“สุรเชษฐ์”
จับตาดีลสัมปทานทางด่วนรอบล่าสุด อ้างลดค่าใช้จ่ายประชาชนบังหน้า
แท้จริงจงใจขยายสัมปทานเอื้อนายทุน-ลากยาวข้ามศตวรรษโดยไร้การแข่งขัน จี้
“พิพัฒน์” ทบทวน
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ที่สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Double
Deck ทางด่วนชั้นที่ 2 ผลประโยชน์ของชาติ
หรือของใคร” โดยช่วงหนึ่งกล่าวถึงกรณีพิพัฒน์ รัชกิจประการ
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เปิดเผยว่ามีแนวคิดจะลดค่าทางด่วนทุกสายให้ไม่เกิน 50 บาท
ตั้งเป้าเริ่มใช้ภายในปีใหม่นี้
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องแลกกับการขยายสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่
2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ที่ดำเนินการโดย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM
ออกไป จากที่จะหมดอายุสัมปทานในอีก 10 ปีข้างหน้า
ขยายไปอีก 22 ปี 5 เดือน
จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2601
สุรเชษฐ์กล่าวว่า
นี่เป็นอีกครั้งของความพยายามขยายสัมปทานเพื่อเอื้อนายทุนโดยยกเรื่องการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนมาบังหน้า
ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยมาถึงรัฐบาลภูมิใจไทย
แม้การลดค่าทางด่วนจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเฉพาะหน้าได้จริง
แต่สิ่งที่รัฐบาลพูดไม่หมดและไม่พูดอย่างตรงไปตรงมากับประชาชน
คือภายใต้ดีลที่ดูเหมือนจะดีนี้ เอกชนไม่ได้ลดราคาให้ฟรี
รัฐบาลย่อมต้องมีอะไรไปแลก
และการแลกนั้นกระทบอย่างไรต่อผลประโยชน์ของประชาชนและผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว
ตั้งแต่อนาคตใหม่ มาเป็นก้าวไกล
มาถึงพรรคประชาชน เรายืนยันเสมอว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนี้ โดยมีข้อสังเกตคือ
(1) สัมปทานคือสัญญา
ในระหว่างสัญญาควรปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา เมื่อหมดสัญญาก็ควรจะจบ
ให้โครงสร้างของทางด่วนกลับมาเป็นของรัฐ
ซึ่งจะทำให้รัฐมีทางเลือกมากขึ้นว่าจะบริหารจัดการอย่างไร
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน จะบริหารเองหรือเปิดให้เอกชนรายอื่นเข้ามาประมูลแข่งขันบนกติกาที่โปร่งใสและเป็นธรรม
การขยายอายุสัมปทานออกไป
จะทำให้รัฐบาลชุดหน้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือค่าผ่านทางได้ง่ายนักแม้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
จนกว่าจะหมดอายุสัมปทานใหม่
(2) หากรัฐบาลอ้างว่าการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนรอไม่ได้
ความจริงแล้วรัฐบาลสามารถลดค่าทางด่วนได้เลยไม่จำเป็นต้องขยายสัมปทานให้เอกชนรายใด
เช่นให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ช่วยอุดหนุน
ดังนั้นต้องย้อนถามว่าโจทย์ที่แท้จริงของรัฐบาลคืออะไรกันแน่
หากต้องการลดค่าทางด่วนให้ประชาชน ก็ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายสัมปทานให้เอกชน
แต่รัฐบาลก็ไม่เลือกวิธีนี้ กลับเลือกจะประเคนผลประโยชน์แก่นายทุน
ไปติดตามจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP)
ได้ว่าสัปดาห์ที่แล้วประชุมวางพ่วงกับโครงการ Double Deck ด้วยหรือไม่
“หากดีลนี้สำเร็จ
คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือเอกชนเจ้าเดิม ที่จะครองสัมปทานนี้ยาวข้ามศตวรรษไปถึงปี 2601
โดยไม่มีการแข่งขัน
ประชาชนต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้เห็นทางเลือกใหม่ๆ ในการบริหารจัดการทางด่วน เช่น
การไม่เก็บค่าผ่านทางในเวลากลางคืนเพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น
เป็นต้น ถือเป็นการแช่แข็งการพัฒนาเพราะถูกโซ่สัมปทานล่ามเอาไว้ จึงขอให้ รมว.คมนาคม
ที่กำลังจะพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน
ทบทวนเรื่องอย่างรอบด้านโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
ไม่ใช่ผลประโยชน์ของนายทุนกลุ่มใด
โดยหากตั้งใจจะลดค่าผ่านทางให้ประชาชนจริงก็อย่านำเรื่องขยายสัมปทานไปพ่วง”
#UDDNEWS
#ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สัมปทานทางด่วน



