“นักวิชาการ คนส.” ถก “ภูมิธรรม” ยื่น 4 ข้อถึงรัฐบาล
ชะลอการดำเนินคดีทางการเมือง ยึดหลักสิทธิการประกันตัว ตั้ง
คกก.กลั่นกรองคดีการเมืองในชั้นพนักงานสอบสวน
คุมขังผู้ต้องหาคดีทางการเมืองแยกจากคดีอื่น
วันที่
4 มีนาคม 2567 เวลา 14.00 น.
ที่กระทรวงพาณิชย์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) นำโดย รศ.อนุสรณ์
อุณโณ อาจารย์ประจำสาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร. เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา
มหาวิทยาลัยมหิดล ผศ.ดร.ชลิตา
บัณฑุวงศ์อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายธีรัตม์ พณิชอุดมพัชร์
คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) นายธนพล พันธุ์งาม หรือโน้ต
จากกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) นางสาวอันนา อันนานนท์
เดินทางเข้าพบ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเรื่อง
“ขอให้ดำเนินคดีผู้แสดงออกทางการเมืองด้วยความเป็นธรรม”
รศ.อนุสรณ์
อุณโณ อาจารย์ประจำสาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวภายหลังพบรองนายกรัฐมนตรีว่า
ด้านรองนายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องของการแสดงออกทางการเมืองว่ามีการดำเนินคดีที่น่าเป็นห่วง
รศ.อนุสรณ์
กล่าวต่อว่า
อย่างไรก็ดีเหมือนมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ทำให้เรามีข้อจำกัดในการที่จะคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
วันนี้ ทาง คนส. จึงมองหาโอกาสหรือช่องทางที่ทำได้ ให้ทั้งสองฝ่ายที่จะรับกันได้
โดยทางรองนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะนำข้อเสนอจาก คนส. 4 ข้อ
เอาไปตั้งคณะกรรมการและพิจารณาหารือ
“เราควรที่จะมีพื้นที่ทางเลือกที่เป็นตรงกลางที่ทั้งสองฝ่ายพอจะรับกันได้
เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาเหล่านี้” รศ.อนุสรณ์ กล่าว
ด้าน
รศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
สิ่งที่หารือกับรองนายกฯรัฐมนตรีแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งถึงสองวัน
เรามีความพยายามที่จะส่งสัญญาณไปว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมันเริ่มคลี่คลายแล้ว
คดีต่างๆที่เป็นคดีเก่าทางการเมืองทั้งหมด มันจะมีส่วนที่จะคลี่คลายได้บ้าง
เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับสังคมไทย
ตนเชื่อว่าทุกภาคส่วนยินดีที่จะหารือกับรัฐบาลเพิ่มเติม
เพื่อทำให้สิ่งที่มันยากจะสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลานี้ ซึ่งการเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีวันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
จดหมายเปิดผนึกของ คนส. มีรายละเอียดดังนี้
“สถานการณ์การเมืองไทยเหมือนกลับสู่สภาวะปกติ
เพราะมีรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศมาเป็นเวลา 7 เดือนแล้ว
อีกทั้งยังมีระบบรัฐสภาเป็นกลไกแก้ปัญหา
แต่การดำเนินคดีผู้แสดงออกทางการเมืองกลับไม่ได้กลับสู่สภาวะปกติตามไปด้วย
นับตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนที่มีการเร่งสอบสวนผู้ต้องหาและมีความเห็นควรสั่งฟ้องคดีโดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบว่าครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่
ขณะที่ในชั้นอัยการนอกจากมักมีการสั่งฟ้องคดีแม้จะเป็นคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ยังมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาคดีการแสดงออกทางการเมืองบางประเภทขึ้นมาเพื่อจะสามารถสั่งฟ้องได้สะดวกขึ้น
ประการสำคัญคือในชั้นศาลที่ผู้ต้องหาถูกพรากสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีไปอย่างมาก
โดยเฉพาะสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนในชั้นการลงทัณฑ์
ผู้ต้องขังในคดีถึงที่สุดยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้
การแก้ปัญหาด้วยการออกกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
ยังคงถกเถียงกันว่าจะครอบคลุมความผิดประเภทใดและต้องใช้เวลาอีกมาก
ส่วนการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ยังคงอยู่ในขั้นตอนการถกเถียงกันเรื่องการออกเสียงประชามติและยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเนื้อหารัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร
ทว่าสภาวการณ์ที่เกิดกับผู้แสดงออกทางการเมืองอยู่ในขั้นวิกฤติ
ไม่สามารถรอกระบวนการรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติได้
ประกอบกับหลายกรณีรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ที่สามารถช่วยบรรเทาสภาวการณ์นี้ได้
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
(คนส.) รวมถึงกลุ่ม องค์กร และเครือข่ายต่างๆ
จึงเรียกร้องนายกรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้มีนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินคดีผู้แสดงออกทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาดังนี้
1.
ชะลอการดำเนินคดีผู้แสดงออกทางการเมืองระหว่างที่พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา
โดยให้พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องคดีโดยเฉพาะกรณีที่ไม่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิด
และให้อัยการชะลอการสั่งคดี หรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ หรือถอนฎีกา โดยเฉพาะในคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
หรือไม่อุทธรณ์กรณีศาลชั้นต้นยกฟ้องหรือมีคำพิพากษาให้รอลงอาญา
2.
เคารพสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาตามรัฐธรรมนูญ
กติการะหว่างประเทศ และหลักยุติธรรมทางอาญา ได้แก่
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ปราศจากอคติหรือการแทรกแซงใด ๆ
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผยและมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวที่จะต้องสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาบริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
การไม่อนุญาตต้องเป็นข้อยกเว้นและกระทำอย่างเคร่งครัดและมีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น
และการกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวต้องไม่เอื้อให้เกิดการถอนคำสั่งการปล่อยตัวอย่างผิดหลักการ
3.
ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการดำเนินคดีผู้แสดงออกทางการเมืองในชั้นพนักงานสอบสวน
และพิจารณายุบเลิกคณะกรรมการพิจารณาคดีผู้แสดงออกทางการเมืองในชั้นอัยการ
4.
คุมขังผู้ต้องหาและผู้ต้องขังคดีทางการเมืองแยกจากผู้ต้องหาและผู้ต้องขังคดีอื่น
รวมถึงพิจารณาทางเลือกอื่นแก่ผู้ต้องขัง เช่น การกักบริเวณ
และการควบคุมตัวในรูปแบบอื่น
ตลอดจนปรับปรุงทัศนคติบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการคุมขังว่าผู้แสดงออกทางการเมืองไม่ใช่อาชญากร
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
(คนส.) เห็นว่าแม้ความขัดแย้งทางเมืองที่ดำเนินมากว่าทศวรรษดูเหมือนจะคลี่คลาย
แต่ประชาชนที่ถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้งกลับยังต้องเผชิญกับผลที่ติดตามมาจนไม่สามารถหลุดไปจากความขัดแย้งนี้ได้
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจึงจำเป็นต้องอาศัยอำนาจหน้าที่ที่มีในการช่วยคลี่คลายปัญหานี้
ควบคู่ไปกับกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ในรัฐสภา
เพื่อสังคมไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
(คนส.)