“กัลยพัชร” ชี้กรณี สปสช. ตัดลดงบดูแลผู้ป่วยใน กระทบคุณภาพการรักษา -
โรงพยาบาล - บุคลากรการแพทย์ ถามรัฐบาลทำเพื่ออะไร แนะเร่งตั้ง ครม. ชุดใหม่
จะได้มี รมว.สธ. รับผิดชอบแก้ปัญหาประชาชน
วันที่
21 สิงหาคม 2567 กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคประชาชน
แถลงข่าวประเด็นการคำนวณการจ่ายรายหัวต่อผู้ป่วยที่ต้องแอดมิตโรงพยาบาล
หรือผู้ป่วยในที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(สปสช.) โดยกล่าวว่า ขณะนี้มีกรณีร้องเรียนถึง สปสช. ที่ได้ลดอัตราการจ่ายค่ารักษาผู้ป่วยใน
ผ่านการลดสูตรค่าคำนวณจ่ายที่เรียกว่า AdjRW (Adjusted relative weight) ทำให้โรงพยาบาลที่มีเตียงรักษาผู้ป่วยใน มีรายรับลดลง 30% จากการรักษาผู้ป่วยใน นอกจากจะกระทบรายได้ของโรงพยาบาล
ยังกระทบคุณภาพการรักษาผู้ป่วย รวมถึงกระทบคุณภาพชีวิตบุคลากรของโรงพยาบาลอีกด้วย
ยกตัวอย่าง
กรณีผู้สูงอายุโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปกติจะต้องแอดมิตเป็นผู้ป่วยใน
โรงพยาบาลก็จะได้ค่าใช้จ่าย 8,350 บาทต่อหัว แต่หลังจากวันที่ 3 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา สปสช.
ปรับลดค่าชดเชยที่จะจ่ายให้โรงพยาบาล เหลือเพียงประมาณ 4,531 บาท ซึ่งอาจจะต่ำกว่าต้นทุนในการรักษา
สถานการณ์แบบนี้เท่ากับว่ายิ่งโรงพยาบาลรับผู้ป่วยในก็จะยิ่งขาดทุน
กรณีส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
พบว่าโรงพยาบาล ที่เคยได้รับเงิน 7,000-8,000 บาทต่อหัว
ถูกลดลงเหลือเพียง 4,000-5,000 บาทต่อหัว หรือลดลงประมาณ 30%
แม้เรื่องนี้ ผู้ป่วยจะไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
แต่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยอย่างมาก เพราะยิ่งรักษาผู้ป่วยใน
โรงพยาบาลยิ่งขาดทุน
สส.พรรคประชาชน
ยกตัวอย่างผลกระทบที่จะเกิดขึ้น 4 ประเด็น (1) โรงพยาบาลบางแห่ง
อาจพิจารณารับคนไข้รักษาเป็นผู้ป่วยในด้วยเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น เช่น จากเดิม
หากผู้ป่วยเป็นกลุ่มอาการระดับสีเหลือง ต้องรับไว้เป็นผู้ป่วยในเพื่อสังเกตอาการ
แต่เมื่อยิ่งรักษาผู้ป่วยในยิ่งขาดทุน
ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองก็อาจได้รับการพิจารณาให้จ่ายยาและกลับไปรักษาที่บ้าน
(2)
โรงพยาบาลลดต้นทุนการจัดบริการ ลดค่าตอบแทนบุคลากร
ซึ่งกรณีนี้ตนได้รับร้องเรียนมาโดยตลอด เนื่องจากพยาบาลในโรงพยาบาลบางแห่ง
ถูกตัดเงินที่ได้รับจากการทำงานล่วงเวลา โรงพยาบาลบางแห่งอาจจำใจต้องลดจำนวนบุคลากรประจำวอร์ดผู้ป่วยใน
เพื่อจะได้คุมต้นทุนให้เท่ากับรายได้ที่ได้รับ
ผลกระทบคือคุณภาพการบริการลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บุคลากรที่เหลืออยู่มีภาระงานมากขึ้น เครียดมากขึ้น
(3)
โรงพยาบาล รับภาระแหล่งรายได้ทางอื่นมาจุนเจือการจัดบริการ เช่น
โน้มน้าวให้ข้าราชการเข้ารับรักษาเป็นผู้ป่วยในมากขึ้น
เพราะสามารถเบิกค่ารักษาได้เต็มจำนวน ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาที่มากเกินไปกับคนกลุ่มหนึ่ง
ได้แก่ สิทธิข้าราชการ และผู้ป่วยที่จ่ายเอง
และให้การรักษาน้อยเกินไปกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มสิทธิบัตรทอง
ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน
(4)
บางโรงพยาบาลอยู่ได้ด้วยการยืมยา และมีการติดหนี้ค่ายา
การได้รับเงินสนับสนุนที่น้อยลง จะส่งผลให้โรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง
ขาดเงินมาพัฒนาคุณภาพการบริการ
ทำให้การรักษาไม่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ
กัลยพัชร
ย้ำว่า ตนในฐานะตัวแทนพรรคประชาชนขอตั้งคำถามว่า
สาเหตุของการปรับสูตรคำนวณการจ่ายดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด ตนและ สส.
ในคณะกรรมาธิการสาธารณสุข จะเสนอบรรจุวาระติดตามปัญหานี้ใน กมธ.สาธารณสุข
โดยเร็วที่สุด คาดว่าในวันที่ 29 ส.ค. นี้ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน
กระทบต่อประชาชนทั้งประเทศที่ส่วนใหญ่ใช้บริการโรงพยาบาลรัฐ
พร้อมกันนี้
กัลยพัชร กล่าวอีกว่า ตนจะแถลงข่าวผลการหารือเป็นระยะ รวมทั้งใช้กลไกอื่นๆ
ในรัฐสภาอย่างเต็มที่ ได้แก่ การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขทันที
เมื่อมีการแต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ การอภิปรายรับรองรายงานของ สปสช.
และอภิปรายการแถลงนโยบายที่กำลังจะถึงในเดือนกันยายน
ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบตั้ง ครม.โดยเร็ว
เพื่อให้การสาธารณสุขมีผู้บริหารที่ชัดเจน ถืออำนาจเต็ม
มารับผิดชอบการแก้ปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชนอย่างมีทิศทาง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สปสช #กระทรวงสาธารณสุข