"ทนายอั๋น" บุก. กกต. ส่องไฟหาความยุติธรรม ขอพบ "แสวง
บุญมี" เลขา กกต. หลังให้ข่าวคดี "ศักดิ์สยาม"
ไม่เป็นเหตุยุบพรรคภูมิใจไทย มองพฤติกรรมเหมือนเป็นทนายแก้ต่างพรรค
วันนี้
(2 ตุลาคม 2567) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์
พร้อมมวลชนจำนวนหนึ่งเดินทางมา กกต. เพื่อทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์หลังนายแสวง บุญมี
เลขาธิการกกต.ให้สัมภาษณ์ระบุว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
ถือหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีการบริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย
ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรค
โดยนายภัทรพงศ์
ได้นำไฟฉายมาฉายพร้อมเปิดเดินมาโดยระบุว่า "ที่
กกต.มันมืดมนไม่เห็นแสงสว่างแห่งความยุติธรรม
จึงต้องชวนพี่น้องที่เห็นเหมือนกันมาฉายไฟฉายที่นี่"
พร้อมทั้งนำแผนภาพแสดงที่มาที่ไปของเงิน
หจก.บุรีเจริญฯ ที่บริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทย
และเห็นว่าสามารถเอาผิดยุบพรรคภูมิใจไทยได้ นำมาประกอบการแถลงข่าว
นายภัทรพงศ์
ได้กล่าวด้วยว่า ยื่น กกต.ขอให้พิจารณายุบพรรคภูมิใจไทยวันที่ 19 ม.ค. 2567
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสั่งให้ในศักดิ์สยาม
พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากให้นอมินีไปถือหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯ
หลังจากนั้น 1 เดือนนายเรืองไกร มายื่นยุบพรรคก้าวไกล
และวันนี้ กกต.ยื่นยุบพรรคก้าวไกลจนพรรคกลายเป็นฝุ่นและมีการตั้งพรรคใหม่ไปแล้ว แต่กับพรรคภูมิใจไทยหลังตนยื่นคำร้อง
ได้มาติดตามความคืบหน้าถึง 3 ครั้ง ล่าสุดคือเมื่อวันที่ 27
ก.ย.67 มายื่นทวงถาม
และบอกว่าหากล่าช้าก็จะยื่นฟ้อง กกต.
แต่อยู่ดี
ๆ นายแสวง ซึ่งไม่เคยพูดกรณีนี้มาก่อนเลย
กลับให้สัมภาษณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในคดีของนายศักดิ์สยาม
ไม่เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคภูมิใจไทย และบอกว่าไม่มีหน่วยงานไหนที่ชี้ว่า
เงินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯบริจาคเข้าพรรคภูมิใจไทยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งตนเห็นแย้ง
เพราะ หจก.บุรีเจริญฯ ให้นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ เป็นนอมินีถือหุ้นแทน
และระหว่างปี 2562
- 2565 นายศักดิ์สยาม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
และหจก.บุรีเจริญ ได้งานสร้างถนนจากกระทรวงคมนาคม รวม 53 โครงการ
มูลค่ารวม 2,200 กว่าล้านบาท
โดยพบว่าเงินดังกล่าวมีการนำไปบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่นายศักดิ์สยาม
เป็นรองหัวหน้าพรรคอยู่ โดยปี 2562 บริจาคเงิน 2 ครั้งรวม 7.5 ล้านบาท และปี 2565 บริจาคเพิ่ม 6 ล้านบาท รวม 13 ล้านบาทเศษ
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนว่า หจก.บุรีเจริญฯ เป็นของนายศักดิ์สยาม
มาโดยตลอด
รวมทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า
ทำไมก่อนปี 62
บริษัทนี้ไม่บริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย แต่พอนายศักดิ์สยาม
โอนหุ้นให้กับนายศุภวัฒน์ กลับมีการบริจาคถึง 13 ล้านบาท
ซึ่งเป็นข้อพิรุธข้อสงสัย ซึ่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 72 บัญญัติห้ามมิให้พรรคการเมือง
และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน โดยรู้หรือควรรู้
ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำไมนายแสวง
ไม่อ่านกฎหมายมาตรานี้
"เงิน 2,200 ล้านบาท ที่ หจก.บุรีเจริญ
ได้มาจากกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม นั่งเป็นรัฐมนตรี
ผมอาจไม่ต้องพูดว่าเงินนั้นชอบหรือไม่ชอบด้วย
แต่อย่างน้อยมันควรมีเหตุสงสัยหรือไม่ ข้อความเหล่านี้ขอโทษเถอะครับ
นายแสวงไม่พูดเลยหรือ พูดแต่ว่าการที่จะยุบพรรคการเมือง
เงินบริจาคต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่หน้าที่ของกกต.คือการรวบรวมข้อมูลหลักฐานแล้วส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญทำการวินิจฉัย
แต่พฤติการณ์ของนายแสวง กลับเป็นทนายความแก้ต่างให้กับพรรคภูมิใจไทย
วันนี้ผมจึงต้องนำใบแต่งตั้งทนายความให้พรรคภูมิใจไทย แต่งตั้งนายแสวง
เป็นทนายความเสียเลย" นายภัทรพงศ์ กล่าว
นายภัทรพงศ์
ได้ชูภาพใบแต่งตั้งทนายความจำลองที่นำมามอบให้กับนายแสวงและกล่าวว่า
ก่อนหน้าที่นายแสวงจะให้สัมภาษณ์ ตนร่างคำฟ้องที่จะฟ้อง กกต.
ซึ่งคิดว่าการฟ้องอาจจะมีน้ำหนักน้อย เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาหลักฐานที่ไหนมาชี้ว่า
กกต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร
แต่เมื่อนายแสวงให้สัมภาษณ์เช่นนี้
จึงขอท้าให้นายแสวง แน่จริงทำความเห็นเสนอวันนี้เลยว่าไม่ยุบพรรคภูมิใจไทยแล้ว
ถ้าภายใน 7
วันหลังจากนั้นตนไม่ไปยื่นฟ้องนายแสวง และ กกต.
ให้มาเรียกตนว่าเป็นหมาได้เลย
นายภัทรพงศ์
ยังยกตัวอย่างคดีฉ้อโกงทองของแม่ตั๊ก เปรียบเทียบว่าเงินที่แม่ตั๊กได้มา
หากแม่ตั๊กไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินเหล่านั้นได้มาอย่างไร โดยชอบหรือไม่ ปปง.
สั่งริบเงินเข้าเป็นของหลวง แต่ทำไมเงินค่างานที่ หจก.บุรีเจริญฯ
ได้จากกระทรวงคมนาคม 2,200
ล้านบาท นายแสวงกลับจะมาบอกว่าเป็นเงินที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งที่คนที่มีหน้าที่ตอบจริง ๆ คือนายศักดิ์สยาม และ หจก.บุรีเจริญฯ
แต่วันนี้นายแสวงกลับทำแทนเสียทุกอย่าง
แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าอย่ามาว่าตนเลยเพราะขณะนี้ย้ายสำมะโนครัวมาเป็นคนกรุงเทพฯแล้ว
ก็ตอนนี้นายแสวง เป็นเสี่ยแสวงมีเงินตั้ง 47 ล้านบาท
จะเกษียณปีหน้าจะอยู่บ้านนอกเซาะกราวทำไม
ก็ไปใช้ชีวิตหรูอยู่สบายที่กรุงเทพฯดีกว่า
จากนั้นนายภัทรพงศ์
ได้ไปยื่นเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ กกต.โดยแจ้งว่าต้องการขอพบนายแสวงสัก 5 นาที
แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าต้องทำหนังสือขอเข้าพบยื่นล่วงหน้ามาก่อน
โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานงาน
และมีผู้อำนวยการสำนักบริหารทั่วไปลงมาเพื่อที่จะรับเรื่อง แต่นายภัทรพงศ์
ระบุว่าไม่ได้มายื่นร้องเรียน แต่ต้องการยื่นใบแต่งตั้งทนายความจำลองมาให้ถึงมือนายแสวง
ซึ่งทาง ผอ.ระบุว่ามีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนเท่านั้น ไม่สามารถรับเอกสารอื่นได้
นายภัทรพงศ์
จึงได้ฝากใบแต่งตั้งทนายความดังกล่าวให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับร้องเรียนแทน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทนายอั๋น #กกต #ภูมิใจไทย #แสวงบุญมี