นพ.เหวง
โตจิราการ :
ความเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวในช่วงเหตุการณ์ 6ตุลา19 (ช่วงที่
2)
วงเสวนาในหัวข้อ
“เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น”
งาน
48 ปี 6ตุลาฯ กระจกส่องสังคมไทย
เมื่อวันที่
5 ตุลาคม 2567
ที่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ถ้าเราจะทำความเข้าใจ
6ตุลา19 ที่สำคัญที่สุดเราจะต้องทำความเข้าใจย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ทำการยึดอำนาจรัฐประหารในปี 2500 เพราะว่าหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจในปี
2500 แล้ว จอมพลสฤษดิ์ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ เขามีมาตรา 17
สามารถประหารชีวิตคนได้โดยไม่ต้องพิจารณาผ่านศาล
อย่างที่คุณศักดินา
ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการด้านแรงงาน และผู้ริเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ได้พูดเมื่อสักครู่นี้
กรรมกรก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรง ผมจำไม่ได้แล้วว่าค่าแรงขั้นต่ำเท่าไหร่
แต่วันหนึ่งไม่ถึง 10 บาทนะ สมัยโน้นไม่ถึง 10 บาท
เพราะฉะนั้นกรรมกรทุกข์ยากมากตลอดระยะเวลา 16 ปี เช่นเดียวกับชาวไร่ชาวนา
ราคาพืชผลทางการเกษตรถูกกดราคาอย่างต่ำเตี้ยติดดิน เรียกว่าขายขาดทุน
ชาวนามีแต่หนี้สิน ต้องกู้นายทุนนอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 2 บาทต่อวัน ชาวไร่ชาวนากับกรรมกรทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสตลอดระยะเวลา
16 ปี
หลังจากเกิดเหตุการณ์
14ตุลา16 ขึ้นแล้ว บรรยากาศเสรีภาพมันเบ่งบานทั่วทั้งประเทศไทย
ก็เลยทำให้มีกรรมกรต่อสู้เรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำเกือบจะทุกโรงงาน
เมื่อสักครู่คุณศักดินาได้บอกแล้วว่า ตลอดทั้งปีรู้สึกจะพันกว่ากรณี 3-4
พันเลยนะครับ ชาวไร่ชาวนาก็เหมือนกัน ทุกหนทุกแห่งเขาลุกขึ้นสู้เพื่อที่จะให้มีการประกันราคา
อย่างน้อยก็ซื้อในราคาที่ไม่ขาดทุน ขณะเดียวกันก็กดดอกเบี้ยให้ต่ำลงให้เท่ากับดอกเบี้ยมาตรฐานของธนาคาร
ฉะนั้น การเคลื่อนไหวของชาวนา/กรรมกรคึกคักมาก
ขณะเดียวกันนิสิตนักศึกษาก็เห็นความจำเป็นในการที่จะทุ่มโถมตัวเองไปรับใช้กรรมกรชานา
เพื่อที่จะผลักดันการต่อสู้ของกรรมกร/ชาวนา ยกระดับคุณภาพให้สูงขึ้น เช่นเอาความรู้ทางนิติศาสตร์ไป
เอาความรู้ต่าง ๆ ร่วมกันต่อสู้ ก็เลยทำให้พวกขวาจัดกลัวอย่างรุนแรง กลัวมากเลย
กลัวการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา ทั้ง ๆ
ที่การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาไม่ได้มีเป้าหมายในการที่จะสร้างสังคมคอมมิวนิสต์
ไม่ได้มีเป้าหมายในการสร้างสังคมนิยมเลย
แต่ต้องการที่จะช่วยเหลือทำให้ชีวิตของกรรมกร/ชาวไร่ชาวนาดีขึ้นเท่านั้นเอง
พวกขวาจัดก็เริ่มต้นในการที่จะหาทางทำลายนิสิตนักศึกษา
โดยการปั่นหัวนักเรียนอาชีวะ โดยใส่ร้ายป้ายสีนักเรียนนักศึกษาว่าพวกศนท.
พวกนักเรียนนักศึกษาจงใจในการใช้ให้นักเรียนอาชีวะไปตาย โดยที่พวกพี่ ๆ
นักศึกษาทั้งหลายเสวยสุข ก็คือเอาเงินบริจาคของประชาชนหลายสิบล้านไปถลุง ไปปรนเปรอ
ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ไปเที่ยวซ่องโสเภณี
ก็เลยทำให้นักเรียนอาชีวะจำนวนหนึ่งหลงเชื่อไปตามพวกขวาจัด
พวกขวาจัดก็เลยนำเอานักเรียนอาชีวะดังกล่าวเข้าไปฝึกในค่ายทหาร
และจัดตั้งเป็นกลุ่มกระทิงแดงขึ้นมา
กลุ่มกระทิงแดงมีหน้าที่อย่างเดียวก็คือพกปืนไปไล่ยิงนักศึกษาที่ไปติดโปสเตอร์เชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุม
ขณะเดียวกันพร้อม
ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์กรชาวนา การเคลื่อนไหวของสงครามอินโดจีนมันรุนแรงขึ้น
เมื่อสักครูผมได้เรียนไปในตอนต้นแล้ว มีฐานทัพอเมริกาในประเทศไทยถึง 12
แห่งด้วยกัน ที่อู่ตะเภา, ตาคลี, อุบลราชธานี, อุดรธานี, นครพนม, น้ำพอง ขอนแก่น,
สัตหีบ, ลพบุรี, เขื่อนน้ำพุง โคราช, กาญจนบุรี, ดอนเมือง กรุงเทพฯ กระจายไปเกือบทั่วประเทศ
ยกเว้นภาคใต้เท่านั้นเอง ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน เต็มไปหมด และการโจมตี 3
ประเทศอินโดจีนรุนแรงมาก จนทำให้แนวร่วมปลดปล่อยประชาชนเวียดนาม เขาเรียกว่าเวียดมินห์
ตอนนั้นยังไม่ได้ประกาศว่าเป็นคอมมิวนิสต์
เห็นว่ามีการโจมตีรุนแรงมากจากฐานทัพอุดรฯ ก็เลยส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเขา
มาเผาเครื่องบิน F16 ของอเมริกันที่ฐานทัพอุดร เพราะฉะนั้นกระแสมันก็ขึ้นสูงมาก
ท่านก็คงเห็นภาพว่าฝ่ายขวาเขาพยายามที่จะทำลายนิสิตนักศึกษาโดยตลอด
แต่ว่าเขายังไม่สบช่องโอกาสเหมาะ
นิสิตนักศึกษาก็เลยถือเอาเป้าในการที่จะขับไล่ฐานทัพอเมริกันเป็นเป้าหมายใหญ่เป้าหนึ่ง
นอกเหนือจากลงไปช่วยเหลือกรรมกร/ชาวนา พอวันที่ 4 ก.พ. 2518
ก็เลยนัดชุมนุมกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้ พร้อม ๆ
กันนั้นในสมัยรัฐบาลอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านก็เห็นว่าประชาชนทั้งประเทศเขามีความไม่พอใจกับฐานทัพ
อาจารย์คึกฤทธิ์ก็เลยเริ่มเจรจากับทางอเมริกันเพื่อขอร้องให้อเมริกันถอนฐานทัพออก
แล้วปรากฎว่าอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ประกาศต่อสาธารณะในครั้งแรกว่าจะให้อเมริกันถอนฐานทัพออกในวันที่
20 มี.ค. 2519
พอวันที่
4 ก.ค. 2518 ศูนย์นิสิตฯ
ก็นัดชุมนุมพี่น้องประชาชนทั่วทั้งประเทศเพื่อแสดงพลังว่าเราไม่ต้องการให้มีฐานทัพอเมริกันในประเทศไทย
แต่เป็นการชุมนุมในลักษณะที่เสนอคำขวัญหรือเสนอทิศทางเท่านั้นเอง
แต่พออาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าวันที่ 20 มี.ค. 2519 จะให้อเมริกันถอนฐานทัพทั้งหมด
นิสิตนักศึกษาและศนท.ก็เลยนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 20 มี.ค. ปรากฏว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านอาจจะมีความสามารถทางการเมืองสูง
ท่านก็เลยผ่อนปรน
ท่านอาจจะสัมผัสชีพจรการเคลื่อนไหวและความเกลียดชังของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้
ท่านก็เลยพยายามที่จะคุยกับอเมริกาให้ถอนไป
ในวันที่
20 มี.ค. ที่มีการชุมนุมใหญ่นั้นเอง อาจารย์คึกฤทธิ์ก็ออกมาบอกว่าขอเวลาสัก 4
เดือน ให้อเมริกันเขาถอนฐานทัพออก มันต้องใช้เวลาเพราะอาวุธมันเยอะแยะ
และคนก็เยอะแยะ ทำให้ศูนย์นิสิตฯ ก็รู้สึกไม่สบายใจ
นึกว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อาจจมีเล่ห์เหลี่ยมหรือมีกุศโลบายทางการเมืองอะไรหรือป่าว
วันนั้นก็เลยเคลื่อนขบวนจากสนามหลวงไปยังสถานทูตอเมริกันครั้งหนึ่ง คราวนี้พวกขวาจัด
อย่างที่ผมเรียน
เขาจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเถื่อนขึ้นมาเพื่อไล่เข่นฆ่านักศึกษาประชาชนอยู่แล้ว พอเคลื่อนขบวนผ่านสยามสแควร์เท่านั้นเอง
ระเบิดลงเลย จากกองกำลังติดอาวุธขวาจัดนั่นแหละ นักศึกษาตาย 4 ศพครับ แล้วก่อนหน้านั้นก็มาเผาหอประชุมใหญ่ที่นี่ฮะ
กระทิงแดงนี่แหละ เอาปืนเข้ามายิงแล้วมาเผาหอใหญ่ด้วย แต่พวกเราศูนย์นิสิตฯ
ก็ไม่ถอย
ก็เดินไปที่สถานทูตอเมริกันแล้วก็ติดแผ่นผ้าเพื่อเรียกร้องให้ถอนฐานทัพอเมริกันออกไปตามที่อาจารย์คึกฤทธิ์ให้คำมั่นสัญญาไว้
ก็ปรากฏว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษากดดันรัฐบาลคึกฤทธิ์
ขณะเดียวกันผมเชื่อว่าอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเก่ง
ท่านก็เลยสามารถที่จะนำเอาเหตุผลที่ประชาชนทั้งประเทศเกลียดชังฐานทัพอเมริกันมาก ๆ
ไปบอกอเมริกัน ก็เลยทำให้อเมริกันถอนฐานทัพในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2519 ครับ
ในปี
2519 ได้มีเหตุการณ์ใหญ่ของโลกเกิดขึ้นมากมาย คือกัมพูชาปลดปล่อยต้นเมษา
และเวียดนามก็ปลดปล่อยในปลายเมษา ก็เลยทำให้ฝ่ายขวาจัดกลัวมาก
เพราะอเมริกันเขาประกาศทฤษฎีโดมิโนไปทั่วประเทศ และคนทั้งโลกเชื่ออเมริกัน
คือโดมิโนหมายความว่าถ้ามีวัตถุตั้งอยู่และเรียง ๆ ๆ กันไป 5 หรือ 10 กิโลเมตร ถ้าวัตถุชิ้นแรกล้ม
วัตถุชิ้นต่อ ๆ ไปก็ล้มตามหมดเลย อเมริกันเขาบอกว่าถ้าเวียดนาม ลาว กัมพูชาเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อไร
ไทยเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อนั้น! พม่าเป็นคอมมิวนิสต์ต่อ
อินเดียเป็นคอมมิวนิสต์ต่อ ตะวันออกกลางเป็นคอมมิวนิสต์ต่อ ไปถึงยุโรปตะวันตก
และลงไปถึงอัฟริกา ทางใต้ก็ลงไปมาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ไปอินโดนีเซีย
ไปทวีปออสเตรเลียโน่นเลย ทำให้คนตกใจ ก็เลยที่จะพยายามหาทางทำลายขบวนการนิสิตนักศึกษา
พวกขวาเขารู้
พวกนี้เขาฉลาด ท่านทั้งหลายอย่าไปมองข้ามหรือดูเบาว่าพวกขวาเขาโง่ ไม่ใช่นะ เขาฉลาดมาก
เขารู้วิธีการในการที่จะขุดหลุมล่อให้นักศึกษาตกหลุมล่อแล้วก็ปิดหลุมและทำลายเลย
เขาก็เลยเอาจอมพลประภาสที่เข้ามา ปรากฏว่าครั้งแรกไม่สำเร็จ เพราะความไม่พอใจของพี่น้องประชาชนที่มีต่อ
สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ยังรุนแรงอยู่ เขาก็เลยพยายามอีกที
เอาจอมพลถนอมที่บวชเป็นเณรที่สิงคโปร์เข้ามาใหม่
อ้างว่ามาปรนนิบัติคุณพ่อที่อายุมากแล้ว คราวนี้เข้ามาสำเร็จ
นักศึกษาก็ชุมนุมกันที่สนามหลวงและมีการอภิปรายกันว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า
เพราะสนามหลวงเป็นที่โล่ง
และพวกกระทิงแดง/กองกำลังติดอาวุธเถื่อนเคยมาเผาหอประชุมใหญ่แล้ว
ถ้าชุมนุมกันที่สนามหลวงก็อาจจะเกิดโอกาสที่พวกนั้นจะปิดล้อมและสังหารประชาชนที่ไม่มีทางหนี
เลยย้ายเข้ามาชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อย่างที่คุณศักดินาพูดเมื่อสักตรู่นี้นะครับ คือเขาฆ่าพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(ชุมพรกับวิชัย) และแขวนคอด้วย
ตอนนั้นมันอื้อฉาวมากเลยว่าคนฆ่าสมัยโน้นเขาบอกว่าเป็นตำรวจ
ซ้อมจนน่วมแล้วเอาไปแขวนคอจนตาย
ทีนี้การเคลื่อนไหวของนักศึกษาทุกครั้งจะมีการแสดงละคร
พอย้ายเข้ามาในธรรมศาสตร์ก็มีการแสดงละคร
เพื่อที่จะเปิดโปงให้สาธารณชนทราบว่ามีพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่นครปฐมถูกแขวนคอกับกำแพงแดง
2 ศพ แต่รัฐบาลสมัยโน้นไม่สนใจในการที่จะจับคนร้าย ก็เลยมาแสดงละครประจาน ปรากฏว่ามีสื่อฯ
ขวาจัดคือ “ดาวสยาม” ไปแต่งภาพและใส่ร้ายป้ายสีหาว่านักศึกษาต้องการโค่นล้มสถาบันฯ
หาว่าในธรรมศาสตร์มีแกวแดง มีญวนแดง หาว่าในธรรมศาสตร์กินหมา
เพราะเขาบอกว่าพวกนั้นกินหมา มีรองเท้าทำด้วยยางรถยนต์ เขาบอกว่าพวกนั้นใช้ยางรถยนต์มาตัดเป็นรองเท้า
เที่ยวนี้เขาเลยประสบความสำเร็จ
แล้วก็เอากองกำลังติดอาวุธ ก็คือตำรวจตระเวนชายแดงที่ค่ายนเรศวร พร้อมอาวุธขนาดหนัก
กระสุนนัดแรกเลยเขาบอกกันว่าเป็น M79 ยิงเข้ามาในสนามหญ้า
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรงหน้าตึกนิติฯ
แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็มีปืนบาซูก้าเป็นปืนทำลายรถถังขนาดยักษ์
พร้อมกับอาวุธปืนทุกชนิดถล่มเข้ามาเลย
พอเข้ามาก็จับนักศึกษาคล้องคอด้วยผ้าพันคอลูกเสือชาวบ้านแล้วลากไปตามสนามหญ้า
(สนามฟุตบอล) แล้วกระทืบ ใช้ปืน M16 กระทุ้ง
บางคนก็ลากไปแขวนคอที่สนามหลวง ใช้ไม้ยาว ๆ ตีจนเสียชีวิต
เสียชีวิตแล้วก็ยังเอาเก้าอี้พับที่เป็นเหล็กตีอีกให้แกว่งไปแกว่งมา
นักศึกษาชายบางคนก็ถูกนำไปทับกัน 4 คน แล้วใช้ยางรถยนต์ทับลงไป 4-5 เส้น
ราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผา
คนที่อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อน
ๆ เราน่าสังเวชมาก ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด แล้วกลิ่นควันมันคละคลุ้งไปหมด
นักศึกษาหญิงถูกข่มขืน บางคนถูกข่มขืนจนตาย
ถ้าไม่ตายเขาก็ใช้ขวดน้ำอัดลมสมัยนั้นเป็นแก้ว ตีขอบฟุตบาทให้เป็นปากฉลาม
ขออนุญาตครับ แทงเข้าไปในช่องคลอดจนเสียชีวิตครับ
ในที่สุดนักศึกษาก็ถูกปราบจนเรียบและลงเอยด้วยยึดอำนาจรัฐประหาร 6ตุลา19 โดย
พลเอกสงัด ชะลออยู่
ผมขออนุญาตเพิ่มเติมตรงนี้นิดเดียวก็คือว่า
6ตุลา19 คณะรัฐประหารชุดนี้นี่แหละไปแก้กฎหมาย ม.112 ครับ
เพราะฉะนั้นในบรรดาคนทั้งหลายที่บอกว่า ม.112 แก้ไม่ได้ ไม่ใช่ครับ! ไม่ใช่ครับ! ไปดูซิครับ! แก้มาแล้วครับ คณะรัฐประหาร 6ตุลา19
แก้ครับ แล้วให้มันสาหัสยิ่งขึ้น เพราะมีโทษขั้นต่ำ 3 ปี โทษขั้นสูง 15 ปี
ขออนุญาตด้วยความเคารพ ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5
ซึ่งเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย ความผิด 112
ไม่มีโทษขั้นต่ำ โทษขั้นสูงแค่ 5 ปีครับ
เพราะฉะนั้น
พวกรัฐประหาร 6ตุลา19 ไปแก้ให้มันสาหัสยิ่งขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนเอง
ในสมัยนั้นก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นคอมมิวนิสต์