รศ.พวงทอง
ภวัครพันธุ์ : ภาพรวมที่ดินและธุรกิจกองทัพ เสวนา “ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย :
การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ”
เมื่อวันที่
12 ตุลาคม 2567 ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎรจัดงานเสวนา “ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย :
การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ”
รศ.พวงทอง
ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และกรรมาธิการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพฯ กล่าวในหัวข้อ “ภาพรวมที่ดินและธุรกิจกองทัพ”
ระบุว่า แม้กองทัพจะดูเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่ในความเป็นจริงมีการบริหารจัดการธุรกิจอย่างต่างคนต่างทำสูง หน่วยงานหลักทั้ง 5 มีอาณาจักรธุรกิจของตัวเอง
ถือคนละบัญชี ไม่มีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างดูแลผลประโยชน์ของตัวเองไป
ปัญหาของการมีอาณาจักรธุรกิจที่แยกกันทำคือบางครั้งเกิดความซ้ำซ้อนกัน
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดถึงธุรกิจกองทัพก็คือที่ดิน
เป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้กองทัพสามารถทำธุรกิจสารพัดชนิดได้ ทั้งสนามกอล์ฟ
ปั๊มน้ำมัน โรงแรม รีสอร์ท การขายน้ำไฟให้ประชาชน ฯลฯ คำว่าที่ดินของกองทัพนี้
ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ของกองทัพเองแต่เป็นที่ดินราชพัสดุในการดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
โดยที่ราชพัสดุนี้อยู่ในความครอบครองกองทัพมากที่สุดถึง 5.8 ล้านไร่
ผู้ครอบครองมากที่สุดคือกองทัพบก คิดเป็นจำนวนถึง 45.5% และเมื่อรวมกับที่ดินส่วนอื่น
ๆ ทั้งที่เป็นพื้นที่ป่าสงวนในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ และที่ดิน ส.ป.ก.
ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยเข้าไปด้วย กองทัพก็จะมีที่ดินรวมกันถึง 6.5
ล้านไร่
รศ.พวงทอง
กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจของกองทัพนั้นสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้ 3 หมวดใหญ่ด้วยกัน
คือ กองทุนสวัสดิการ เงินนอกงบประมาณ และการลงทุนในบริษัทจำกัด
โดยในส่วนของกองทุนสวัสดิการสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือ 1) สวัสดิการภายใน
ที่มุ่งเน้นให้บริการกำลังพลหรือครอบครัวของกองทัพโดยรายได้ทั้งหมดไม่ต้องส่งคืนกระทรวงการคลัง
ภายใต้กฎหมายที่กำกับดูแลคือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และ 2) สวัสดิการเชิงธุรกิจ ที่ผู้ใช้บริการมากกว่า 50% เป็นบุคคลภายนอกไม่แตกต่างจากที่เอกชนทำ
เป็นส่วนที่ตามกฎหมายต้องแบ่งรายได้ให้กรมธนารักษ์ โดยสวัสดิการภายในมีทั้งหมด 277
กิจการ สวัสดิการเชิงธุรกิจมี 161 กิจการ
รวมทั้งหมดเป็น 438 กิจการ
แม้กองทุนสวัสดิการภายในจะเป็นสิ่งที่หน่วยงานรัฐอื่น
ๆ ก็มีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าสวัสดิการ สหกรณ์ออมทรัพย์ ร้านตัดผม ร้านอาหาร
ฯลฯ ไว้บริการบุคลากรภายในในราคาถูก แต่สิ่งที่กองทัพแตกต่างจากหน่วยงานอื่น คือ
มีธุรกิจแบบนี้จำนวนมาก หลายรายการมีการถือครองทรัพย์สินมูลค่าสูง
โดยเฉพาะที่ดินและธุรกิจที่หน่วยงานอื่นไม่มี
กมธ.ทหาร
กล่าวต่อว่า แม้สวัสดิการเชิงธุรกิจจะเป็นส่วนที่ตามกฎหมายกำหนดไว้ว่า
ต้องแบ่งรายได้ให้กรมธนารักษ์ แต่ที่ผ่านมากลับไม่เคยมีการปฏิบัติตามกฎหมายจริงเลย
จนกระทั่งเมื่อสี่ปีที่แล้วหลังเหตุกราดยิงที่นครราชสีมา
จึงทำให้มีการปรับปรุงการบริหารงานกองทัพให้เป็นไปตามกฎหมายยิ่งขึ้น แต่ 4 ปีผ่านไปก็ยังเหลืออีกกว่า
87 กิจการที่ยังทำข้อตกลงไม่เสร็จเสียที
สิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญของกองทุนสวัสดิการ
คือ กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบก
ไม่เคยให้ข้อมูลตัวเลขรายรับรายจ่ายและกำไรขาดทุนกับคณะกรรมาธิการฯ
เลยแม้แต่ครั้งเดียว เท่ากับว่ากองทัพกำลังทำกิจการเอง ทำบัญชีเอง ตรวจสอบบัญชีเอง
โดยที่การจัดทำงบประมาณการเงินและหมายเหตุประกอบงบประมาณการเงินที่ได้รับจากกองทัพบางส่วน
มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามมาตรฐานการสอบบัญชีทั้งของสำนักงบประมาณ
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือบริษัทเอกชน
สำหรับกรณีเงินนอกงบประมาณของกองทัพนั้น
สามารถแบ่งได้เป็นสองประเภท คือประเภทที่ 1 ที่ไม่ต้องส่งเงินให้กระทรวงการคลัง
แต่ยังมีสถานะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ประกอบด้วยกิจการ 9
กลุ่ม เช่น ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ โรงงานแบตเตอรี่ทหาร
โรงงานเภสัชกรรมทหาร เงินทุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โรงงานผลิตวัตถุระเบิดทหาร
โรงพยาบาลในสังกัดกองทัพ สถานศึกษาในสังกัดกองทัพ
และยังมีรายได้จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกและเมืองการบิน ซึ่งอยู่ในการดูแลของกองทัพเรือด้วย
เงินนอกงบประมาณประเภทนี้มีตัวเลขที่สูงมาก
ตัวเลขรวมปี 2565
มีจำนวนสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท
และเพิ่มขึ้นมาในปี 2568 เป็น 4.9 หมื่นล้านบาท
โดยเป็นตัวเลขรวมของเงินที่ยกมาจากปีก่อนหน้านี้บวกกับรายได้ที่ได้ในปีนั้นๆ
โดยหน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณมากที่สุดคือกองทัพบก
ซึ่งเป็นตัวเลขที่การใช้จ่ายค่อนข้างสม่ำเสมอ
แต่ไม่อาจทราบได้ว่าใช้จ่ายอะไรบ้างเนื่องจากไม่ยอมเปิดเผย
เงินนอกงบประมาณประเภทที่สอง
กระทรวงการคลังอนุญาตให้กองทัพสร้างเงินนอกงบประมาณประเภทใหม่ขึ้นมาได้
ซึ่งหน่วยงานอื่นไม่มี โดยกองทัพสามารถตั้งงบประมาณเอง อนุมัติเอง ทำบัญชีเอง
สอบบัญชีเองได้โดยไม่ต้องรายงานคนนอก
มีตัวอย่างสำคัญ
คือ กิจการวิทยุและโทรทัศน์ ททบ.5 ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีปัญหาที่สุดทั้งในแง่กฎหมายและความโปร่งใส
ซึ่งไม่ได้มีแค่สถานีโทรทัศน์ แต่ยังเป็นเจ้าของ MUX sinv สถานีที่ทำการส่งสัญญาณดิจิทัล
2 สถานีที่ให้บริษัทเอกชนมาเช่าคลื่นความถี่
หลายบริษัทโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงก็อาศัยการเช่าจาก ททบ.5 นี้
และยังมีจำนวนคลื่นวิทยุ FM/AM รวมกันถึง 196 คลื่น เป็นของกองทัพบกถึง 122 คลื่น
ซึ่งไม่มีตัวเลขรายรับรายจ่ายเช่นกัน
สำหรับกรณีการลงทุนในบริษัทจำกัดนั้น
กองทัพมีการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึง 8 บริษัทใหญ่
มีมูลค่ารวมกันถึง 1,400 ล้านบาท เช่น ธนาคารทหารไทยธนชาติ
ธนาคารกรุงเทพ บริษัทเกียรตินาคิน และบริษัททางด่วนและรถไฟกรุงเทพ
โดยสัดส่วนส่วนใหญ่ 82% อยู่ที่ธนาคารทหารไทย-ธนชาติ
และยังมีการลงทุนในบริษัทจำกัดที่มีนัยสำคัญสองบริษัท คือ บริษัท
อาร์ทีเอเอ็นเตอร์ไพรซ จำกัด และบริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด
ในกรณีหลังมีปัญหาประสิทธิภาพ 20 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้เลย
ปัญหา
คือ การที่กองทัพลงทุนกับบริษัทเอกชนเหล่านี้
ไม่มีกฎหมายอนุญาตหรือรองรับให้กระทรวงกลาโหมหรือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมไปดำเนินกิจการเชิงพาณิชย์หรือถือหุ้นบริษัทเอกชนได้
ถ้าจะทำต้องทำด้วยการจัดตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจในการควบคุมของกลาโหม หรือให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้น
แล้วให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานเหล่าทัพไปควบคุมกำกับดูแล
แต่ที่ผ่านมาเราพบว่ากองทัพและหน่วยงานในสังกัดกองทัพเข้าไปถือหุ้นในบริษัทเอกชนและตลาดหุ้นจำนวนมาก
และเวลาที่มีกำไรปันผลขึ้นมาก็ไม่มีใครทราบได้ว่ากำไรไปอยู่ที่ไหนและบริหารจัดการอย่างไร
เรื่องความโปร่งใสเป็นปัญหาใหญ่นำมาสู่คำถามเรื่องประสิทธิภาพและความไม่เป็นธรรม
กองทัพมักอ้างว่า รายได้เหล่านี้นำไปเลี้ยงดูกำลังพล
บางครั้งก็อ้างว่ากิจการบางอย่างทำให้กองทัพสามารถเลี้ยงตัวเองได้
แต่ความเป็นจริงกิจการเหล่านี้ดำเนินงานโดยใช้ทรัพยากรพื้นฐานของชาติ คือที่ดิน
อาคารสำนักงาน กำลังพล น้ำ ไฟ บางกิจการเข้าไปดูรายละเอียดจริงๆ แล้วขาดทุน
ที่ระบุว่าไม่ขาดทุนก็เพราะเอาเงินงบประมาณที่ตั้งขอจากรัฐมาบวกเข้ากับรายรับด้วย
“นี่คือการขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีข้อจำกัดโดยอาศัยทรัพยากรของชาติ
พอไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเราก็ตั้งคำถามได้ว่ารายได้ที่เป็นจริงน่าจะสูงมากกว่านี้หรือไม่
แล้วกองทัพต้องใช้เงินมากเพียงใดในนามของสวัสดิการภายในของกำลังพล
แต่เราก็ได้ยินข่าวบ่อยๆ ว่าทหารชั้นผู้น้อยถูกเบียดบังอย่างมาก
แล้วรายได้พวกนี้มันหายไปไหน” รศ.พวงทอง กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธทหาร #ธุรกิจกองทัพ