อ.ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
บทเรียนบางประการในการรำลึกวันก่อตั้ง “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย”
1 ธ.ค. 2485
ความจริง
พคท. ถือได้ว่ายุติบทบาทการนำโดยสิ้นเชิง เมื่อ “ธง แจ่มศรี”
ยุติบทบาทเลขาธิการพรรคในปี 2553 เมื่อมีความแตกแยกแตกต่างในองค์กรนำ
จนอยู่ในภาวะที่ไม่อาจสร้างเอกภาพการนำได้ อาจถือว่าเกิดล่มสลายเมื่อพรรคมีอายุ 68
ปี แต่การยุติบทบาทในการต่อสู้ด้วยอาวุธก็มีก่อนหน้านั้นประมาณ 20 ปี
การยุติการเป็นองค์กรนำการปฏิวัติโดยพฤตินัย เกิดขึ้นหลังสมัชชา 4 เป็นลำดับมา
แม้มีความพยายามสร้างภาวการณ์นำในสถานการณ์ใหม่ที่แตกร้าวในหมู่สหายประชาชนคืนเมือง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา
แน่นอนว่ามีปัจจัยองค์ประกอบต่าง
ๆ ที่ทำให้เกิดการล่มสลายของพรรคปฏิวัตินี้ ทั้งปัจจัยภายในองค์กรพรรค
และปัจจัยภายนอก ซึ่งมีความหนักหน่วงทั้ง 2 กรณี
ดิฉันอยากพูดเฉพาะบทเรียนบางบทเรียนทางปัจจัยภายในที่สำคัญคือ
ระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ของพคท. ซึ่งมีโครงสร้างการนำสูงสุด เป็นกรมการเมือง
(โปลิตบูโร) นำโดยเลขาธิการใหญ่พคท. รองลงมาคือคณะกรรมการบริหารกลาง
ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกกรมการเมือง (ตามทฤษฎี) และที่มาของคณะกรรมการบริหารกลางมา จากการประชุมโหวตคัดเลือกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรค
ซึ่งจริง ๆ สมัชชา 4 เป็นสมัชชาสุดท้าย ส่วนหลังจากนั้นมีความพยายามประชุมสมัชชา 5
เพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารกลางชุดใหม่ ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากมวลสมาชิกและสังคม
ยังมีความพยายามอีกสายหนึ่งที่พยายามตั้งพคท.ใหม่ ก็ยากที่จะมีคนยอมรับในฐานะพรรคปฏิวัติใหม่ได้
แต่จะถือเป็นการรวมตัวตั้งกลุ่มอดีตสหายแข่งกันก็ว่าได้
ภาวะการนำโดยกรมการเมืองจึงเป็นองค์กรนำสูงสุด
ถ้าระยะเวลาประชุมสมัชชาห่างมาก เช่น สมัชชา 4 หลังสมัชชา 3 นานกว่า 20 ปี
สภาวะการนำของกรมการเมืองจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง
ทำให้การนำมีปัญหาเรื่องประชาธิปไตยในพรรค มีแต่การรวมศูนย์การนำที่มีปัญหาทั้งทฤษฎี
การปฏิบัติ และความเป็นจริงของสังคมไทยและสังคาโลก
ที่องค์กรนำไม่อาจตามทันสถานการณ์ ก่อให้เกิดภาวะการนำรวมศูนย์ที่ผิด ๆ
นี่คือการล่มสลายของพรรคปฏิวัติพรรคเดียวที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุด
ดิฉันอยากพูดถึงพรรคการเมืองไทยก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติในปัจจุบัน
แต่มีการนำที่รวมศูนย์อยู่ที่คน ๆ เดียว หรือคณะนำ และไม่ปรับปรุงภาวะการนำได้เร็วพอให้ทันสถานการณ์
หมายถึงทั้งองค์ความรู้ด้านทฤษฎี ด้านข้อมูล สถานการณ์ สังคมไทย
และไม่มีแนวทางมวลชนมากพอ ที่สำคัญที่สุดคือ จุดยืนของผู้นำ, คณะนำ
อยู่ที่ผลประโยชน์ของผู้นำ, คณะนำ ยิ่งกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนใช่หรือไม่อันจะทำให้การนำดำเนินไปในทิศทางที่เป็นอุปสรรคความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนของพลังก้าวหน้าของประชาชน
ดิฉันคิดว่าบทเรียนการรวมศูนย์มากกว่าประชาธิปไตยในพรรค
เสี่ยงต่อการรล่มสลายของพรรคนั้น ๆ แม้ว่าการรวมศูนย์จะทำให้ขับเคลื่อนได้เร็วและดูดี
แต่ก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว ถ้าจุดยืนยังอยู่ที่ผู้นำ, หมู่คณะและพรรค
ยิ่งกว่าประเทศชาติประชาชน โอกาสที่จะนำพรรคไปในทิศทางผิดและล่มสลายก็เป็นไปได้สูง
ดิฉันคิดว่าระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์
ถ้าจะเอามาใช้ในพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาปัจจุบัน
ควรเน้นที่ประชาธิปไตยและแนวทางมวลชน ยิ่งกว่าการรวมศูนย์ที่แข็งตัว
ไม่เชื่อก็รวมศูนย์แบบเผด็จการชนชั้น (?) ต่อไป
ถ้ามีแต่สั่งลงมา
ไม่มีสถานีรับขึ้นไปดีพอ ก็คงล่มสลายสักวัน เพราะไม่มีใครเก่งจริง ๆ ดีจริง ๆ
เป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจริงตลอดไป
สำหรับพรรคปฏิวัติ
เขามีระบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ที่ถือเป็นเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ
แต่ถ้าใช้ประชาธิปไตยรวมศูนย์กับพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของชนชั้นนายทุน
หรือชนชั้นนำจารีต อาจกลายเป็นเผด็จการของชนชั้น? เจ้าของพรรคนั้น ๆ ก็ได้
