วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

"ตะวัน"โพสต์ ถึง"พี่บุ้ง" เมื่อไหร่หนูจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้สักที เผยบุ้งเคยบอก"เมื่อใดที่เราหยุดสู้เพื่อคนอื่น คือช่วงเวลาที่เราสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว"

 


"ตะวัน"โพสต์ ถึง"พี่บุ้ง" เมื่อไหร่หนูจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้สักที เผยบุ้งเคยบอก"เมื่อใดที่เราหยุดสู้เพื่อคนอื่น คือช่วงเวลาที่เราสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว"

 

ตามที่เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2567 ศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ ในคดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ สืบเนื่องมาจากถูกกล่าวหาว่า บีบแตรใส่ขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ โดยให้วางหลักทรัพย์ 100,000 บาท

 

และต่อมา 28 พ.ค. 67 “ตะวัน” ทานตะวัน ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ หลังได้ประกันตัวในคดีที่ถูกคุมขังอยู่ทั้งหมด โดยในกรณีตะวัน ตำรวจ สน.พระราชวัง เข้าอายัดตัวตามหมายจับในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมสนับสนุน “บังเอิญ” ในการพ่นสีกำแพงวัง โดยเป็นหมายจับออกโดยศาลอาญาตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2566 แต่ตำรวจกลับไม่เคยมีการดำเนินการแสดงหมายจับหรือเข้าแจ้งข้อกล่าวหา แม้มีการจับกุมตะวันในคดีอื่น ๆ และตะวันก็ถูกคุมขังในเรือนจำเรื่อยมากว่า 105 วัน

 

ล่าสุด วันที่ 29 พ.ค. 67 "ตะวัน" โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Tawan Tantawan ระบุว่า

 

ถึง พี่บุ้ง

 

พี่บุ้งเคยพูดกับหนูว่า “นี่แหละ เราต้องสู้เพื่อทุกคน ไม่ใช่สู้เพื่อแค่นักโทษการเมือง” พี่บุ้งพูดกับหนูตอนเรานั่งคุยกันถึงเหตุการณ์ที่ผู้คุมทำร้ายร่างกายและด่าทอผู้ต้องขัง เรานั่งคุยกันปนความตลกร้ายว่าทั้งๆที่เราอดน้ำอดอาหารมาแล้วหลายวัน แต่เรายังมีแรงฮึดลุกขึ้นมาปะทะวาจากับผู้คุมคนนั้นเพื่อช่วยผู้ต้องขัง

 

มีผู้ต้องขังคนนึงเดินเข้ามาคุยกับเราถึงเหตุการณ์วันนั้นว่าทีแรกเขาคิดว่าเราเป็นผู้ต้องขังจิตเวชที่โวยวายเสียงดัง เพราะเขาไม่รู้ว่าเราโวยวายว่าอะไร เพื่ออะไร เราหลุดหัวเราะออกมาที่เขาคิดว่าเราเป็นจิตเวช หลังจากนั้นเรานั่งคุยกับเขาว่าวันนั้นเราโวยวายว่าอะไร เพื่ออะไร และเพื่อใคร จนท้ายที่สุดเขาก็เข้าใจพวกเรา เช่นเดียวกันกับผู้ต้องขังหลายคนที่ได้คุยกับเราทั้งคู่

 

เหมือนกับผู้คนในสังคมข้างนอกเลยเนอะพี่บุ้ง เขาได้ยินแค่ว่าเราโวยวายเสียงดังก้าวร้าว แต่คงต่างกันที่ผู้คนภายนอกโลกกว้างไม่ได้มานั่งคุยกับเราเหมือนผู้ต้องขังภายในโลกที่คับแคบอย่างคุก แต่พี่บุ้งมักจะพูดเสมอว่าพี่บุ้งไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับพี่บุ้ง พี่บุ้งสนใจแค่ว่าพี่บุ้งจะสู้เพื่อทุกคน

 

ผู้ใหญ่ในประเทศนี้ใจร้ายจังเนอะ คืนหนึ่งหนูผวาหวาดกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายจนความดันขึ้นสูงจากเหตุการณ์ที่เขามาอุ้มพี่บุ้งออกจากรพ.ราชทัณฑ์กลับไปทัณฑสถานหญิงกลาง คืนนั้นหนูผวาจนความดันขึ้นสูง ส่วนพี่บุ้งอ้วกเป็นเลือด และอ้วกเป็นเลือดอยู่เป็นอาทิตย์ กว่าเขาจะส่งตัวพี่บุ้งกลับไปรพ.ราชทัณฑ์ และกว่าเขาจะส่งตัวพี่บุ้งไปรพ.ธรรมศาสตร์

 

จนแล้วจนเล่า เขาก็ยังใจร้ายกับเราไม่หยุด เขาเอาพี่บุ้งกลับจากรพ.ธรรมศาสตร์ไปรพ.ราชทัณฑ์ ทั้ง ๆ ที่อาการและผลเลือดพี่บุ้งยังไม่ได้ปกติเลย หนูขอกลับไปสู้กับพี่บุ้งที่รพ.ราชทัณฑ์ พี่บุ้งบอกหนูว่าพี่บุ้งไม่อยากให้หนูตามกลับมาเลย เพราะมันทั้งร้อนและลำบาก แต่เราสู้มาด้วยกันไงพี่บุ้ง ร้อนก็ต้องร้อนด้วยกัน ลำบากก็ต้องลำบากด้วยกันสิ

 

มีอยู่วันนึงหนูหยิบสมุดของพี่บุ้ง แล้วก็เหลือบไปเห็นข้อความที่พี่บุ้งเขียนไว้ในสมุดว่า “เมื่อใดที่เราหยุดสู้เพื่อคนอื่น คือช่วงเวลาที่เราสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว” หนูยิ่งมั่นใจว่า“พี่บุ้งเป็นพี่บุ้งที่สู้เพื่อคนอื่นมาเสมอ”

 

แค่สามเดือนกว่าเอง มันกลับเหมือนฝันร้ายที่ยาวนานเลย แต่ความเป็นจริงที่พี่บุ้งไม่อยู่แล้ว มันตอกย้ำกับหนูว่ามันไม่ใช่แค่ฝันร้าย หลายครั้งที่หนูตื่นมาแล้วเข้าใจว่าพี่บุ้งยังอยู่ แต่ก็ต้องจบลงด้วยการต้องมานั่งทบทวนและยอมรับความเป็นจริงว่าพี่บุ้งไม่อยู่แล้ว

 

แล้วเมื่อไหร่หนูจะตื่นจากฝันร้ายนี้ได้สักที

 

ที่มาข้อมูล และ ภาพ : เฟซบุ๊ก Tawan Tantawan

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทานตะวันตัวตุลานนท์ #บุ้งเนติพร #บุ้งทะลุวัง #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม