็ไม่ขึ้นกับคุณ
แต่ว่าหลักใหญ่ใจความเราอยู่ในทัพการต่อสู้นี้ ผมยังไม่ไปไหนแม้แต่เพียงวันเดียว ก็นั่งวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช. เป็นรายวัน พูดง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่อันนี้อยู่ทุกวัน แล้วหนักขึ้นทุกวัน แต่ว่าสาระที่สำคัญมันไม่สะใจว่าจะต้องออกไปโดยที่ไม่ได้เตรียมการรู้อะไรเลยแล้วก็ปล่อยเป็นข่าวลือนัด แล้วเราเป็นองค์กร ถ้าผมบอกขานรับประชาชนเขาก็พรึบพรับขึ้นมา แล้วในโลกความเป็นจริงมันไม่พร้อมอะไรเลย ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยความตายของประชาชนอีก เพราะฉะนั้นไอ้ความคิดสะใจอะไร ถ้าตัวเองมีความมุ่งมั่นไม่ต้องมาเรียกร้องกับผม ก็ทำเองซิ เพราะตลอดระยะเวลาตั้งแต่มีขบวนการนี้มาเขาก็ทำแบบนี้กันมาโดยตลอด ไม่ใช่เพิ่งมาทำนะ
จอม : ถ้าสมมุติว่าหนังที่เรากำลังดูอยู่นี้มันจบแล้ว แล้วก็คุณจตุพรเองก็จะต้องระดมพลอีกครั้งหนึ่ง เชื่อมั่นแค่ไหนว่ามวลชนที่จะมาพร้อมกับการเรียกระดมพลครั้งใหม่ของประธาน นปช. จะพรั่งพร้อมคับคั่งหนาแน่นเหมือนกับที่ผ่านมา เชื่อมั่นได้แค่ไหน? อย่างไร?
จตุพร : คนที่วิพากษ์วิจารณ์ผมปกติเขาก็ทำเวทีกันอยู่แล้วก่อนการยึดอำนาจอีก แล้วก็ปรากฏชัดเรื่องประชาชน แต่ว่าในส่วนของ นปช. นั้น ผมไม่ต้องการอธิบายว่าใคร? เท่าไหน? อย่างไร? ผมรู้ดีว่า ก็ขนาดผมเป็นแค่ผู้นำนักศึกษาเล็ก ๆ คนหนึ่งในรามคำแหง ปี 35 โนเนมคนหนึ่ง ก็ยังสามารถนำพาการต่อสู้
มันไม่ได้อยู่ที่ใครนำ แต่ว่ามันอยู่ว่าประเด็นการต่อสู้มันชอบธรรม ได้ประโยชน์ รู้ประมาณ แล้วก็มีความสุขุมคัมภีรภาพ มีจุดยืนที่ชัดเจน พูดง่าย ๆ ว่าไม่พาประชาชนไปเพลี้ยงพล้ำศัตรูอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเชื่อว่าตลอดระยะเวลาประชาชนที่ร่วมจมหัวจมท้ายเขาเข้าใจ และที่ผ่านมาไม่มีวินาทีใดที่ผมกับเขาจะทรยศกัน แต่ว่าเราเองก็เห็นแล้วว่าประชาชนเขาพร้อมกันอยู่แล้ว แต่ที่วิพากษ์วิจารณ์นั้น ผมเองก็ขอเรียกร้องคุณบ้างนะ ก็คุณก็ทำซิ คุณมาเรียกร้องอะไรผม คุณก็ไม่ขึ้นกับผม ผมก็ไม่ขึ้นกับคุณ แล้วคุณก็เป็นอิสรภาพกันมา ผมก็เป็นอิสรภาพกันมาตั้งแต่เกิดกันอยู่แล้ว คุณก็ทำของคุณ ผมก็ทำของผม
การวิพากษ์วิจารณ์นั้นผมไม่มีปัญหาอะไรเลย เพียงแต่ว่าผมตัดสินใจ องค์กรนี้ต้องตัดสินใจว่าเราจะกำหนดจังหวะย่างก้าวอย่างไรนั้น เราต้องเป็นคนคิด และเราก็ต้องมีการประเมินทางข่าวของเราอย่างครบถ้วน
จอม : หรือว่าแกนนำ นปช. ส่วนใหญ่กำลังจะทิ้งมวลชน
จตุพร : ใครทิ้งมวลชนกันแน่ ที่อยู่ทุกวันนี้ใน นปช. ที่เหลือกันอยู่ นี่คือคนที่รับผิดชอบในกระบวนการต่อสู้นี้ หลายคนไปอยู่คนละทิศคนละทาง แทบจะหาบทบาทไม่เห็นกันอยู่แล้ว ถ้าพวกผมทิ้งประชาชน ลองชี้หน้ามาซิว่าใครไม่ทิ้ง ตั้งแต่หลังยึดอำนาจจนกระทั่งบัดนี้ พี่น้องก็ฟังผมได้ ฟังณัฐวุฒิ อาจารย์ธิดา หมอเหวง พี่วีระได้กันทุกวันกันอยู่ เจอกันได้กันอยู่ แล้วไม่ถอยหนี เพียงแต่ว่ามันไม่เป็นไปตามความต้องการของกลุ่มคนซึ่งก็ไม่เอาด้วยกับพวกผมมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเอา แต่เพียงว่าได้จังหวะก็กระทืบไง
การที่ไปเรียกร้องกับคนอื่น ทำไมคุณไม่เรียกร้องกับตัวเองบ้าง ถ้าผมไปเป็นอะไรของไอ้คณะรัฐประหารซิครับ ไปสมคบคิดกับเขาซิ ไอ้นี่แหละผมทิ้งประชาชน ผมก็ยังอยู่ที่เดิมของผมยังไม่เคยหนี แต่ว่าที่ผ่านมาแต่ละคนก็ทำหน้าที่ด้วยความอดทน แต่ว่าคุณเรียกร้องบอกว่าเรื่องอะไรจะมาฟังผม แล้วแปลว่าผมต้องฟังคุณใช่ไหม? แล้วถามว่าคุณเป็นใคร? ต่อ คุณรับผิดชอบอย่างไรบ้าง? ถ้าคุณมีศักยภาพคุณก็ต้ององค์กรแล้วคุณก็นำไปซิ ประชาชนเห็นด้วยกับคุณ เขาก็ไปกับคุณ