วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566

“ณัฐวุฒิ” ชี้! พฤติกรรมส่อเจตนา มีเรื่องตกค้างอะไรนักหนาถึงต้องรีบยัดเข้าที่ประชุมครม.นัดสุดท้าย เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน หรือเกี่ยวกับปากท้องของใคร?

 


“ณัฐวุฒิ” ชี้! พฤติกรรมส่อเจตนา มีเรื่องตกค้างอะไรนักหนาถึงต้องรีบยัดเข้าที่ประชุมครม.นัดสุดท้าย เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน หรือเกี่ยวกับปากท้องของใคร?


เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้กล่าวผ่านยูทูป ทางช่อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ Official รายการ หัวใจไม่หยุดเต้น EP. ในประเด็น : ครม.ทิ้งทวน ชวนกันงาบงบประมาณ? โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวในรายการว่า


ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงนะครับ รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชุมครม.เป็นนัดสุดท้ายของวาระรัฐบาลรอบนี้ วันที่ 14 มีนาคม แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากจะให้เป็นนัดสุดท้ายของประวัติศาสตร์ นัดสุดท้ายของชีวิต ไม่ต้องเจอรัฐบาลชุดนี้อีกเลยตราบนานเท่านาน...


ไม่ได้พูดเกินเลย แต่สภาพความเสียหาย การไร้ความสามารถที่พิสูจน์ชัดมาตลอด 8 ปี ทำให้คนรู้สึกแบบนี้จริง ๆ


ซึ่งการที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเช่นนั้นได้ มีวิธีการเดียวครับ คือประชาชนต้องเทคะแนนไปที่ใดที่หนึ่ง ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย


ผมเชื่อว่า “รวมไทยสร้างชาติ” หรือ “พลังประชารัฐ” ต้องเป็นฝ่ายค้าน 2 ลุง คือ “ประยุทธ์” กับ “ประวิตร” เปิดตูดกลับบ้านแน่นอน!


ถ้าไม่มีสองคนนี้ในทั้งสองพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” และ “พลังประชารัฐ” ก็คงถึงกาลอวสาน


ดังนั้น การเปลี่ยนข้างตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยจึงมีความหมายในหลายนัย ทั้งการส่งพล.อ.ประยุทธ์ ส่งพล.อ.ประวิตร และคณะ 3ป กลับบ้าน และเป็นการยุติบทบาทของพรรคการเมืองที่เป็นซากเดนจากการรัฐประหารสืบทอดอำนาจต่อเนื่องกันมา นี่คือความหมายที่แท้จริงของมัน และนี่จึงเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญที่ฝ่ายรัฐประหารเขาก็ยอมพลาดไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนกัน


เที่ยวนี้เราจึงจะเห็นการใช้กระสุนดินดำ ใช้ทรัพยากรมหาศาลในสนามเลือกตั้ง การใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครองหรือฝ่ายความมั่นคงตลอดจนส่วนงานอื่น ๆ ที่จะเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนคะแนนเสียงของประชาชน จะมีอยู่ทั่วไปแน่ ๆ


จะต่างกันก็ตรงที่ว่าเอกภาพของอำนาจคงไม่เหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร แยกทางกันเดินคนละพรรค แต่ยังไงก็ตามผลในทางปฏิบัติเป็นอย่างเก่านะครับ คือพวกเขาจะกลุ้มรุมพรรคหลักของฝ่ายค้าน นั่นก็คือ “พรรคเพื่อไทย”


ถ้า “เพื่อไทย” แลนด์สไลด์เกินครึ่งหรือไปถึง 310 ที่นั่งอย่างที่เพิ่งประกาศกันมา แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องเป็นฝ่ายค้านกลับบ้านเลี้ยงหลาน แต่ถ้า “เพื่อไทย” ไม่ถึงครึ่ง ทั้งคู่มีสิทธิ์ลุ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนะครับ วัดกันก็แต่ว่าระหว่าง “พลังประชารัฐ” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” ใครจะได้คะแนนเสียงมามากกว่า


สมการพื้นฐานในสนามเลือกตั้งยังเป็นอย่างเดิมนะครับ คือ

พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน = อำนาจนิยม

พรรคร่วมฝ่ายค้าน = เสรีนิยม


การจะข้ามห้วยมาบวกกันให้เท่ากับรัฐบาลชุดใหม่เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ เพราะถึงที่สุดประชาชนจะตัดสินใจเลือกข้างใดข้างหนึ่งให้ชัด ให้ขาดกันไปเลย!


กลับมาดูที่การประชุมครม.นัดสุดท้ายนะครับ ขณะที่ผมนั่งบันทึกเทปอยู่นี้การประชุมยังไม่เสร็จสิ้น แต่กระแสข่าวก่อนหน้าคือจะมีการเอาวาระจรเข้าสู่การพิจารณาเป็น 100 กว่าวาระ ไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตัวเลขงบประมาณอนุมัติกันไปเท่าไหร่ แต่ละโครงการของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลจะสำเริงสำราญกันขนาดไหน


เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิด มีให้เห็นมาแล้วในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับการประชุมครม.นัดสุดท้าย คราวนั้นประชุมกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า ไปเลิกเอา 5 ทุ่ม ถือว่าเป็นการประชุมครม.ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของการเมืองไทย มีวาระจรเข้าพิจารณา 300 กว่าวาระ อนุมัติงบประมาณทั้งสิ้น 6 แสนกว่าล้านบาท


เที่ยวนี้ต้องตามดูว่าเลขที่ออกคืออะไร ผมไม่ได้กล่าวหาล่ะครับว่ารัฐบาลจะมีนอกมีในกับวาระจรกับตัวเลขงบประมาณเหล่านี้ แต่พฤติกรรมมันส่อเจตนา คุณอยู่ในอำนาจมาทั้งหมด 8 ปี รัฐบาลผสมชุดนี้อย่างน้อยก็ 4 ปีเต็มเข้าไปแล้ว มันมีเรื่องตกค้างอะไรนักหนาถึงต้องรีบยัดกันเข้ามาในวันสุดท้าย มันเกี่ยวกับปากท้องของประชาชนหรือเกี่ยวกับปากท้องของผู้มีอำนาจคนไหน? พรรคไหน?


นี่เหรอครับแบบที่คนดี ๆ เขาทำกัน ไอ้อย่างเนี้ยวัยรุ่นแถวบ้านเขาเรียก “ดีออก” แล้วคนดีที่พวกนี้ยังไม่คิดจะออกด้วยนะครับ คิดจะอยู่ต่ออีกอย่างน้อย 4 ปี


หลังจากนี้ก็คงจะเห็นนักการเมือง พรรคการเมืองทั้งหลายตระเวนลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนต่อสู้กันอย่างเข้มข้น ส่วนตัวผมอยากให้บรรยากาศในสนามเลือกตั้งเป็นไปอย่างสร้างสรรค์นะครับ จะคิดเหมือนคิดต่างกันก็สามารถมีพื้นที่จัดแสดงบทบาทกันได้โดยเสรี ประชาชนพิจารณาแล้วไปตัดสินใจกากันในวันเลือกตั้ง


แต่เหตุที่เพิ่งเกิดที่ราชบุรีคิดว่าเรื่องนี้ฝ่ายรัฐต้องชี้แจงนะครับว่าหนักมือไปหรือเปล่า? เกินกว่าเหตุไปหรือไม่? ภาพการฉุดกระชากลากถูกันไปแบบนั้นที่มันเกิดขึ้นโดยรัฐกระทำต่อประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องที่สร้างสรรค์ หรือควรที่จะให้มันเกิดขึ้นอีกต่อไป

 

นายกฯ นี่ก็เหลือเกินนะครับ ผมเห็นข่าวที่ราชบุรีไปยืนคุยกับหมา ยืนคุยกับควายนี่คุยได้ แต่ที่กับชาวบ้านนี่ไม่ยอมคุย ที่จริงภาพนายกฯ ไปยืนคุยกับหมากับควายก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรนะครับ เพราะว่าแกคุยกับสารพัดสัตว์มาแล้ว แต่สิ่งที่ผมคาใจอยู่บ้างก็คือ จู่ ๆ ขึ้นเวทีประกาศกระจายอัตราความโง่ให้คณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คน ใครไม่สะดุ้งก็เกินไปนะครับ


นายกฯ บอกว่าถ้าใครว่านายกฯ “โง่” ก็แสดงว่าที่ผ่านมา “โง่” กันทั้งคณะรัฐมนตรีนี่แหละ จะหาผู้นำที่ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ขนาดนี้ได้ที่ไหนครับ


คำขวัญในการทำงานนอกจากประกาศว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแล้ว

จะไม่ยอมให้ใครฉลาดสักคนเดียวด้วย!


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ #เลือกตั้ง66 #เพื่อไทย