15
ปี คดีพันธมิตรยึดสนามบิน ตัดสินวันนี้ จำเลยชักแถวมาครบ เว้น
"จำลอง" ป่วยฟังลับหลัง แกนนำรับสภาพ หากศาลพิพากษา พร้อมปฏิบัติตาม
วันนี้
(17 มกราคม 2567) ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดสนามบินดอนเมือง
คดีหมายเลขดำ อ.973/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9
เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับพวกรวม 32
คน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นกบฎ-ก่อการร้ายฯ
โดยในวันนี้เป็นการนัดฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24
พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2551 หรือเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว
โดยจำเลยทั้ง
32 คน
ได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ
และปิดล้อมอาคารวีไอพีท่าอากาศยานดอนเมือง
ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นของบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด(มหาชน) ผู้เสียหายที่ 2 และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน 627,080 บาท
แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ ของ บริษัท
วิทยุการบินฯ ผู้เสียหายที่ 3 ทำการปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวง
ผู้เสียหายที่ 4 ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินไทยฯ
ผู้เสียหายที่ 5 ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท ไปรษณีย์ไทยฯ
ผู้เสียหายที่ 6 และร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน
เพื่อกดดันให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นลาออกจากตําแหน่ง
นายสมศักดิ์
โกศัยสุข จำเลยที่ 4
กล่าวว่า
ที่ได้กระทำมาทั้งหมดถือว่าเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
และประชาชนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น
และเป็นที่ปรากฏชัดว่ารัฐบาลที่เราต่อต้านศาลได้พิพากษาแล้วว่าเขามีความผิดจริง
“แม้แต่นักโทษชั้น 14 ก็สารภาพแล้วว่าผิดจริง
แล้วจึงได้รับพระราชทานอภัยโทษ ฉะนั้น ในส่วนที่เราถูกดำเนินคดี
เรายินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด่วยความเต็มใจ และการที่ศาลจะพิจารณาอย่างไร
ก็เคารพอำนาจของศาล ทุกคนพร้อมปฏิบัติโดยไม่มีเงื่อนไข” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์
กล่าวต่อว่า ปกติศาลก็รับฟังอยู่แล้ว ผลข้อกฎหมายออกมาอย่างไรเราก็รับได้ทั้งหมด
แต่ที่เราร่วมกันต่อสู้
เนื่องจากรัฐธรรมนูญตอนนั้นให้อำนาจประชาชาชนในการต่อต้านโดยสันติวิธี
เพื่อต่อค้านนรัฐบาลที่มาโดยมิชอบ ใข้อำนาจโดยมิชอบ รัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา
68 และมาตรา 69 ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี 60
มีการแก้ไขมาตราดังกล่าวไปแล้ว แสดงว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกต้อง
จึงมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเราเชื่อโดยสุจริตว่าประชาชนมีสิทธิทำได้
และศาลก็พิจารณาแล้วว่าการชุมนุมของเราสันติ ปราศจากอาวุธ
ด้านนายปานเทพ
ระบุว่า คดีนี้มีจำเลยเยอะ ทำให้ศาลต้องแบ่งออกเป็น 2 ชุด
ตนเองเป็นชุดที่ 2 ซึ่งจะพิพากษาในช่วงเดือนมีนาคม 67
เป็นการต่อสู้ที่ยาวนานกว่า 16 ปี
กว่าจะมีการพิสูจน์ ตนเองเชื่อว่าเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ทนายความ จำเลย
และโจทก์ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่ศาลจะพิจารณา
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็เชื่อว่าไม่น่าจะจบที่ศาลชั้นต้น
น่าจะจบที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แต่เราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2550 เหตุแห่งการชุมนุมทั้งการทุจริตคอร์รัปชั่น การโกงการเลือกตั้ง มีขึ้นจริง
ๆ จากคำพิพากษาศาลฎีกาในเวลาต่อมา
ดังนั้นสิ่งที่เราต่อสู้เป็นไปตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ
“เราคาดหวังว่าสิ่งที่เราสู้ในขณะนี้จะได้รับการพิสูจน์ เพราะตลอดระยะเวลา 16
ปีที่ผ่านมาจำเลยทั้งหมดมีพันธนาการ ไปต่างประเทศก็มีประกัน
เงื่อนไข ต้องนำเงินประกันมาวาง จากอิสรภาพ
และถูกสังคมเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ที่กระทำความผิดแล้ว
อย่างน้อยกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินมาจรถึงตอนนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพันธมิตรเป็นฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม
น้อมรับในกระบวนการยุติธรรม และพร้อมรับบทลงโทษทุกกรณี ก่อนหน้านี้ก็จำคุกจริง
ไม่เคยขออภิสิทธิ์จนถึงขั้นไม่ติดคุก และหวังว่าจะเป็นบรรทัดฐานว่าสังคม
ควรเดินหน้าในกระบวนการยุติธรรมที่เท่ากัน
ได้รับบทลงโทษที่เสมอกันจึงจะสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมได้” นายปานเทพ กล่าว
โดยบรรยากาศก่อนการเข้าฟังคำพิพากษา
ได้มีกลุ่มสหภาพแรงงานและวิสาหกิจ เดินทางมาให้กำลังใจ
พร้อมต่อแถวและมอบดอกไม้ให้กับแกนนำ และเมื่อเวลา 9:15 น. นานสนธิ
ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนพล.ต.จำลอง ศรีเมือง
แกนนำกลุ่มพันธมิตร มีอาการป่วยทำให้ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้
ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลัง เฉพาะของพล.ต.จำลอง
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พันธมิตร #ยึดสนามบิน