"อ.ธิดา" ประเมินการชุมนุมใหญ่ที่ผ่านมา / ชื่นชมพัฒนาการจาก "เยาวชนปลดแอก" เป็น "คณะประชาชนปลดแอก) / มีเป้าหมายและเนื้อหาการนำเสนอที่ผ่านการใคร่ครวญและปรับเพื่อเพิ่มแนวร่วม / แอบหนักใจการตะเพิด 250 ส.ว. เพราะกลไลรธน.ทำไม่ได้
17 ส.ค. 63 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ กล่าวว่าวันนี้ทำเฟสบุ๊คไลฟ์ห่างเรือนจำสักหน่อย
เพราะว่านอกเรือนจำมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ส่วนเรื่องของเรือนจำก็คือ วันที่
20 ส.ค. ก็เป็นวันที่แกนนำนปช.ที่อยู่ในเรือนจำจะไปศาลอาญา รัชดาภิเษก
ก็เรียนเชิญใครที่จะไปพบกันที่ศาลก็ได้
ส่วนวันที่
19 ส.ค. นี้ ดิฉันได้รับข่าวมาจากคุณณัฐวุฒิว่า การกักตัวในสถานการณ์โควิด19
ของแกนนำนปช.ในเรือนจำก็ครบกำหนด 14 วัน ซึ่งทำให้สามารถเยี่ยมได้
แต่ต้องรอประสานอีกทีว่าทางเรือนจำจะอนุญาตให้เยี่ยมแบบไหน อย่างไร?
ฉะนั้นใครที่เป็นแฟนคลับก็ไปรอเยี่ยมกันได้นะคะ
ดิฉันขอตัดมาเรื่องนอกเรือนจำ
วันนี้ที่ดิฉันจะพูดก็คือ ประเด็น
“ประเมินการชุมนุม 16 ส.ค. ของกลุ่มประชาชนและเยาวชนปลดแอก”
มองด้วยสายตาประชาชนทั่วไปแล้วประเมินอย่างไม่มีอคติ
ดิฉันก็ขอชื่นชมว่าในการชุมนุมของกลุ่มเยาวชน แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นประชาชน
ดิฉันถือว่าได้ผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย อาจจะเรียกได้ว่าเต็ม 100%
เลยก็ได้ หลายส่วนเกินคาด
คือหลายคนแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่คิดว่าคนมาชุมนุมอย่างมากไม่เกิน 3 พันคน
แต่นี่ดิฉันไม่แน่ใจมันจะเป็น 3 หมื่นหรือเปล่า? ก็เรียกว่าคนไปลงชื่อของกลุ่ม iLaw
ก็เป็นหมื่น คนที่ไม่ได้ลงชื่ออีก และถ้าวัดพื้นที่ดิฉันก็คิดว่าร่วม 3
หมื่นคนน่าจะได้ แปลว่าเลยกว่าที่เจ้าหน้าที่ประเมินไว้ 10 เท่า
นี่พูดในแง่จำนวนคน
ถ้าประเมินก็ถือว่าเป็นการประเมินที่เกินคาดสำหรับฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐและอนุรักษ์นิยมที่ไม่ต้องการเห็นการชุมนุมของเยาวชน
(คือมีอคติด้านลบ)
ภาพมุมสูงของผู้ชุมนุม #คณะประชาชนปลดแอก (เครดิตภาพจาก นิรนามปลดแอก) |
สำหรับดิฉัน
มีพี่น้องจากต่างจังหวัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็โทรมาถามด้วยความเป็นห่วง
ถามว่ามีคนมากมั้ย ดิฉันตอบไปก่อนที่จะมีการชุมนุมว่า “ดิฉันคิดว่ามาก”
เพราะว่าจังหวะก้าวของกลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” กับ “ประชาชนปลดแอก” ดี! เห็นได้ชัดเลย
เริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนในการเปลี่ยนชื่อ นั่นแปลว่ากลุ่ม “เยาวชนปลดแอก”
ต้องการยกระดับ ไม่ใช่มีแต่เยาวชน ต้องการให้มีประชาชนมาร่วมด้วย
ดังนั้น
การที่เปลี่ยนชื่อเป็น “ประชาชนปลดแอก” ก็เท่ากับเป็นการประกาศให้รู้ว่าไม่ได้มีแต่เฉพาะนักเรียน
นิสิต นักศึกษา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมด้วย
ในแง่ขององค์ประกอบและแง่ของจำนวนคนถือว่าสัมฤทธิ์ผลตามที่คิดไว้ทุกประการ
อันที่สองเรามามองดูที่เป้าหมายและเนื้อหาในการนำเสนอ
ต้องถือว่ากลุ่มนี้ทำได้สำเร็จ ในตอนแรกเสนอ 3 ข้อ
ซึ่งในตอนแรกบางคนอาจจะไม่เห็นด้วยในการเรียงลำดับ คือเริ่มต้นด้วย “ยุบสภา” ก่อน
แล้วก็ตามด้วยไม่คุกคาม แล้วก็ตามด้วยแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จะอย่างไรก็ตามในที่สุดก็มีการสลับ คือเอาไม่คุกคามที่ทำได้ง่ายที่สุดขึ้นก่อน
แล้วก็จัดการเรื่องรัฐธรรมนูญ (ไม่ใช้คำว่าแก้ไข เปลี่ยนเป็นร่างใหม่)
ประการต่อมาก็คือ “ยุบสภา”
นั่นแสดงว่ากลุ่มนี้รับฟังและมีการปรับ
นอกจากนั้นกลุ่มนี้ได้รับการยอมรับ ตอนนั้นยังใช้ชื่อ “เยาวชนปลดแอก”
คือกลุ่มเยาวชนทุกที่ขานรับข้อเสนอต่อรัฐบาลและต่อสังคม 3 ข้อนี้ เป็นเอกภาพกันหมดก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น
“ประชาชนปลดแอก” ด้วยซ้ำ และเพื่อให้บรรลุ 3 ข้อเรียกร้องนั้นก็ได้เพิ่มเติมจุดยืน
2 ข้อคือ ไม่เอารัฐประหารและไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ
ไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครจะนินทาว่าใครจะไปคุยกับใคร
แต่ดิฉันเข้าใจว่าเยาวชนเหล่านี้เขาวิเคราะห์ว่า
ถ้าจะใช้การรัฐประหารหรือการตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหา 3 ข้อ
ก็คือผมไม่คุกคามนะ ผมจะทำรัฐธรรมนูญใหม่นะ
(เพราะว่าทำรัฐประหารก็ต้องฉีกรัฐธรรมนูญ) แล้วผมก็จะยุบสภานะ
เยาวชนเหล่านี้ไม่เอาการแก้ปัญหาด้วยการรัฐประหารและการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
ก็คือมารวมกันเป็นรัฐบาลเดียวกันทั้งหมด ประกาศ 2 จุดยืนนี้หลังจากนั้น
ก็แปลว่าได้ไปใคร่ครวญ แล้วก็เพิ่มจุดยืนนี้มา
หลังจากนี้ถ้าเราจำได้ก็คือเมื่อวันที่
10 ส.ค. ที่มีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์โดยอีกคณะหนึ่ง ก็ได้มีการนำเสนอ 10
ข้อเรียกร้อง ซึ่งเป็น 10 ข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ภายใต้กติกาที่ว่ายังเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งดิฉันก็วิเคราะห์แล้วว่าใน 10 ข้อเรียกร้องหัวใจมันก็อยู่ตรงนี้
ดังนั้นหลังวันที่
10 เมื่อการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์มีข้อเสนอแบบนี้ เราก็ได้เห็นว่าคณะ “เยาวชนปลดแอก”
นอกจากขยายยกระดับเปลี่ยนเป็น “ประชาชนปลดแอก” แต่ได้เพิ่ม 1 ความฝันขึ้นมา
ความฝันก็คืออยากได้การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ที่มีเสถียรภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังที่ดิฉันได้บอกแล้วว่าดิฉันดูแล้วข้อเสนอ 10
ข้อ ยังอยู่ในบริบทนี้ มันไม่ใช่ข้อเสนอว่าเป็นสาธารณรัฐ ไม่ใช่!
ดังนั้นจะบอกว่ากลุ่มที่ธรรมศาสตร์หรือกลุ่มไหน ๆ ล้มล้างสถาบัน
ดิฉันไม่เห็นด้วยนะ! เพราะว่าเขายังอยู่ในปริมณฑล
ยังอยู่ในบริบทของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
และหลายข้อก็อาจจะไปเอาแบบอย่างของอังกฤษมาเป็นส่วนใหญ่ ก็คืออยากได้แนวนั้น
ก็ถือว่าเป็นความฝันและวิธีคิดที่เขามองว่ามันน่าจะดีกว่าที่เป็นอย่างนี้
เพื่อให้การเมืองการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงเหมือนสากล
และมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นก็คือ “รัฐธรรมนูญ”
เป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งแน่นอนมันก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้
ชูธง 6 ผืนบนเวที #คณะประชาชนปลดแอก เมื่อ 16 ส.ค. 63 (เครดิตภาพจาก Banrasdr Photo) |
ดังนั้นดิฉันก็ยังต้องชมเชยคณะเยาวชนปลดแอก
ดังที่ดิฉันได้เขียนเป็นเนื้อหาบทความที่ผ่านมาก็คือ มีการปรับ
รับฟังสิ่งที่ธรรมศาสตร์เสนอ แล้วก็เอามาใส่ไว้
เพราะฉะนั้นตอนสุดท้ายของการชุมนุม เราก็จะเห็นประมาณเป็นธง 6 ผืน
3
ข้อแรกก็เป็นธง 3 ผืน
2
ข้อจุดยืนก็เป็นธงอีก 2 ผืน
และธงผืนที่
6 ก็คือพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นองค์พระประมุขในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยนี่แหละ
ก็ถือว่าเป็นการนำเสนอที่ดิฉันเองก็ชมว่า
พยายามนำเอาข้อเสนอของกลุ่มอื่น ๆ และผู้ที่ท้วงติงเข้ามาปรับปรุงระดับหนึ่ง
คือไม่ได้ทิ้งใคร แต่ก็ถือว่ามันเป็นเพียงความฝันที่อยากให้เป็นจริง แต่ว่าเฉพาะหน้า
3 ข้อ และมีการยืนยันเรื่องที่ว่าจะต้องมีผลออกมา 1 เดือนในเรื่องของการแก้ไข
ซึ่งก็เปลี่ยนจากคำว่าแก้ไขมาเป็นการทำให้เกิดมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ดิฉันก็หนักใจนะในประเด็นนี้
แล้วจะให้ ส.ว. หมดบทบาท แต่ถ้ารัฐธรรมนูญยังเป็นอยู่อย่างนี้ จะเอา ส.ว. ออกอย่างไร?
นี่ก็เป็นเรื่องที่ดิฉันก็อยากฝากคำถามทิ้งเอาไว้ว่า ในกรณีที่พูดตรง ๆ
ว่าไล่ตะเพิด ส.ว. 250 คนนั้น โดยกลไกรัฐธรรมนูญมันทำไม่ได้!
แล้วถ้าจะใช้กลไกนอกรัฐธรรมนูญอย่างหนึ่งอย่างใด
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปพิจารณาอีกที
แต่โดยภาพรวมแล้ว
ข้อเสนอ 3 ข้อ 2 จุดยืน 1 ความฝัน หรือเราจะเรียกว่าธง 6 ผืนนั้น ก็เป็นธง 6
ผืนที่ฟังขึ้น (เฉพาะธงนะ) แต่ประเด็นว่าไล่ตะเพิด ส.ว. อย่างไร?
อันนั้นเป็นการบ้านต้องไปทำอีกทีหนึ่งว่ามันทำได้หรือเปล่า?
ซึ่งดิฉันรู้ว่ารัฐธรรมนูญนี้ จะแก้ไข จะยกเลิก มันยาก!!! มันเขียนเอาไว้ให้ “ฉีก”
อย่างเดียว คนที่จะทำได้ก็คือการทำรัฐประหาร ปักเป็นธงที่ชัดเจน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือ
มันต้องยกระดับการเรียกร้องของประชาชน
ดังที่กลุ่มลูกหลานนี้ทำสำเร็จระดับหนึ่งก็คือจัดแฟลชม็อบย่อย ๆ พัฒนามาสู่เป็นการชุมนุมขนาดใหญ่
อันนี้ต้องถือว่าเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ที่สุดหลังจากมีการทำรัฐประหาร 2557
เป็นต้นมา
แต่แน่นอน...ลูกหลานหรือว่ากลุ่มเยาวชนปลดแอกแล้วก็คณะอื่น
ๆ ด้วย ขอให้ไปตรวจสอบการชุมนุมในอดีต จำนวนคนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมของคนเสื้อแดงและนปช. เรียกว่าล้นหลาม กปปส.
เขาก็มาคุยว่าในราชดำเนินของเขาก็ล้นหลาม แต่มันอยู่ที่ประเด็นและข้อเรียกร้องนั้นชอบธรรมและได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศหรือเปล่า?
แต่ดิฉันชื่นใจที่ว่าเยาวชนเกือบทั้งหมดแสดงออกโดย
ยกตัวอย่างเช่น ศิลปิน
ซึ่งปกติจะไม่กล้าแสดงออกทางการเมืองเพราะเกรงว่าแฟนคลับจะมีปัญหาจำนวนหนึ่ง
นอกจากคนที่เรียกว่าชัดเจน แต่ในวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมาแล้วก็ก่อนหน้านั้น
เราจะเห็นว่านักร้อง นักแสดง นักดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นวัยรุ่นเนี่ยชัดเจน
แล้วกลุ่ม The
bottom blues ที่มาร้องเพลง ดิฉันไม่รู้จักหรอกแต่ก็ถือว่าเป็นวงดัง
เขาบอกว่า “ถูกเลิกจ้างไม่เป็นไร มาเพื่ออุดมการณ์” นอกจากนั้นจะเป็น BNK48 หรืออะไรอื่น ๆ มากมาย นี่เป็นประวัติการณ์ใหม่ที่เยาวชนคน Generation
Y, Z กลุ่มนักเรียนอายุ 10 กว่าปี กลุ่ม 20 กว่าปี เป็นกำลังหลัก
แอมมี่ The Bottle Blues โผล่ม็อบ (ขอบคุณภาพจากมติชนสุดสัปดาห์) |
ดิฉันชื่นใจตรงที่ว่า
ในอดีตที่ผ่านมานั้น ในฐานะที่เราก็เป็นปัญญาชนอาจจะเป็นรุ่นเก่าก็ตาม
แต่ปัญญาชนจะถือธงในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อสิทธิ เพื่อความเท่าเทียม พูดง่าย
ๆ ว่า ในการต่อสู้เพื่อให้ได้ระบอบประชาธิปไตย ปกติปัญญาชนและชนชั้นกลางจะเป็นกองหน้าที่สำคัญ
แต่ทศวรรษที่ผ่านมา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งต่อสู้กับคนรากหญ้า
แน่นอน...คุณอาจจะดูว่าต่ำต้อย จำนวนคนของเรามากมายมหาศาล
แต่เสียงมันไม่ได้ดังเท่ากับชนชั้นกลาง
ที่ผ่านมาก็ถูกดูแคลนว่าทำเพื่อคน
ๆ เดียว เป็นคนรับใช้ โดยไม่ได้ให้เครดิตกับอุดมการณ์
เพราะฉะนั้นในงานนี้จำนวนหนึ่งประสบความสำเร็จในแง่ที่ว่า ดึงเครือข่าย
จะเป็นศิลปิน นักแสดง คือคนใน Generation เดียวกันมาได้หมด
นี่คือสิ่งที่บอกถึงอันตรายต่อรัฐอนุรักษ์นิยม
เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ในความขัดแย้งเก่า เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับสีเหลือง สีแดง
แต่ปรากฏว่าคน Generation เหล่านี้ อายุ 10 กว่า 20 กว่า
ค่อนข้างจะเห็นพ้องเหมือนกันหมดทั่วประเทศ (ดิฉันดูแล้วประมาณ 80-90%)
เพราะฉะนั้นที่คุณจะมาบังคับไม่ให้ไปม็อบ
บังคับไม่ให้ไปเรียกร้อง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะโลกของเขามันเป็นโลกที่เปิดสมองหมด
เขาได้รับความรู้ ได้รับความเข้าใจจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่จากคำบอกเล่าเท่านั้น
เพราะว่าในระบบนั้นครูบาอาจารย์เขาล้วนแต่ถูกปั้มมาในสายอนุรักษ์นิยม
ก็หวังจะปั้มเด็กให้เป็นอนุรักษ์นิยมแบบตัวเอง ผิดค่ะ!!!
เพราะว่าเขาไม่ได้มีครูเฉพาะในระบบ ครูนอกระบบน่าตื่นเต้น น่าสนใจ
ทำไมพูดไม่เหมือนกัน แล้วความจริงอยู่ที่ไหน? ดังนั้นคน Generation นี้สนใจค้นหาความจริง แล้วก็เป็นลักษณะที่กล้าคิด กล้าทำ
กล้าที่จะเป็นกบฎ (กบฏนี้ในความหมายทางที่ดีนะคะ) ก็คือไม่จำเป็นต้องคิดตาม
ทำเหมือน ๆ กัน ถ้าทำแบบนั้นนะรับรองได้ว่าชีวิตไม่มีทางประสบความสำเร็จ
เพราะในโลกทุนนิยม เสรีประชาธิปไตย คุณต้องคิดแตกต่างคุณถึงจะสามารถนำเสนอในสิ่งที่มีลูกค้าได้
ชู 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์เรื่องสิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ |
ขณะนี้ที่นำเสนอในเรื่องของสิทธิ
เสรีภาพ ความเท่าเทียม และภราดรภาพที่ชู 3 นิ้วนั้น โดยใจหมด
ดังนั้นภาพเยาวชนไทยที่ชู 3 นิ้ว จึงเป็นภาพที่แตกต่างจากประเทศอื่นในโลก
เพราะเราชู 3 นิ้วเอาจริงเอาจังนะ ประเทศอื่นเขาไม่จำเป็นที่ต้องมาชู 3
นิ้วแบบมีพลัง แบบชูมือสูง ๆ แบบนี้ มันเหมือนในหนัง แต่มันมีพลังมากนะ
เวลาคนเป็นหมื่นเป็นแสนมาชู 3 นิ้วสูง ๆ เมื่อก่อนนี้เรามาเขย่าตีนตบ มือตบ
มันไม่มีพลังเท่าชู 3 นิ้วอย่างนี้
ท่านผู้ชมลองนั่งอยู่ที่บ้าน
ลองชู 3 นิ้วสูง ๆ แล้วลองดูกระจก จะพบว่าไม่ใช่คนเดิมแล้ว เป็นคนที่มีพลังในตัว
ดังนั้นดิฉันประเมินก็คือ
การยกระดับวัตถุประสงค์ทำได้ดี
การทำชื่อใหม่เป็น
“ประชาชนปลดแอก” ก็ทำได้ดี
กระบวนการในการสร้างเครือข่าย
ไม่ว่าการพยายามให้มีกลุ่มตัวแทนออกมาพูด แน่นอนว่าบางคนพูดไม่เก่ง
แต่มันต้องมีตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นมา แล้วพยายามที่ให้มีข้อเรียกร้อง
เช่นกลุ่ม LGBT กลุ่มนักเรียน กลุ่มแรงงาน กลุ่มอื่น ๆ รวมทั้ง “เสื้อแดง”
และการพยายามทำความเข้าใจในเรื่องการต่อสู้ของคนเสื้อแดงและนปช.
สำหรับตัวดิฉันเองก็เฉย
ๆ นะ ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเข้าใจและเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ในประวัติศาสตร์
แต่ปรากฏว่าพวกคนเสื้อแดงจำนวนมากดีใจ แน่นอนเยาวชนจำนวนหนึ่งเพิ่งรู้
เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหม่ที่เดี๋ยวนี้ทำไมเขาคิดอะไรแบบเดียวกันกับคนเสื้อแดง
คนเสื้อแดงและนปช.ได้ทำมาก่อนแล้ว สิ่งที่ “ณัฐวุฒิ” พูด “จากดินถึงฟ้า”
ก็มีการนำมาพูดกันใหม่
ก็คือเรื่องที่พูดกันก็เป็นเรื่องที่เราเคยพูดมาแล้วทั้งนั้น
เรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความยุติธรรม เรียกร้องความเท่าเทียมกัน มองว่าตัวเองเป็น
“ไพร่” เป็นข้อเรียกร้องของไพร่ เพราะเราไม่ต้องการระบอบอำมาตยาธิปไตย
ดังนี้เป็นต้น ความจริงเนื้อหามันเหมือนกัน
แต่นั้นมันเป็นเสียงเรียกร้องจากคนที่เป็นรากหญ้า ซึ่งอาจจะเรียกตัวเองว่าเป็น
“ไพร่” ในโลกสมัยใหม่
ปัจจุบันมันเหมือนกัน
แต่มันเป็นเสียงเรียกร้องของปัญญาชนหนุ่มสาว ชนชั้นกลาง และรวมทั้งละอ่อน
(ภาษาเหนือ) กระทั่งนักเรียนมัธยมต้น-ปลาย มันเป็นเอกภาพ ไม่มีใครสั่ง
ไม่มีใครไปสอน แต่ว่าโลกสมัยใหม่
เทคโนโลยีและการกระจายความรู้นั้นทำให้เขาเปล่งเสียงที่มีอานุภาพ
ดังนั้นที่ผ่านมาดิฉันให้เครดิตกับการทำงานของเยาวชน
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการนำเสนอ “วิ่งการ์ตูน” หรืออะไรก็ตาม การที่มีการร้องเพลง
แจวเรือ พายเรือ และวัย
การเรียกร้องประชาธิปไตยในเมืองไทยต้องมาอาศัยเด็กรุ่นหลานในช่วงเวลานี้ จึงมีลักษณะแตกต่างจากประเทศอื่น
สำหรับดิฉันถือว่าเป็นเรื่องที่คนอนุรักษ์นิยม
ดิฉันไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร สำหรับเรา เรารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงวันใดวันหนึ่ง
อ.ธิดา นี่รอมานานมาก แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือไม่นึกว่า Generation Z เด็กอายุ 10 กว่าปีจะมาเป็นพลังสำคัญด้วย
ก็คิดเอาว่าน่าจะเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่นี่มันมาจนถึงนักเรียน
ถ้ามาถึงนักเรียนนะ
ขออภัย คุณจะมาห้ามอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ประถมนี่อาจารย์ว่ามันก็ไปแล้วนะ
อย่าให้ถึงอนุบาลแบบหลานปู่หลานย่าก็แล้วกัน 3-4 ขวบ อะไรแบบนี้
คือคนยิ่งอายุน้อยเขาก็มีความเป็นตัวของเขาเองสูงนะ มันไม่เหมือนกับคนรุ่นก่อน ๆ
ดิฉันก็คิดว่าคุณทำสารพัดกับคนเสื้อแดง
เพราะถูกมองว่าเป็นไพร่ เป็นคนรากหญ้า ไม่มีน้ำยาอะไร
แล้วก็ใช้วาทกรรมเฮชสปีดดูถูกดูหมิ่น ใช้ความรุนแรงจัดการอย่างไรก็ได้
แต่กับคนรุ่นใหม่ เด็กเยาวชนยังวัยรุ่นอยู่ คุณทำอย่างนั้นไม่ได้
แล้วคุณห้ามก็ไม่ได้ คุณคอยดูซิ นี่ไม่ต้องยุแหย่นะ
เพราะนักศึกษาเยาวชนเหล่านี้ยุไม่ได้นะ เขาต้องคิดของเขาเอง เห็นชอบเอง
มันไม่เหมือนกับคนรุ่นที่กำลังจะพ้นไปจากโลกนี้แล้ว
ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่า มีอะไรที่น่ากลัวมาเคาะประตู และที่เคาะประตูเพื่อเขาต้องการออกไปสู่โลกที่สดชื่นและมีแสงสว่างนั้น ก็คือลูกหลาน ซึ่งคุณเอาไม่อยู่แน่นอน!!!