วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

นพ.เหวง โตจิราการ : เสวนาในหัวข้อ “เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น” ช่วงที่ 1 ประเด็น การต่อต้านจักรวรรดินิยมและทุนข้ามชาติ

 


นพ.เหวง โตจิราการ : เสวนาในหัวข้อ “เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น”


ในงาน 48 ปี 6ตุลาฯ กระจกส่องสังคมไทย

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567

ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์


ประเด็น การต่อต้านจักรวรรดินิยมและทุนข้ามชาติ (ช่วงที่ 1)


กราบสวัสดีพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม และต้องการหยุดการฆ่าประชาชนกลางเมืองอีกต่อไป ที่เคารพทุกท่าน วันนี้ผมมาร่วมกับท่านที่เคารพทั้งหลายด้วยจุดมุ่งหมายในการที่จะเรียนรู้จากอดีตเอามาใช้ในปัจจุบันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีงามให้กับประเทศไทย ให้กับประชาชนไทย ให้กับลูกหลานเหลนโหลนของเราสืบเนื่องต่อไปยาวไกลจนไม่มีที่สิ้นสุด พร้อม ๆ กับเป็นการเชิดชูสดุดีวีรกรรมของวีรชนและนักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนที่ได้ร่วมต่อสู้เพื่อทำลายล้างการกดขี่ข่มเหงขูดรีดลงไปให้หมดสิ้น เพื่อสร้างสังคมที่ประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยสูงสุดที่แท้จริงให้เกิดขึ้น เพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีความมั่งคั่งรุ่งเรืองไพบูลย์เฉกเช่นที่ วิสา คัญทัพ ได้เคยประพันธ์เป็นบทประพันธ์อันลือลั่นไว้ว่า


“ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ

ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป

เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่

เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”


แล้วผมก็หวังว่า “ท้องฟ้าสีทอง” ไม่น่าจะนานนะครับ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าก่อนผมตาย ผมน่าจะได้เห็นท้องฟ้าสีทองนะครับ หากว่าผมตายโดยยังไม่เกิดท้องฟ้าสีทองในประเทศไทย ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านทั้งหลายจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อสร้างท้องฟ้าสีทองให้เกิดขึ้นในประเทศไทยได้มั้ยครับ? ได้มั้ยครับ?


ประเด็นที่ผมได้รับมอบหมายให้พูด ผมต้องขอบคุณผู้จัดที่ให้เกียรติผม แต่ต้องกราบเรียนชื่นชมด้วยความเคารพว่าผมรับมาด้วยความหนักใจมาก เพราะประเด็นเรื่องจักรพรรดินิยมเป็นประเด็นที่ใหญ่มาก ถ้าจะพูดกันจริง ๆ ต้องพูดกันเป็นเดือน เพราะมันเป็นระยะยาวนานเลยทางประวัติศาสตร์ ทั้งประวัติศาสตร์โลกด้วย และประวัติศาสตร์ประเทศไทย นับเนื่องตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ผมไม่อยากจะถอยหลังไปถึงสมัยฝรั่งเศสหรืออาณานิคมแบบเก่า เอาล่ะ ผมจะสรุปให้มันสั้นที่สุด ผมจะเริ่มต้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ แล้วผมจะสั้นไปกว่านั้นอีกก็คือผมจะหยิบยกเฉพาะประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นเท่านั้นเองที่จะมากราบเรียนพี่น้องประชาชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพิธีกรคงจะอนุญาตให้ผมครบทั้ง 3 ประเด็น ผมจะให้สั้นที่สุด ประเด็นจักรพรรดินิยมผมจะฉายภาพ 3 ประเด็นสั้น ๆ ด้วยกัน ที่จริงมันเป็นเรื่องใหญ่นะ แต่ผมจะสรุปให้มันสั้นที่สุด


1) ก็คือ ไทยกลายเป็นฐานทัพของจักรพรรดินิยมอเมริกาในยุคสมัยนั้น แล้วก็มีค่ายที่อื้อฉาวหรือว่าโด่งดังก็ได้แล้วแต่ใครจะใช้ภาษา ที่โด่งดังที่สุดหรืออื้อฉาวที่สุดก็คือ “ค่ายรามสูร” นี่เป็นหัวข้อย่อยที่ 1 ที่ผมอยากจะนำมากราบเรียนให้พี่น้องประชาชนทั้งหลายได้รับทราบ


หัวข้อย่อยที่ 2) ก็คือกรณี “เรือมายาเกวซ (Mayaquez)” ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เคยได้ยิน บางท่านอาจจะเคยได้ยิน แต่ผมเชื่อว่าน้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ รุ่นใหม่จะไม่เคยได้ยินคำว่า เรือมายาเกวซ เรื่องนี้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีอธิปไตยของประเทศไทยอย่างรุนแรง


และเรื่องที่ 3) ก็คือ “เท็มโก้” นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่มากเหมือนกันที่ปลุกระดมประเทศไทยทั้งประเทศ ประชาชนทั้งประเทศ ลุกขึ้นมาต่อต้านจักรพรรดินิยม ผมเข้าสู่ประเด็นเลย


คือต้องเริ่มต้นที่จอมพลสฤษดิ์ แต่ผมก็เข้าใจ ในสมัยนั้นเป็นยุคสงครามเย็น มันเกิดสงครามระหว่างสองค่ายใหญ่ในโลกนี้ก็คือ “ค่ายเสรีนิยม” หรือเรียกว่าค่ายจักรพรรดินิยม โดยมีอเมริกาเป็นหัวหน้าใหญ่ กับ “ค่ายสังคมนิยม” หรือค่ายคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียตกับจีนแดงเป็นค่ายใหญ่ สงครามเย็นนี้มันสะท้อนเข้ามาในประเทศไทย สมัยนั้นจอมพลสฤษดิ์ก็มีความคิดขวาจัด เพราะเหตุการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนอินโดจีนที่ต้องการที่จะปลดปล่อยตัวเองจากจักรพรรดินิยม ทั้งจักรพรรดินิยมรุ่นเก่าที่เรียกว่าลัทธิล่าอาณานิคมแบบเก่ากับจักรพรรดินิยมรุ่นใหม่ เขาต่อสู้ของเขาเอง แต่จอมพลสฤษดิ์เห็นว่าเป็นภัยใกล้ตัว เพราะฉะนั้นจอมพลสฤษดิ์ก็เปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานทัพ


ที่จริงถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย กระทั่งคนรุ่นหลังไปเปิดดูประวัติศาสตร์ มีนักประวัติศาสตร์หลายคนเขียนถึงขนาดที่ว่าจอมพลสฤษดิ์เอาประเทศไทยไปเป็นมลรัฐที่ 51 ของจักรพรรดินิยมอเมริกันเสียด้วยซ้ำไป รูปธรรมที่แสดงออกก็คือว่ามีฐานทัพอเมริกันตั้งในประเทศไทยกระจายไปในอีสานในจังหวัดสำคัญทั้งหมด และภาคเหนือด้วย เพียงเพื่อที่จะเอาประเทศไทยเป็นที่จอดเครื่องบิน F16 ของสหรัฐอเมริกา ในวันนั้นมีคนเขาให้ตัวเลข บางท่านอาจจะไม่เห็นด้วยกับตัวเลขของผม แต่ตัวเลขที่ผมได้ค้นคว้ามาคือว่า อย่างน้อยที่สุดมี F16 550 ลำ ประจำการอยู่ในประเทศไทย แล้วถ้าหากว่านับเอาจำนวนทหารจีไอที่เข้ามาเหยียบย่ำประเทศไทย เพียงเพื่อที่ต้องการไปรบในประเทศอินโดจีน กระทั่งพวกอเมริกันเอง เยาวชนอเมริกันเองเขาตั้งคำถามบอก เอ๊ะ! เวียดนามอยู่ไหน? ลาวอยู่ไหน? กัมพูชาอยู่ไหน? ไม่รู้จักเลย เขาไม่อยากจะมารบ มีคนหนีทัพอยู่เยอะแยะ แต่อเมริกาก็ส่งเข้ามา ส่งจีไอเข้ามา มีคนไปรวมตัวเลข ตัวเลขที่ไม่เป็นที่ยุติ แต่หลายคนบอกว่าเป็นจำนวนหลายหมื่นเฉียดแสน อเมริกันเขาใช้ประเทศไทยเสมือนหนึ่งเป็นมลรัฐหนึ่งของเขาในการโจมตี 3 ประเทศอินโดจีนนับร้อยเที่ยวต่อวัน และมีคนเขาไปคำนวณปริมาณระเบิดที่ไปทิ้งในอินโดจีน เขารวม ๆ กันแล้วเขาบอกว่าจำนวนระเบิดทั้งหมดมากใกล้เคียงกับระเบิดที่อเมริกันและนาซีใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองทั้งหมดรวมกัน ท่านคิดดูก็แล้วกันนะครับ นี่มันมาใช้ฐานทัพในประเทศไทย


และที่สำคัญที่สุดก็คือ “ค่ายรามสูร” ความที่อเมริกันถือสหภาพโซเวียตและจีนแดงหรือค่ายคอมมิวนิสต์ เป็นค่ายที่ต้องสัประยุทธ์ ต่อสู้เพื่อทำลายล้างให้มันสูญสิ้นไปจากโลกนี้ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยมาตั้งค่ายที่ทันสมัยที่สุดน่าจะในโลกในตอนนั้น เพราะค่ายดังกล่าวเขาเรียกว่า “ค่ายรามสูร”


ในสมัยนั้นเขาพูดกันว่า ผมไม่ยืนยันนะครับ ผมอยู่ในสมัยนั้น ผมก็ได้รับคำบอกเล่ามาโดยตลอดจากผู้เชี่ยวชาญ เขาบอกว่าค่ายรามสูรทันสมัยถึงขนาดที่เข็มตกแม้เล่มเดียวในฮานอย หรือในไซ่ง่อน ค่ายรามสูรก็จับได้ เหตุผลที่อเมริกันมาตั้งค่ายรามสูรที่อุดรธานี ทั้งนี้เนื่องจากเขาต้องการที่จะจับความเคลื่อนไหวทางการทหารของสหภาพโซเวียตและจีนแดง ในการส่งยุทโธปกรณ์ทุกอย่าง กำลังพลด้วย เพราะอเมริกันเขาไม่รู้ว่ารู้มาจากไหน ว่ามีการส่งกำลังพลจากจีนแดงเข้ามาร่วมรบใน 3 ประเทศอินโดจีน แต่ความจริงเท่าที่ผมรับทราบมา ไม่ใช่! ประชาชน 3 ประเทศในอินโดจีนเขาต้องการที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากการยึดครองของจักรพรรดินิยมรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ รุ่นเก่าก็คือฝรั่งเศส รุ่นใหม่คืออเมริกา


“รามสูร” หลังจากที่สงครามอินโดจีนจบแล้ว ยังมีการใช้ค่ายรามสูรต่อ เป็นที่กักขังเชลยศึกของอเมริกา เริ่มมาซ้อมมาอะไรต่าง ๆ ตอนหลังสื่อสารมวลชนทั่วโลกเขาเปิดโปงอย่างรุนแรง ก็เลยต้องยุบค่ายรามสูรไป นี่คือเรื่องที่ 1 ท่านคงจะมองเห็นว่าภาพคร่าว ๆ แล้วนะครับว่า ตอนนั้นจอมพลสฤษดิ์นำเอาประเทศไทยไปเป็นมลรัฐที่ 51 เขาว่ากันอย่างนั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็สุดแล้วแต่ท่าน สามารถโต้แย้งกันได้ นี่เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เราโต้แย้งกันได้และผมยินดีที่จะรับฟัง


ประการที่ 2 คือ เรื่องเกี่ยวกับ “มายาเกวซ” อันนี้เป็นการเหยียบย่ำอธิปไตยของไทยอย่างรุนแรง เรื่องของเรื่องก็คือมีเรือสินค้าของอเมริกาลำหนึ่ง เขาใช้ชื่อว่าเรือ “มายาเกวซ” ขนสินค้าจากฮ่องกงมาจอดที่สัตหีบ ปรากฎว่าเขาแล่นท่าไหนไม่ทราบไปเฉียดน่านน้ำของกัมพูชา ซึ่งในขณะนั้นกัมพูชาเขาปลดปล่อยแล้ว เป็นคอมมิวนิสต์ พอไปละเมิดน่านน้ำกัมพูชา กัมพูชาก็ยึดเลย บนเรือลำนั้นมีลูกเรืออเมริกาอยู่ 39 คน อเมริกันโกรธอย่างรุนแรงควันออกหูเลยครับ


อเมริกันระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อช่วงชิงไปยึดเอาเรือมายาเกวซคืนมา เขาเลยใช้กำลังนาวิกโยธินจากโอกินาวาและอ่าวซูบิคจำนวนพลประมาณ 1,000 นาย และใช้ฐานทัพอู่ตะเภาเป็นฐานในการเคลื่อนกำลังทหาร พร้อมกับใช้เครื่องบินรบมาจากฐานทัพโคราชกับฐานทัพอุดร ร่วมกันยึดเรือมายาเกวซคืนมา เรือมายาเกวซเดินทางออกจากฮ่องกงประมาณวันที่ 12 พ.ค. 2518 เวลาประมาณ 15.20 น. แล้วโดนยึดก็ประมาณเวลานั้นน่ะครับ ต่อมาอเมริกันก็พยายามยึดกลับ ระดมสรรพกำลังในวันที่ 13 พ.ค. วันที่ 14 อเมริกันยึดสำเร็จ ยึดเรือมายาเกวซสำเร็จ


นี่เป็นความภาคภูมิใจของอเมริกันมาก แต่มันเป็นความเสียหายอย่างยับเยินของพี่น้องประชาชนไทยทั้งประเทศ เพราะว่าใช้ไทยเป็นฐานในการยึดเรือมายาเกวซ อเมริกันใช้นาวิกโยธินประมาณ 1,000 นาย อันนั้นก็เลยทำให้ศูนย์นิสิตฯ เห็นว่าเป็นเรื่องที่เหยียบย่ำอธิปไตยของประเทศไทยอย่างรุนแรง ศูนย์นิสิตฯ ก็จัดการชุมนุมขึ้นเพื่อต่อต้านเรือมายาเกวซ


แต่ว่าตอนนั้นรัฐบาลสมัยนั้นคือรัฐบาลอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านก็ไม่พอใจ ท่านมีหนังสือไปยังรัฐบาลอเมริกัน บอกว่าให้ถอนทหารอเมริกันออกทันที อเมริกันก็ไม่ยอม และในวันที่ 16 พ.ค. อาจารย์คึกฤทธิ์สั่งเอกอัครราชทูตไทยที่ประจำอเมริกา กลับเมืองไทยทันที นี่เป็นการประท้วงที่รุนแรงที่สุด ศูนย์นิสิตฯ ก็เคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. การเคลื่อนไหวก็จำเป็นต้องไปที่หน้าสถานทูตอเมริกันครับ ตอนนั้น.มีคนเป็นเรือนหมื่น ผมก็ไปร่วมด้วยวันนั้น ผมก็เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ

 

ผมขออนุญาตที่จะกราบเรียนให้พี่น้องที่เคารพทั้งหลายทราบว่า ในการเคลื่อนไหวของประชาชนที่รักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม ทุกครั้งจะมีฝ่ายขวาจัดแทรกเข้ามา แล้วก็ชักดึงทำให้การเคลื่อนไหวเสียหาย ให้มันเลยธง ให้มันเสื่อมเสียอย่างรุนแรง กรณีเรือมายาเกวซก็เหมือนกัน เราเดินไปที่หน้าสถานทูตอเมริกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกันถอนกำลังทหารทั้งหมดที่มายึดเรือมายาเกวซออกไป และถอนฐานทัพด้วย


ปรากฏว่าไปถึงหน้าสถานทูตอเมริกัน มีการเผาหุ่น เผาหุ่นก็เป็นเรื่องปกติของการประท้วงในสมัยโน้น เผาหุ่นประธานาธิบดีฟอร์ด เผาหุ่นเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สมัยโน้น แล้วก็มีการเคลื่อนไหวต่อต้านที่เชียงใหม่ ที่สงขลา แล้วที่ผมเรียนว่าพวกขวาจัดมาทำให้มันเกินเลยไป เพราะว่าพวกขวาจัดที่แทรกตัวเข้ามาไปดึงรูป “นกอินทรีย์” ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกันออกมาก ขออนุญาตด้วยความเคารพ ด้วยความเคารพต่อพี่น้องประชาชนอเมริกาทั้งหมด เขาติด “อีแร้ง” แทน


นอกจากนี้ยังไปดึงป้ายชื่อสถานทูตออก ขออนุญาตด้วยความเคารพต่อพี่น้องประชาชนอเมริกาทุกคน เขาติดคำว่า “ซ่องโจร” แทน นี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของนิสิตนักศึกษา ไม่ใช่จุดมุ่งหมายในการเคลื่อนไหวของ ศนท. นะครับ นี่เป็นการยืนยันเลยนะครับว่าการเคลื่อนไหวของผู้รักประชาธิปไตยทุกครั้งมีพวกขวาจัดแทรกเข้ามา แล้วดึง ทำให้การเคลื่อนไหวเสียหายหมดเลย


ที่หนักกว่านั้นก็คือ หลังจากที่เขาดึงป้ายนกอินทรีย์ออก ติดคำว่า “ซ่องโจร” ไปแล้ว เขายังไปกระชากธงชาติแล้วก็แต่งชุดเวียดนาม ศูนย์นิสิตฯ ที่ไหนจะไปทำ? ศนท.ที่ไหนจะไปทำ? ประชาชนที่ไหนจะไปทำ? กระชากธงอเมริกันมา แล้วก็ขออนุญาตนะครับ ด้วยความเคารพ เป็นภาษาที่ไม่เพราะ ขออนุญาตด้วยความเคารพ ปัสสาวะรดใส่


ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาก็ไม่ต่างอะไรกับ เมษา-พฤษภา ปี 53 ที่ฝ่ายขวาจัดมันใส่ร้ายป้ายสีว่าคนเสื้อแดงที่ชุมนุมมีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำ แล้วพยายามใส่ร้ายป้ายสีทุกอย่าง กระทั่งเรื่องเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เผาอะไรต่าง ๆ ก็คือพวกขวาจัดทั้งนั้น มันตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว


เพราะฉะนั้น เราเคลื่อนไหวตั้งแต่ 17 – 19 รัฐบาลท่านคึกฤทธิ์ โดยท่านชาติชายเห็นว่าเหตุการณ์มันจะไปใหญ่ ท่านชาติชายก้เลยไปพบกับอุปทูต อุปทูตก็เลยยอมในการที่จะทำหนังสือยอมรับว่า เขาส่งหนังสือให้รัฐมนตรีต่างประเทศไทยคือบอกว่า สหรัฐอเมริกาเข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างให้แก่รัฐบาลไทย และขอย้ำว่าสหรัฐอเมริกามีความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น คือเรื่องมายาเกวซ สหรัฐยังคงมีนโยบายที่จะเคารพต่อเอกราชและอธิปไตยของไทยต่อไป ชาติชายเขาเก่ง ก็เลยส่งหนังสือดังกล่าวมาให้ศนท. ศนท. ก็เลยเห็นว่าพอสมควรแก่เหตุแล้ว ก็เลยสลายตัว เพราะถือว่าเป็นการขอขมาแล้ว แต่ก่อนสลายตัว บอกว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นการที่จะขับเคลื่อนเพื่อต่อต้านจักรพรรดินิยมอเมริกา และเพื่อขับไล่ฐานทัพอเมริกาทั้งหมดออกไปจากประเทศไทย


พอสลายตัวไปมันก็เกิดเรื่องใหม่ขึ้นมา ก็คือเรื่อง “เท็มโก้” เรื่องแรกที่ผมพูดไปแล้วก็คือ “ค่ายรามสูรและฐานทัพ” เรื่องที่สองคือ “มายาเกวซ” เรื่องที่สามคือ “เท็มโก้”


คือหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจในปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ก็ตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาเลยชื่อ บริษัท เหมืองบูรพาเศรษฐกิจ จำกัด ได้ถือครองสิทธิ์ในอ่าวไทย 8 ล้านไร่ เพื่อที่จะสำรวจแร่และขุดแร่ขึ้นมาขายเพื่อเป็นประโยชน์กับจอมพลสฤษดิ์ ในสมัยนั้นกฎหมายอนุญาตให้ครองพื้นที่ในทะเลได้แค่ 1 ล้านไร่ แต่จอมพลสฤษดิ์อาศัยอำนาจเผด็จการในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ยึดไป 8 ล้านไร่ และในสมัยนั้นอนุญาตให้ขุด สัมปทานในการขุด 5 หมื่นไร่ แต่จอมพลสฤษดิ์ใช้ 1 ล้านไร่ ใครจะไปทำอะไรเขาได้ เพราะเขาเป็นจอมพลที่มีอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ มีมาตรา 17 สามารถประหารชีวิตผู้คนได้โดยไม่ต้องผ่านศาล เพราะฉะนั้นตอนนั้นใครทำอะไรไม่ได้


ต่อมาจอมพลสฤษดิ์ได้เชิญบริษัท ยูเนียนคาร์ไบด์เข้ามาร่วมทุนด้วย ความเป็นจริงก็คือยูเนียนคาร์ไบด์นั่นแหละตัวจริง แล้วสองบริษัทนี้ก็เลยตั้งหน่วยถลุงแร่เรียกว่า  “ไทยซาโก้” ขึ้นมาเพื่อการถลุง แต่ว่าจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน กรรมสิทธิ์ในบริษัทดังกล่าวก็ตกมายังจอมพลถนอม-จอมพลประภาส ทั้งสองท่าน ในที่สุดก็ยังทำอะไรไม่ได้ ก็ไปดึงเอาบริษัทเนเธอร์แลนเข้ามา “บิลลิตัน” ท้ายที่สุดยกสัมปทานทั้งหมดให้กับบริษัท เท็มโก้ ครับ


ทีนี้เรื่องมันก็เลยอื้อฉาวซิครับ แต่ละขั้น แต่ละจังหวะ ข่าวมันหลุดรอดออกมา ปิดบังไม่ได้หรอกครับความลับ หลัง 14ตุลา นักศึกษาประชาชนก็เลยเห็นว่าเรื่องอธิปไตยของประเทศ เรื่องการที่จอมพลสฤษดิ์เอาทรัพยากรธรรมชาติไปมอบให้ต่างชาติมันเกินกว่าที่คนไทยจะรับได้ ก็เลยมีการชุมนุมคัดค้าน “เท็มโก้” พอชุมนุมหนัก ๆ เข้า พวกขวาและพวกที่เสียผลประโยชน์ก็เลยไปขู่ฆ่าผู้ว่า “ธวัช มกรพงศ์” ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ที่ยืนข้างประเทศไทย ยืนข้างที่ต้องการถอนสัมปทานบัตร “เท็มโก้”


พอเคลื่อนไหวหนัก ๆ เข้า ปรากฏว่าผู้นำในการเคลื่อนไหว “เท็มโก้” ถูกยิงทิ้ง ที่อำเภอท้ายเหมือง จ.พังงา คือคุณสนอง ปัญชาญ ถึงจุดนั้นศูนย์นิสิตฯ ทนไม่ไหวแล้ว มีการชุมนุมใหญ่ 8 ก.พ. 2518 ปราศรัยใหญ่ ต้องการให้ถอนประทานบัตรเท็มโก้ทั้งหมดเลย พอวันที่ 24 ก.พ. 2518 กระแสขึ้นสูง ก็เลยทำให้รัฐบาลเสนีย์ ต้องผ่อนปรน ก็คือไปบอกกรมอัยการให้เตรียมหนังสือที่จะเพิกถอนประทานบัตรเท็มโก้ทิ้ง ปรากฏว่าสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทย 14 มี.ค. ยื่นหนังสือว่า ถ้าคุณยกเลิกประทานบัตรเท็มโก้ อเมริกันจะตัดความสัมพันธ์กับไทย แต่พอดีการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชนรุนแรงมาก อาจารย์เสนีย์สามารถที่จะอ้างได้


พอถึงวันสำคัญจะยกเลิกประทานบัตร ปรากฏว่าอาจารย์เสนีย์ไม่ทราบอย่างไรนะ ผมไม่รู้ ปรากฏว่าบอกว่าจะถอนแค่ 5 แปลง ยังเหลืออีก 2 แปลง และ 2 แปลงดังกล่าวกลายเป็นแปลงที่สำคัญด้วย ที่สำคัญเพราะว่า “ดีบุก” เป็นธาตุธรรมชาติสุดท้ายหลังจากกัมมันตภาพรังสีทั้งหลาย กัมมันตภาพรังสีที่เป็นกัมมันตภาพต้นทางมันปล่อยกัมมันตภาพรังสีไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทอเรียม พลูโทเนียม สตรอนเซียม ที่พูดมานี่แพงมาก กรัมหนึ่งเป็นล้าน ๆ บาท เพราะเป็นสารตั้งต้นของอาวุธปรมณู ทางอเมริกันก็เลยยื่นหนังสือประท้วงเสนีย์ว่าถ้าคุณถอนประทานบัตร อเมริกันจะตัดความสัมพันธ์กับคุณ


แต่ว่าศูนย์นิสิตฯ ไม่ยอม มีการประท้วงใหญ่ ในที่สุดวันที่ 16 มี.ค. 2518 ศนท.กับแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติในสมัยนั้นจัดปราศรัยใหญ่ที่สนามหลวง ในที่สุดวันที่ 17 มี.ค. 2518 อาจารย์เสนีย์ก็เลยตัดสินใจสั่งเพิกถอนประทานบัตรทั้ง 7 แปลง 4.7 หมื่นไร่โดยประมาณ มูลค่าประมาณแสนกว่าล้าน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมอเหวง #รำลึก48ปี6ตุลา #6ตุลา19