วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : บทเรียนบางประการในการรำลึกวันก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” 1 ธ.ค. 2485

 


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : บทเรียนบางประการในการรำลึกวันก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” 1 ธ.ค. 2485


ความจริง พคท. ถือได้ว่ายุติบทบาทการนำโดยสิ้นเชิง เมื่อ “ธง แจ่มศรี” ยุติบทบาทเลขาธิการพรรคในปี 2553 เมื่อมีความแตกแยกแตกต่างในองค์กรนำ จนอยู่ในภาวะที่ไม่อาจสร้างเอกภาพการนำได้ อาจถือว่าเกิดล่มสลายเมื่อพรรคมีอายุ 68 ปี แต่การยุติบทบาทในการต่อสู้ด้วยอาวุธก็มีก่อนหน้านั้นประมาณ 20 ปี การยุติการเป็นองค์กรนำการปฏิวัติโดยพฤตินัย เกิดขึ้นหลังสมัชชา 4 เป็นลำดับมา แม้มีความพยายามสร้างภาวการณ์นำในสถานการณ์ใหม่ที่แตกร้าวในหมู่สหายประชาชนคืนเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา


แน่นอนว่ามีปัจจัยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการล่มสลายของพรรคปฏิวัตินี้ ทั้งปัจจัยภายในองค์กรพรรค และปัจจัยภายนอก ซึ่งมีความหนักหน่วงทั้ง 2 กรณี


ดิฉันอยากพูดเฉพาะบทเรียนบางบทเรียนทางปัจจัยภายในที่สำคัญคือ ระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ของพคท. ซึ่งมีโครงสร้างการนำสูงสุด เป็นกรมการเมือง (โปลิตบูโร) นำโดยเลขาธิการใหญ่พคท. รองลงมาคือคณะกรรมการบริหารกลาง ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกกรมการเมือง (ตามทฤษฎี) และที่มาของคณะกรรมการบริหารกลางมา จากการประชุมโหวตคัดเลือกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรค ซึ่งจริง ๆ สมัชชา 4 เป็นสมัชชาสุดท้าย ส่วนหลังจากนั้นมีความพยายามประชุมสมัชชา 5 เพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารกลางชุดใหม่ ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากมวลสมาชิกและสังคม ยังมีความพยายามอีกสายหนึ่งที่พยายามตั้งพคท.ใหม่ ก็ยากที่จะมีคนยอมรับในฐานะพรรคปฏิวัติใหม่ได้ แต่จะถือเป็นการรวมตัวตั้งกลุ่มอดีตสหายแข่งกันก็ว่าได้



ภาวะการนำโดยกรมการเมืองจึงเป็นองค์กรนำสูงสุด ถ้าระยะเวลาประชุมสมัชชาห่างมาก เช่น สมัชชา 4 หลังสมัชชา 3 นานกว่า 20 ปี สภาวะการนำของกรมการเมืองจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง ทำให้การนำมีปัญหาเรื่องประชาธิปไตยในพรรค มีแต่การรวมศูนย์การนำที่มีปัญหาทั้งทฤษฎี การปฏิบัติ และความเป็นจริงของสังคมไทยและสังคาโลก ที่องค์กรนำไม่อาจตามทันสถานการณ์ ก่อให้เกิดภาวะการนำรวมศูนย์ที่ผิด ๆ นี่คือการล่มสลายของพรรคปฏิวัติพรรคเดียวที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุด


ดิฉันอยากพูดถึงพรรคการเมืองไทยก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติในปัจจุบัน แต่มีการนำที่รวมศูนย์อยู่ที่คน ๆ เดียว หรือคณะนำ และไม่ปรับปรุงภาวะการนำได้เร็วพอให้ทันสถานการณ์ หมายถึงทั้งองค์ความรู้ด้านทฤษฎี ด้านข้อมูล สถานการณ์ สังคมไทย และไม่มีแนวทางมวลชนมากพอ ที่สำคัญที่สุดคือ จุดยืนของผู้นำ, คณะนำ อยู่ที่ผลประโยชน์ของผู้นำ, คณะนำ ยิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนใช่หรือไม่อันจะทำให้การนำดำเนินไปในทิศทางที่เป็นอุปสรรคความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนของพลังก้าวหน้าของประชาชน


ดิฉันคิดว่าบทเรียนการรวมศูนย์มากกว่าประชาธิปไตยในพรรค เสี่ยงต่อการรล่มสลายของพรรคนั้น ๆ แม้ว่าการรวมศูนย์จะทำให้ขับเคลื่อนได้เร็วและดูดี แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ถ้าจุดยืนยังอยู่ที่ผู้นำ, หมู่คณะและพรรค ยิ่งกว่าประเทศชาติประชาชน โอกาสที่จะนำพรรคไปในทิศทางผิดและล่มสลายก็เป็นไปได้สูง


ดิฉันคิดว่าระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ถ้าจะเอามาใช้ในพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาปัจจุบัน ควรเน้นที่ประชาธิปไตยและแนวทางมวลชน ยิ่งกว่าการรวมศูนย์ที่แข็งตัว ไม่เชื่อก็รวมศูนย์แบบเผด็จการชนชั้น (?) ต่อไป


ถ้ามีแต่สั่งลงมา ไม่มีสถานีรับขึ้นไปดีพอ ก็คงล่มสลายสักวัน เพราะไม่มีใครเก่งจริง ๆ ดีจริง ๆ เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจริงตลอดไป


สำหรับพรรคปฏิวัติ เขามีระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ที่ถือเป็นเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ แต่ถ้าใช้ประชาธิปไตยรวมศูนย์กับพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน หรือชนชั้นนำจารีต อาจกลายเป็นเผด็จการของชนชั้น?  เจ้าของพรรคนั้น ๆ ก็ได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #พคท #พรรคการเมือง