วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“สุรเชษฐ์” จับตาดีลสัมปทานทางด่วนรอบล่าสุด อ้างลดค่าใช้จ่ายประชาชนบังหน้า แท้จริงจงใจขยายสัมปทานเอื้อนายทุน-ลากยาวข้ามศตวรรษโดยไร้การแข่งขัน จี้ “พิพัฒน์” ทบทวน


สุรเชษฐ์” จับตาดีลสัมปทานทางด่วนรอบล่าสุด อ้างลดค่าใช้จ่ายประชาชนบังหน้า แท้จริงจงใจขยายสัมปทานเอื้อนายทุน-ลากยาวข้ามศตวรรษโดยไร้การแข่งขัน จี้ “พิพัฒน์” ทบทวน


วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ที่สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมเสวนาหัวข้อ “Double Deck ทางด่วนชั้นที่ 2 ผลประโยชน์ของชาติ หรือของใคร” โดยช่วงหนึ่งกล่าวถึงกรณีพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่ามีแนวคิดจะลดค่าทางด่วนทุกสายให้ไม่เกิน 50 บาท ตั้งเป้าเริ่มใช้ภายในปีใหม่นี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องแลกกับการขยายสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ที่ดำเนินการโดย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ออกไป จากที่จะหมดอายุสัมปทานในอีก 10 ปีข้างหน้า ขยายไปอีก 22 ปี 5 เดือน จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2601


สุรเชษฐ์กล่าวว่า นี่เป็นอีกครั้งของความพยายามขยายสัมปทานเพื่อเอื้อนายทุนโดยยกเรื่องการลดค่าใช้จ่ายของประชาชนมาบังหน้า ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยมาถึงรัฐบาลภูมิใจไทย แม้การลดค่าทางด่วนจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเฉพาะหน้าได้จริง แต่สิ่งที่รัฐบาลพูดไม่หมดและไม่พูดอย่างตรงไปตรงมากับประชาชน คือภายใต้ดีลที่ดูเหมือนจะดีนี้ เอกชนไม่ได้ลดราคาให้ฟรี รัฐบาลย่อมต้องมีอะไรไปแลก และการแลกนั้นกระทบอย่างไรต่อผลประโยชน์ของประชาชนและผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว


ตั้งแต่อนาคตใหม่ มาเป็นก้าวไกล มาถึงพรรคประชาชน เรายืนยันเสมอว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนี้ โดยมีข้อสังเกตคือ


(1) สัมปทานคือสัญญา ในระหว่างสัญญาควรปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา เมื่อหมดสัญญาก็ควรจะจบ ให้โครงสร้างของทางด่วนกลับมาเป็นของรัฐ ซึ่งจะทำให้รัฐมีทางเลือกมากขึ้นว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน จะบริหารเองหรือเปิดให้เอกชนรายอื่นเข้ามาประมูลแข่งขันบนกติกาที่โปร่งใสและเป็นธรรม การขยายอายุสัมปทานออกไป จะทำให้รัฐบาลชุดหน้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือค่าผ่านทางได้ง่ายนักแม้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน จนกว่าจะหมดอายุสัมปทานใหม่


(2) หากรัฐบาลอ้างว่าการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนรอไม่ได้ ความจริงแล้วรัฐบาลสามารถลดค่าทางด่วนได้เลยไม่จำเป็นต้องขยายสัมปทานให้เอกชนรายใด เช่นให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ช่วยอุดหนุน ดังนั้นต้องย้อนถามว่าโจทย์ที่แท้จริงของรัฐบาลคืออะไรกันแน่ หากต้องการลดค่าทางด่วนให้ประชาชน ก็ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายสัมปทานให้เอกชน แต่รัฐบาลก็ไม่เลือกวิธีนี้ กลับเลือกจะประเคนผลประโยชน์แก่นายทุน ไปติดตามจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ได้ว่าสัปดาห์ที่แล้วประชุมวางพ่วงกับโครงการ Double Deck ด้วยหรือไม่


หากดีลนี้สำเร็จ คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือเอกชนเจ้าเดิม ที่จะครองสัมปทานนี้ยาวข้ามศตวรรษไปถึงปี 2601 โดยไม่มีการแข่งขัน ประชาชนต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้เห็นทางเลือกใหม่ๆ ในการบริหารจัดการทางด่วน เช่น การไม่เก็บค่าผ่านทางในเวลากลางคืนเพื่อให้ประชาชนเดินทางได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เป็นต้น ถือเป็นการแช่แข็งการพัฒนาเพราะถูกโซ่สัมปทานล่ามเอาไว้ จึงขอให้ รมว.คมนาคม ที่กำลังจะพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ทบทวนเรื่องอย่างรอบด้านโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ผลประโยชน์ของนายทุนกลุ่มใด โดยหากตั้งใจจะลดค่าผ่านทางให้ประชาชนจริงก็อย่านำเรื่องขยายสัมปทานไปพ่วง”

 

#UDDNEWS #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สัมปทานทางด่วน