นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓
๑๙ พ.ค. ๖๓
แม้คำถามประเภท "ถ้า..." ไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้เรารู้ว่าอะไรอุบัติขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่มีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หลายอย่าง เช่นในบรรดาเงื่อนไขปัจจัยที่นำไปสู่อุบัติการณ์นั้นๆ เงื่อนไขปัจจัยอันใดมีความสำคัญที่สุด และอันใดมีส่วนช่วยสนับสนุน และยังช่วยให้เราหยั่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดมาก่อนหน้าอุบัติการณ์นั้น หรือหลังอุบัติการณ์นั้นได้กระจ่างขึ้น ฯลฯ เป็นต้น
ก่อนปี ๕๓ ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหรือสนับสนุนการรัฐประหารใน ๒๕๔๙ รู้อยู่แล้วว่า การเลือกตั้งที่ให้สิทธิอย่างเท่าเทียมแก่พลเมืองทุกคนจะให้ผลเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของชนชั้นนำ อันที่จริงนี่เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย แต่ชนชั้นนำในสังคมอื่นจะสั่งสมอำนาจที่"เนียน"กว่าในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, หรือการเมือง โดยหลีกเลี่ยงที่จะทำลายสิทธิเสมอภาคของการเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้ง แต่ชนชั้นนำไทยประกอบด้วยกลุ่มคนที่หลากหลายกว่า ซ้ำยังไม่ได้กลืนเข้าหากันภายใต้วัฒนธรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก เช่นระหว่างครอบครัวเจ้าสัวที่ยังพูดไทยไม่ชัด เจ้าสัวที่ทั้งบิดา-มารดาได้เรียนจนจบจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ไปแล้ว และเจ้าสัวที่มีมารดาเป็นม.ร.ว. ครอบครัวเหล่านี้มีงานอดิเรกคนละอย่าง ฟังเพลงคนละชนิด อ่านหนังสือคนละเล่ม และสร้างเครือข่ายกันไปในหมู่คนต่างกลุ่มกัน (จึงถ้อยทีถ้อยเหยียดกันอยู่ในที)
ด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่สามารถพัฒนายุทธศาสตร์-ยุทธวิธีที่จะถ่วงดุลอาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งด้วยวิธีอื่นมากไปกว่าอำนาจดิบ นั่นคือที่มาของวงจรรัฐประหารในการเมืองไทย และวุฒิสภาจากการแต่งตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มีความมุ่งหมายที่จะทำลายกลไกถ่วงดุลการเลือกตั้งเหล่านี้ (โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม) แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ร่างขึ้นเพื่อนำเอากลไกดังกล่าวกลับมาใหม่เป็นบางส่วน โดยความเข้าใจว่าจะเพียงพอกับสถานการณ์ (มีวุฒิสมาชิกจากการแต่งตั้งครึ่งเดียว และแยกการตัดสินใจของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาออกจากกัน)
ผลการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ พิสูจน์ว่า ข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไม่สามารถลดทอนอาญาสิทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้งได้ตามที่มุ่งหวัง จำเป็นต้องสร้างพลังมวลชนในฝ่ายชนชั้นนำ กดดันจนการเมืองไม่อาจดำเนินไปได้โดยปรกติ แม้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะถูก"ตุลาการภิวัตน์"ไปถึงสองครั้ง อาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งก็ยังจะเปิดให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ชนชั้นนำควบคุมได้ยาก ในที่สุดก็ต้องหันไปทำรัฐประหารอีกครั้งในค่ายทหาร ตั้งรัฐบาลที่ชนชั้นนำพอไว้วางใจได้ให้ขึ้นสู่อำนาจใหม่
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งตื่นตัวทางการเมืองแล้ว กลับสามารถจัดองค์กรให้แก่ตนเอง เพื่อกดดันรัฐบาลของชนชั้นนำยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ผู้นำของนปช.บางท่านกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของฝ่ายประชาชนให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้งในพ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ เป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นได้ในทุกสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่รุนแรง (เช่นให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญซึ่งใช้บังคับอยู่) ข้ออ้างนี้ฟังดูจริงในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป แต่ในประเทศไทย การเลือกตั้งนั่นแหละคือตัวประเด็นหลักที่จะทำลายโครงสร้างอำนาจซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่ ๒๔๙๐ ลงทั้งหมด การเลือกตั้งคือตัวปัญหาหลักที่ฝ่ายชนชั้นนำยังแก้ไม่ตก การเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ คือการบอกชนชั้นนำว่า "มึงถอยออกไป" นั่นเอง
ความรุนแรงที่ฝ่ายชนชั้นนำใช้ในการยุติข้อเรียกร้อง (ที่ฟังดูแสนปรกติธรรมดา) นี้ มักอธิบายกันว่า เป็นเพราะฝ่าย"เสื้อแดง"เลือกจะเสนอตนเองเป็นชนชั้นล่าง ซึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองและไม่ร่วมอยู่ในเครือข่ายไม่ว่าชิดใกล้หรือห่างไกลของชนชั้นนำเลย จึงทำให้ฝ่ายชนชั้นนำไม่มีความยับยั้งชั่งใจ หรือระงับความรุนแรงลงก่อนที่จะสูญเสียมากเกินไป อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการเมืองไทย
แต่หากเรามองกลไกการควบคุมทางการเมืองซึ่งชนชั้นนำได้วางไว้ตั้งแต่ ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ก็จะเห็นได้ว่าฝ่ายชนชั้นนำก็ไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากใช้ความรุนแรงอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ความรุนแรงจากการไล่ยิงประชาชนซึ่งปราศจากอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงดึงเอากลไกรัฐทุกอย่าง โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมมารับใช้ระบอบอำนาจนิยมที่สถาปนาขึ้นจนหมดตัว และหมดทุน กลไกรัฐที่ถูกใช้ไปจนหมดตัวและหมดทุนเช่นนี้ ก็เป็นความ"รุนแรง"อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยไม่สามารถรองรับระบอบใดได้อีก นอกจากระบอบแห่งความรุนแรง
หากใช้ความเปรียบแบบฝรั่ง การปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดที่สุดซึ่งเกิดในปี ๒๕๕๓ คือการข้ามแม่น้ำรูบิคอนของชนชั้นนำไทย เช่นเดียวกับเมื่อจูเลียส ซีซาร์ตัดสินใจข้ามน้ำนั้นเพื่อปราบชนเผ่าเยอรมัน ชะตากรรมของตัวเขาเองและของกรุงโรมก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีทางหวนกลับไปเหมือนเดิมได้อีก
แม้แต่การรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ก็เป็นผลมาจากความรุนแรงที่นำมาใช้ในปี ๒๕๕๓ นับเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ของชนชั้นนำกลุ่มนั้น เมื่อได้ตัดสินใจข้ามแม่น้ำรูบิคอนในปี ๒๕๕๓ มาเสียแล้ว ทั้งรัฐประหาร ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทำทุกอย่างโดยโจ่งแจ้ง ที่จะปลดอำนาจของการเลือกตั้งออกไปจนไร้ความหมาย ในขณะเดียวกันก็ไม่เหลือทางออกสำหรับการประนีประนอมใดๆ แก่ฝ่ายประชาชนด้วย
ความรุนแรงเป็นวงจรอุบาทว์ที่น่ากลัว ไม่ว่าฝ่ายใดก่อขึ้น ก็ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อปิดโอกาสที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรงตอบโต้ พื้นที่แห่งความขัดแย้งจึงยิ่งขยายออกไปจนครอบงำทุกส่วนของสังคม ช่องทางแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติจึงยิ่งหดลง (เช่นยังเหลือเหยื่อความรุนแรงในปี ๕๓ สักกี่คนที่ยังคิดจะใช้วิธีการทางการศาล เพื่อบรรเทาบาดแผลของตน) แม้แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่นำไปสู่หนทางที่จะแก้ไขความขัดแย้ง หรือเข้าถึงความเป็นธรรมได้ เพราะการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี ๖๐ไม่เปิดโอกาสให้ได้ฝ่ายบริหารตามเจตนาของผู้เลือกตั้ง แต่ต้องเป็นฝ่ายบริหารที่ชนชั้นนำยอมรับเท่านั้น ดังนั้นฝ่ายบริหารที่ได้มาจึงเป็นฝ่ายที่มาจากการใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้เอง
ความรุนแรงปิดล้อมทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ใช้ความรุนแรง และเหยื่อของความรุนแรง ในที่สุดก็ดึงเอาทุกคนเข้ามาอยู่ในวงล้อมด้วย
สถานการณ์บังคับให้เราทุกฝ่ายต้องเดินสู่จุดจบที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะจบลงที่การเลือกตั้งที่ไร้ความหมาย หรือลงที่การเลือกตั้งอันมีความหมายบริบูรณ์อย่างที่ควรเป็นก็ตาม
ดังนั้น ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ ประเทศไทยและเราทุกคนย่อมไม่เดินมาถึงจุดนี้
แต่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และถูกเบียดเบียนบีฑาสืบมาจนถึงทุกวันนี้จากหลายฝ่าย ทำให้เราคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฝ่าย "เสื้อแดง" จะชนะ แต่ความเป็นไปได้นั้นพอมีให้เห็นอยู่บ้าง
ในระยะแรกของการเริ่มรวมตัวเพื่อชุมนุมในปี ๕๓ มีความพยายามของฝ่ายปกครองในจังหวัดต่างๆ ที่จะสะกัดกั้นการรวมตัว ในจังหวัดที่เป็นแหล่งรวมตัวบ้าง ในจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสู่กรุงเทพฯ บ้าง แต่เมื่อการรวมตัวยังทำได้ต่อไป จนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้ว ความพยายามสะกัดกั้นของราชการส่วนภูมิภาคก็ยุติลง การเดินทางลงมาสมทบของผู้คน หรือแม้แต่การส่ง"กำลังบำรุง"ในรูปต่างๆ เป็นไปโดยสะดวก
นปช.อาจเสนอการรวมตัวของประชาชนจากหลายสิบจังหวัดเหล่านี้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างพร้อมเพรียงด้วยความสมัครใจของแต่ละครอบครัวของผู้เข้าร่วมชุมนุม ผู้เขียนไม่คิดว่าการชุมนุมขนาดใหญ่ที่รวมคนหลายประเภทและหลายแหล่งที่มาขนาดนั้นจะเป็นไปได้โดยปราศจาก"การจัดตั้ง" โดยเฉพาะในแต่ละจังหวัดย่อมต้องมี"แกนนำ"ในการระดม "แกนนำ"เหล่านี้คือเครือข่ายที่ประกอบด้วยคนหลายสถานะ นับตั้งแต่นักการเมือง (ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ), นายทุนท้องถิ่น, ผู้มีอิทธิพลทางใดทางหนึ่งในจังหวัด, เชื่อมโยงไปถึงผู้นำในระดับอำเภอ-ตำบล-และหมู่บ้าน
เพราะสถานะที่"ไม่ธรรมดา"ของบุคคลในเครือข่าย"จัดตั้ง"เช่นนี้ ทำให้ฝ่ายปกครองในส่วนภูมิภาคเลือกที่จะสะกัดการเดินทางของผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นเพียง"คนเล็กคนน้อย" แทนที่จะประกบหรือ"ล้อค"บุคคลในเครือข่ายจัดตั้ง ซึ่งจะได้ผลกว่า แต่การสะกัดกั้นคนเล็กคนน้อยทำให้ผู้มีอำนาจในส่วนกลางซึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ในเวลานั้นเห็นว่า ได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว
ประเด็นที่ต้องการกล่าวในที่นี้ก็คือ กลไกรัฐของไทยไม่มีความเป็นเอกภาพ ในยามที่มีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างหนักในส่วนกลาง ข้าราชการมักเลือกจะ (ขอใช้สำนวนฝรั่งอีกครั้ง) "นั่งอยู่บนรั้ว" รอให้เห็นชัดว่าฝ่ายใดชนะเสียก่อนจึงกระโดดลงมายืนอยู่ฝ่ายนั้น
สรุปก็คือ ตกถึงปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม ๒๕๕๓ ระบบควบคุมผ่านกลไกรัฐของรัฐบาลที่ชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งตั้งขึ้น ได้สลายลงไปเกือบหมดแล้ว เพราะระบบราชการเกือบทั้งหมดขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วรอสัญญาณที่ชัดเจนว่าฝ่ายใดจะชนะ
สิ่งที่น่าถามต่อมาก็คือ เมื่อกลไกรัฐส่วนที่เป็นราชการพลเรือนขาดเอกภาพ กองทัพเล่ามีเอกภาพมากน้อยเพียงไร ผู้เขียนเห็นว่าก็ขาดเอกภาพไม่ต่างจากกัน ยิ่งในพ.ศ.๒๕๕๓ มองเห็นได้ชัดแล้วว่า "มุ้ง"หรือ faction หนึ่งของกองทัพคือ"บูรพาพยัคฆ์"กำลังเข้ามาสืบทอดอำนาจครอบครองทั้งตำแหน่งและผลประโยชน์ (ที่เรียกกันในภายหลังว่า "ทุนสีเขียว" หรือ Khaki Capital) ของกองทัพไปอย่างสืบเนื่อง "มุ้ง"อื่นในกองทัพย่อมเลือกจะ"นั่งอยู่บนรั้ว"เช่นเดียวกัน
ตราบเท่าที่กองทัพยังจมดิ่งเสวยสุขอยู่กับ"ทุนสีเขียว"มูลค่ามหาศาลเช่นนี้ ก็ยากที่กองทัพจะมีเอกภาพได้
น่าสังเกตด้วยว่า ส่วนใหญ่ของหน่วยทหารที่ใช้ในการปราบปราม"เสื้อแดง"อย่างโหดเหี้ยมนั้น ล้วนเป็นหน่วยทหารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก (คล้ายๆ กับการสังหารหมู่ประชาชนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต) เหตุผลก็เพราะหน่วยทหารเหล่านี้มักอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ "สาย" ที่ครองอำนาจอยู่ในกองทัพ เพราะเป็นพรรคพวกเดียวกันจึงได้รับมอบหมายให้คุมกำลังซึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้ หรือป้องกันมิให้คู่แข่งนำไปใช้ประโยชน์บ้าง
ดังนั้นในปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงตกอยู่ในที่ล้อม ไม่ใช่เพราะ"เสื้อแดง"ที่ราชประสงค์เพียงอย่างเดียว แต่สถานการณ์ของทั้งประเทศโดดเดี่ยวรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพภายใต้บูรพาพยัคฆ์ไปอย่างเด็ดขาดด้วย หากทิ้งให้การชุมนุมประท้วงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์และบูรพาพยัคฆ์ย่อมตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากขึ้นทุกที
นี่คือเหตุผลที่การขอคืนพื้นที่และการกระชับวงล้อมต้องทำอย่างเด็ดขาด, รุนแรง, และเหี้ยมเกรียม เพื่อยุติการชุมนุมอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น ส่งสัญญาณที่ไม่มีทางอ่านผิดไปทั่วประเทศว่าใครคือฝ่ายชนะ (ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลถนอม-ประภาสในปี ๒๕๑๗ และรัฐบาลสุจินดาในพ.ศ.๒๕๓๕ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน)
ข้อสมมติว่า ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ จึงไม่ใช่ความเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว และถ้าประชาชนเป็นฝ่ายชนะ (ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการล้อมปราบอย่างเหี้ยมโหด) จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย
ประการแรก ผู้เขียนเชื่อว่า ชนชั้นล่าง (ซึ่งผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่าคือคนชั้นกลางระดับล่าง) จะมีที่ทางอย่างเด่นชัดในการเมืองไทย พวกเขาคงจะยึดเอาการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการมีส่วนทางการเมือง เพราะจำนวนที่มาก แม้ขาดการจัดองค์กรที่กระชับ ก็จะประกันสิทธิเท่าเทียมทางการเมืองของพวกเขา และด้วยเหตุดังนั้นพรรคการเมืองและ"ฝ่ายการเมือง"กลุ่มต่างๆ จะ"เห็นหัว"พวกเขายิ่งขึ้น ไม่เฉพาะแต่พรรคทรท.เท่านั้น แต่รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย เจ้าสัวทั้งหลายต้องเร่งทำ CSR มากขึ้น หรือเบน CSR ที่ทำอยู่ให้"ดัง"ในหมู่ชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่าการบริจาคโครงการสังคมสงเคราะห์ระดับบน
ประการต่อมา ในระยะเวลาเพียง ๑๘ ปีจาก ๒๕๓๕ กองทัพพิสูจน์ให้เห็นว่า กำลังทางทหารของตนไม่สามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองได้ กองทัพจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนักของชนชั้นนำ อย่างน้อยก็มีขีดจำกัดที่ใช้ล้มกระดานไม่ได้ผล คือถึงล้มกระดานได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระดานใหม่เพื่อตอบสนองอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นนำได้เต็มที่นัก อย่างไรเสียระบอบปกครองที่เกิดจากการล้มกระดาน ก็ต้องประนีประนอมกับอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นอื่นอยู่มาก
๑๙ พ.ค. ๖๓
แม้คำถามประเภท "ถ้า..." ไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้เรารู้ว่าอะไรอุบัติขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ แต่มีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หลายอย่าง เช่นในบรรดาเงื่อนไขปัจจัยที่นำไปสู่อุบัติการณ์นั้นๆ เงื่อนไขปัจจัยอันใดมีความสำคัญที่สุด และอันใดมีส่วนช่วยสนับสนุน และยังช่วยให้เราหยั่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดมาก่อนหน้าอุบัติการณ์นั้น หรือหลังอุบัติการณ์นั้นได้กระจ่างขึ้น ฯลฯ เป็นต้น
ก่อนปี ๕๓ ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหรือสนับสนุนการรัฐประหารใน ๒๕๔๙ รู้อยู่แล้วว่า การเลือกตั้งที่ให้สิทธิอย่างเท่าเทียมแก่พลเมืองทุกคนจะให้ผลเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของชนชั้นนำ อันที่จริงนี่เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตยทั้งหลาย แต่ชนชั้นนำในสังคมอื่นจะสั่งสมอำนาจที่"เนียน"กว่าในการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, หรือการเมือง โดยหลีกเลี่ยงที่จะทำลายสิทธิเสมอภาคของการเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้ง แต่ชนชั้นนำไทยประกอบด้วยกลุ่มคนที่หลากหลายกว่า ซ้ำยังไม่ได้กลืนเข้าหากันภายใต้วัฒนธรรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก เช่นระหว่างครอบครัวเจ้าสัวที่ยังพูดไทยไม่ชัด เจ้าสัวที่ทั้งบิดา-มารดาได้เรียนจนจบจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ไปแล้ว และเจ้าสัวที่มีมารดาเป็นม.ร.ว. ครอบครัวเหล่านี้มีงานอดิเรกคนละอย่าง ฟังเพลงคนละชนิด อ่านหนังสือคนละเล่ม และสร้างเครือข่ายกันไปในหมู่คนต่างกลุ่มกัน (จึงถ้อยทีถ้อยเหยียดกันอยู่ในที)
ด้วยเหตุดังนั้นจึงไม่สามารถพัฒนายุทธศาสตร์-ยุทธวิธีที่จะถ่วงดุลอาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งด้วยวิธีอื่นมากไปกว่าอำนาจดิบ นั่นคือที่มาของวงจรรัฐประหารในการเมืองไทย และวุฒิสภาจากการแต่งตั้งในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มีความมุ่งหมายที่จะทำลายกลไกถ่วงดุลการเลือกตั้งเหล่านี้ (โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม) แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ร่างขึ้นเพื่อนำเอากลไกดังกล่าวกลับมาใหม่เป็นบางส่วน โดยความเข้าใจว่าจะเพียงพอกับสถานการณ์ (มีวุฒิสมาชิกจากการแต่งตั้งครึ่งเดียว และแยกการตัดสินใจของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาออกจากกัน)
ผลการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ พิสูจน์ว่า ข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไม่สามารถลดทอนอาญาสิทธิ์ที่มาจากการเลือกตั้งได้ตามที่มุ่งหวัง จำเป็นต้องสร้างพลังมวลชนในฝ่ายชนชั้นนำ กดดันจนการเมืองไม่อาจดำเนินไปได้โดยปรกติ แม้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะถูก"ตุลาการภิวัตน์"ไปถึงสองครั้ง อาญาสิทธิ์ของการเลือกตั้งก็ยังจะเปิดให้มีการตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ชนชั้นนำควบคุมได้ยาก ในที่สุดก็ต้องหันไปทำรัฐประหารอีกครั้งในค่ายทหาร ตั้งรัฐบาลที่ชนชั้นนำพอไว้วางใจได้ให้ขึ้นสู่อำนาจใหม่
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งตื่นตัวทางการเมืองแล้ว กลับสามารถจัดองค์กรให้แก่ตนเอง เพื่อกดดันรัฐบาลของชนชั้นนำยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ผู้นำของนปช.บางท่านกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของฝ่ายประชาชนให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ ทั้งในพ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ เป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย เกิดขึ้นได้ในทุกสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่รุนแรง (เช่นให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญซึ่งใช้บังคับอยู่) ข้ออ้างนี้ฟังดูจริงในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป แต่ในประเทศไทย การเลือกตั้งนั่นแหละคือตัวประเด็นหลักที่จะทำลายโครงสร้างอำนาจซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่ ๒๔๙๐ ลงทั้งหมด การเลือกตั้งคือตัวปัญหาหลักที่ฝ่ายชนชั้นนำยังแก้ไม่ตก การเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ คือการบอกชนชั้นนำว่า "มึงถอยออกไป" นั่นเอง
ความรุนแรงที่ฝ่ายชนชั้นนำใช้ในการยุติข้อเรียกร้อง (ที่ฟังดูแสนปรกติธรรมดา) นี้ มักอธิบายกันว่า เป็นเพราะฝ่าย"เสื้อแดง"เลือกจะเสนอตนเองเป็นชนชั้นล่าง ซึ่งไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองและไม่ร่วมอยู่ในเครือข่ายไม่ว่าชิดใกล้หรือห่างไกลของชนชั้นนำเลย จึงทำให้ฝ่ายชนชั้นนำไม่มีความยับยั้งชั่งใจ หรือระงับความรุนแรงลงก่อนที่จะสูญเสียมากเกินไป อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการเมืองไทย
แต่หากเรามองกลไกการควบคุมทางการเมืองซึ่งชนชั้นนำได้วางไว้ตั้งแต่ ๒๔๙๐ เป็นต้นมา ก็จะเห็นได้ว่าฝ่ายชนชั้นนำก็ไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากใช้ความรุนแรงอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ความรุนแรงจากการไล่ยิงประชาชนซึ่งปราศจากอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงดึงเอากลไกรัฐทุกอย่าง โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมมารับใช้ระบอบอำนาจนิยมที่สถาปนาขึ้นจนหมดตัว และหมดทุน กลไกรัฐที่ถูกใช้ไปจนหมดตัวและหมดทุนเช่นนี้ ก็เป็นความ"รุนแรง"อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้ชนชั้นนำไทยไม่สามารถรองรับระบอบใดได้อีก นอกจากระบอบแห่งความรุนแรง
หากใช้ความเปรียบแบบฝรั่ง การปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดที่สุดซึ่งเกิดในปี ๒๕๕๓ คือการข้ามแม่น้ำรูบิคอนของชนชั้นนำไทย เช่นเดียวกับเมื่อจูเลียส ซีซาร์ตัดสินใจข้ามน้ำนั้นเพื่อปราบชนเผ่าเยอรมัน ชะตากรรมของตัวเขาเองและของกรุงโรมก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีทางหวนกลับไปเหมือนเดิมได้อีก
แม้แต่การรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ก็เป็นผลมาจากความรุนแรงที่นำมาใช้ในปี ๒๕๕๓ นับเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ของชนชั้นนำกลุ่มนั้น เมื่อได้ตัดสินใจข้ามแม่น้ำรูบิคอนในปี ๒๕๕๓ มาเสียแล้ว ทั้งรัฐประหาร ๒๕๕๗ และรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทำทุกอย่างโดยโจ่งแจ้ง ที่จะปลดอำนาจของการเลือกตั้งออกไปจนไร้ความหมาย ในขณะเดียวกันก็ไม่เหลือทางออกสำหรับการประนีประนอมใดๆ แก่ฝ่ายประชาชนด้วย
ความรุนแรงเป็นวงจรอุบาทว์ที่น่ากลัว ไม่ว่าฝ่ายใดก่อขึ้น ก็ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อปิดโอกาสที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้ความรุนแรงตอบโต้ พื้นที่แห่งความขัดแย้งจึงยิ่งขยายออกไปจนครอบงำทุกส่วนของสังคม ช่องทางแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติจึงยิ่งหดลง (เช่นยังเหลือเหยื่อความรุนแรงในปี ๕๓ สักกี่คนที่ยังคิดจะใช้วิธีการทางการศาล เพื่อบรรเทาบาดแผลของตน) แม้แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่นำไปสู่หนทางที่จะแก้ไขความขัดแย้ง หรือเข้าถึงความเป็นธรรมได้ เพราะการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี ๖๐ไม่เปิดโอกาสให้ได้ฝ่ายบริหารตามเจตนาของผู้เลือกตั้ง แต่ต้องเป็นฝ่ายบริหารที่ชนชั้นนำยอมรับเท่านั้น ดังนั้นฝ่ายบริหารที่ได้มาจึงเป็นฝ่ายที่มาจากการใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้เอง
ความรุนแรงปิดล้อมทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ใช้ความรุนแรง และเหยื่อของความรุนแรง ในที่สุดก็ดึงเอาทุกคนเข้ามาอยู่ในวงล้อมด้วย
สถานการณ์บังคับให้เราทุกฝ่ายต้องเดินสู่จุดจบที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะจบลงที่การเลือกตั้งที่ไร้ความหมาย หรือลงที่การเลือกตั้งอันมีความหมายบริบูรณ์อย่างที่ควรเป็นก็ตาม
ดังนั้น ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ ประเทศไทยและเราทุกคนย่อมไม่เดินมาถึงจุดนี้
แต่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และถูกเบียดเบียนบีฑาสืบมาจนถึงทุกวันนี้จากหลายฝ่าย ทำให้เราคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฝ่าย "เสื้อแดง" จะชนะ แต่ความเป็นไปได้นั้นพอมีให้เห็นอยู่บ้าง
ในระยะแรกของการเริ่มรวมตัวเพื่อชุมนุมในปี ๕๓ มีความพยายามของฝ่ายปกครองในจังหวัดต่างๆ ที่จะสะกัดกั้นการรวมตัว ในจังหวัดที่เป็นแหล่งรวมตัวบ้าง ในจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสู่กรุงเทพฯ บ้าง แต่เมื่อการรวมตัวยังทำได้ต่อไป จนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แล้ว ความพยายามสะกัดกั้นของราชการส่วนภูมิภาคก็ยุติลง การเดินทางลงมาสมทบของผู้คน หรือแม้แต่การส่ง"กำลังบำรุง"ในรูปต่างๆ เป็นไปโดยสะดวก
นปช.อาจเสนอการรวมตัวของประชาชนจากหลายสิบจังหวัดเหล่านี้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างพร้อมเพรียงด้วยความสมัครใจของแต่ละครอบครัวของผู้เข้าร่วมชุมนุม ผู้เขียนไม่คิดว่าการชุมนุมขนาดใหญ่ที่รวมคนหลายประเภทและหลายแหล่งที่มาขนาดนั้นจะเป็นไปได้โดยปราศจาก"การจัดตั้ง" โดยเฉพาะในแต่ละจังหวัดย่อมต้องมี"แกนนำ"ในการระดม "แกนนำ"เหล่านี้คือเครือข่ายที่ประกอบด้วยคนหลายสถานะ นับตั้งแต่นักการเมือง (ทั้งท้องถิ่นและระดับชาติ), นายทุนท้องถิ่น, ผู้มีอิทธิพลทางใดทางหนึ่งในจังหวัด, เชื่อมโยงไปถึงผู้นำในระดับอำเภอ-ตำบล-และหมู่บ้าน
เพราะสถานะที่"ไม่ธรรมดา"ของบุคคลในเครือข่าย"จัดตั้ง"เช่นนี้ ทำให้ฝ่ายปกครองในส่วนภูมิภาคเลือกที่จะสะกัดการเดินทางของผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นเพียง"คนเล็กคนน้อย" แทนที่จะประกบหรือ"ล้อค"บุคคลในเครือข่ายจัดตั้ง ซึ่งจะได้ผลกว่า แต่การสะกัดกั้นคนเล็กคนน้อยทำให้ผู้มีอำนาจในส่วนกลางซึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ในเวลานั้นเห็นว่า ได้พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว
ประเด็นที่ต้องการกล่าวในที่นี้ก็คือ กลไกรัฐของไทยไม่มีความเป็นเอกภาพ ในยามที่มีการต่อสู้ทางการเมืองอย่างหนักในส่วนกลาง ข้าราชการมักเลือกจะ (ขอใช้สำนวนฝรั่งอีกครั้ง) "นั่งอยู่บนรั้ว" รอให้เห็นชัดว่าฝ่ายใดชนะเสียก่อนจึงกระโดดลงมายืนอยู่ฝ่ายนั้น
สรุปก็คือ ตกถึงปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม ๒๕๕๓ ระบบควบคุมผ่านกลไกรัฐของรัฐบาลที่ชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งตั้งขึ้น ได้สลายลงไปเกือบหมดแล้ว เพราะระบบราชการเกือบทั้งหมดขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วรอสัญญาณที่ชัดเจนว่าฝ่ายใดจะชนะ
สิ่งที่น่าถามต่อมาก็คือ เมื่อกลไกรัฐส่วนที่เป็นราชการพลเรือนขาดเอกภาพ กองทัพเล่ามีเอกภาพมากน้อยเพียงไร ผู้เขียนเห็นว่าก็ขาดเอกภาพไม่ต่างจากกัน ยิ่งในพ.ศ.๒๕๕๓ มองเห็นได้ชัดแล้วว่า "มุ้ง"หรือ faction หนึ่งของกองทัพคือ"บูรพาพยัคฆ์"กำลังเข้ามาสืบทอดอำนาจครอบครองทั้งตำแหน่งและผลประโยชน์ (ที่เรียกกันในภายหลังว่า "ทุนสีเขียว" หรือ Khaki Capital) ของกองทัพไปอย่างสืบเนื่อง "มุ้ง"อื่นในกองทัพย่อมเลือกจะ"นั่งอยู่บนรั้ว"เช่นเดียวกัน
ตราบเท่าที่กองทัพยังจมดิ่งเสวยสุขอยู่กับ"ทุนสีเขียว"มูลค่ามหาศาลเช่นนี้ ก็ยากที่กองทัพจะมีเอกภาพได้
น่าสังเกตด้วยว่า ส่วนใหญ่ของหน่วยทหารที่ใช้ในการปราบปราม"เสื้อแดง"อย่างโหดเหี้ยมนั้น ล้วนเป็นหน่วยทหารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก (คล้ายๆ กับการสังหารหมู่ประชาชนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต) เหตุผลก็เพราะหน่วยทหารเหล่านี้มักอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ "สาย" ที่ครองอำนาจอยู่ในกองทัพ เพราะเป็นพรรคพวกเดียวกันจึงได้รับมอบหมายให้คุมกำลังซึ่งอาจนำมาใช้ประโยชน์ทางการเมืองได้ หรือป้องกันมิให้คู่แข่งนำไปใช้ประโยชน์บ้าง
ดังนั้นในปลายเมษายนและต้นพฤษภาคม รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงตกอยู่ในที่ล้อม ไม่ใช่เพราะ"เสื้อแดง"ที่ราชประสงค์เพียงอย่างเดียว แต่สถานการณ์ของทั้งประเทศโดดเดี่ยวรัฐบาลอภิสิทธิ์ และกองทัพภายใต้บูรพาพยัคฆ์ไปอย่างเด็ดขาดด้วย หากทิ้งให้การชุมนุมประท้วงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์และบูรพาพยัคฆ์ย่อมตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงมากขึ้นทุกที
นี่คือเหตุผลที่การขอคืนพื้นที่และการกระชับวงล้อมต้องทำอย่างเด็ดขาด, รุนแรง, และเหี้ยมเกรียม เพื่อยุติการชุมนุมอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น ส่งสัญญาณที่ไม่มีทางอ่านผิดไปทั่วประเทศว่าใครคือฝ่ายชนะ (ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลถนอม-ประภาสในปี ๒๕๑๗ และรัฐบาลสุจินดาในพ.ศ.๒๕๓๕ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน)
ข้อสมมติว่า ถ้าประชาชนชนะในปี ๕๓ จึงไม่ใช่ความเพ้อฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว และถ้าประชาชนเป็นฝ่ายชนะ (ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังการล้อมปราบอย่างเหี้ยมโหด) จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย
ประการแรก ผู้เขียนเชื่อว่า ชนชั้นล่าง (ซึ่งผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่าคือคนชั้นกลางระดับล่าง) จะมีที่ทางอย่างเด่นชัดในการเมืองไทย พวกเขาคงจะยึดเอาการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการมีส่วนทางการเมือง เพราะจำนวนที่มาก แม้ขาดการจัดองค์กรที่กระชับ ก็จะประกันสิทธิเท่าเทียมทางการเมืองของพวกเขา และด้วยเหตุดังนั้นพรรคการเมืองและ"ฝ่ายการเมือง"กลุ่มต่างๆ จะ"เห็นหัว"พวกเขายิ่งขึ้น ไม่เฉพาะแต่พรรคทรท.เท่านั้น แต่รวมถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย เจ้าสัวทั้งหลายต้องเร่งทำ CSR มากขึ้น หรือเบน CSR ที่ทำอยู่ให้"ดัง"ในหมู่ชนชั้นกลางระดับล่างมากกว่าการบริจาคโครงการสังคมสงเคราะห์ระดับบน
ประการต่อมา ในระยะเวลาเพียง ๑๘ ปีจาก ๒๕๓๕ กองทัพพิสูจน์ให้เห็นว่า กำลังทางทหารของตนไม่สามารถกำหนดทิศทางทางการเมืองได้ กองทัพจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนักของชนชั้นนำ อย่างน้อยก็มีขีดจำกัดที่ใช้ล้มกระดานไม่ได้ผล คือถึงล้มกระดานได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระดานใหม่เพื่อตอบสนองอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นนำได้เต็มที่นัก อย่างไรเสียระบอบปกครองที่เกิดจากการล้มกระดาน ก็ต้องประนีประนอมกับอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชนชั้นอื่นอยู่มาก
เมื่อกองทัพไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากนัก
การเมืองไทยที่"คาดเดาได้"มากขึ้นนี้ ย่อมเป็นผลดีแก่เศรษฐกิจไทยด้วย อาจเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยซึ่งเริ่มทรุดลงตั้งแต่ ๒๕๔๙ จะเริ่มทรงตัวและอาจผงกขึ้นได้ นอกจากนี้ สิทธิประชาธิปไตยซึ่งมั่นคงขึ้นก็จะบีบบังคับให้ฝ่ายทุนต้องปรับตัว ซึ่งในระยะหนึ่งคงเกิดความเจ็บปวดแก่สังคมด้วย เช่นขยับเทคโนโลยีการผลิตให้สูงขึ้นเพื่อลดการจ้างแรงงานลง เพราะไม่สามารถกดราคาแรงงานได้ต่อไป ความจำเป็นที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปของฝ่ายทุนนี้เอง อาจเป็นไกปืนที่ผลักให้เกิดการปฏิรูปในด้านอื่นเช่นการศึกษาด้วยเป็นต้น
ที่กล่าวข้างต้นนี้มาจากความเชื่อของผู้เขียนว่า สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ, สังคม, และการเมืองต่างหาก ที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปได้จริง ไม่ใช่คำสั่งของเผด็จการหรือนโยบายของพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว
เมื่อชนชั้นนำไม่เห็นประโยชน์ทางการเมืองของกองทัพมากนัก ก็น่าจะแทรกแซงกองทัพน้อยลง "การเมือง"ของกองทัพก็จะเปลี่ยนไป จากการเกาะกลุ่มเป็น"สาย"ในกองทัพ เพื่อแข่งกันชิงตำแหน่งระดับสูง ก็จะเป็นโอกาสมากขึ้นของทหารอาชีพที่มีสมรรถภาพจริง ได้ไต่เต้าสู่ระดับบังคับบัญชาขั้นสูงได้ ถึงนายทหารเหล่านี้ไม่เป็นผู้นำในการล้มเลิก"ทุนสีเขียว"เสียเอง แต่ในภาวะที่"การเมืองนำการทหาร"ก็เป็นไปได้ว่า "ทุนสีเขียว"จะถูกบ่อนทำลายลงทีละเล็กละน้อย จนหมดความสำคัญลงในที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลานานแต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น
ประการที่สาม เป็นไปได้อย่างมากที่สุดที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากเป็นข้อเสนอหนึ่งของผู้นำนปช.บางคนแล้ว ยังเป็นหนทางที่จะล้มล้างความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นระหว่างการรัฐประหาร ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ด้วย ทั้งในทางการเมือง, ตุลาการ, กฏหมาย, และกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังชัยชนะของประชาชน พรรคการเมืองที่เลือกจะชิงการสนับสนุนจากกลุ่ม"เสื้อแดง" ย่อมใช้การนำเอารัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้ใหม่เป็นนโยบายหาเสียง ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากรวมพรรคการเมืองอื่นๆ อีกหลายพรรคที่ต้องการคะแนนเสียงเหมือนกัน
ผลของการเลือกตั้งสร้างปราการอันแข็งแกร่งขึ้นปกป้องรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แต่ผลของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ก็ยังอยู่ และกลายเป็นอุปสรรคทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ พอสมควร เช่นนักการเมืองที่เจนจัดในเวทีการเมืองจำนวนเป็นร้อยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
จะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยไม่บั่นรอนสถาบันตุลาการ และสถาบันทางการเมืองอื่นๆ จนทำให้สังคมสูญเสียศรัทธาไปจนหมดสิ้น เหลือหนทางจะทำได้ก็โดยการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ซึ่งก็แก้ปัญหาไปได้เพียงส่วนเดียว และจำกัดอยู่แต่ทางด้านการเมืองเท่านั้น) หรือหันกลับมารับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ คือถือว่าการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้นในทางกฏหมาย มีคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อพิจารณากฏหมายและคำสั่งบางข้อ ให้มีผลต่อไปตามคำรับรองของรัฐสภาเท่านั้น
ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคุณทักษิณ ชินวัตรจะกลับประเทศไทย ส่วนจะกลับมาเป็นผู้นำทางการเมืองอีกหรือไม่ ก็ต้องผ่านการเลือกตั้ง (ที่จัดขึ้นใหม่หลัง ๒๕๕๓ หรือที่ค้างเก่ามาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารที่ถูก"ตุลาการภิวัตน์"ตัดสินว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ)
คุณทักษิณคนใหม่ก็จะใช้ถุงมือกำมะหยี่แทนถุงมือเหล็กอย่างที่เคยใช้มา เป็นผลให้ลดศัตรูลง แม้ยังเหลืออยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อย (เช่นตัวผู้เขียนเอง ซึ่งไม่ไว้วางใจถุงมือทุกชนิด)
ด้วยเหตุดังนั้น ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ก็จะยอมรับคุณทักษิณได้มากขึ้น อย่างน้อยนโยบาย Dual Tracks หรือนโยบายสองวิถีของคุณทักษิณ ก็ไม่บั่นรอนผลประโยชน์ของฝ่ายทุน และในระยะยาวก็อาจเป็นคุณด้วย เพราะทำให้การเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายทุนแหลมคมน้อยลงในความรู้สึกของคนชั้นกลางระดับล่าง
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณทักษิณเป็นนายกฯ ต่อมาอีก ๑๖ ปีอย่างที่ประกาศว่าจะเป็นต่อกันถึง ๒๐ ปี สองวิถีก็อาจค่อยๆ เปลี่ยนจากเส้นขนานมาทับเป็นเส้นเดียวกัน โดยที่วิถีของคนเล็กคนน้อยจะเหลืออยู่แต่เป็นลูกจ้างหรือเอเย่นต์รายย่อยของทุนระดับใหญ่ – ของไทยหรือของโลก – เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะคุณทักษิณและพรรคทรท.คงได้เป็นรัฐบาลสืบเนื่องมาอีกอย่างน้อยหนึ่งหรือสองสมัยเป็นอย่างน้อย โอกาสที่จะเกิดพรรคคู่แข่งที่พอจะถ่วงดุลอำนาจของทรท.ได้ คงเกิดได้ยากใน ๔-๘ ปีต่อมา แม้จะมีพรรคอนาคตใหม่ ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าที่ผ่านมาอีกมาก กว่าจะตั้งตัวติดบนเวทีการเมือง ส่วนปชป.นั้นไม่ต้องพูดถึง คงสูญพันธุ์ไปเท่านั้น
เสถียรภาพนี้น่าจะทำให้การกระชับระบบราชการให้รวมศูนย์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายปฏิรูประบบราชการของทรท. ประสบความสำเร็จ คือไม่ใช่รวมศูนย์อย่างเดียว แต่มีเอกภาพภายใต้"ซีอีโอ"ด้วย พลังของราชการรวมศูนย์ที่มีเอกภาพเช่นนี้ จะบ่อนทำลายการเติบโตของอำนาจปกครองตนเองของท้องถิ่นมากน้อยเพียงไร ตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคุณทักษิณจะประสาน"สองวิถี"ของการพัฒนาไปอย่างไร
แม้ว่า ชัยชนะของประชาชนในปี ๕๓ จะนำมาซึ่งความมั่นคงทางการเมืองแก่พรรคทรท.สักเพียงไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความตึงเครียดในพรรคทรท.อยู่ไม่น้อยเลย จำนวนไม่น้อยของส.ส.คือเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ในขณะที่ส่วนยอดของปิรามิดคือคุณทักษิณและกลุ่ม"นักปฏิรูป"จากหลายสาขาอาชีพ ที่แวดล้อมคุณทักษิณอยู่ โดยแทบไม่มีคะแนนนิยมทางการเมืองของตนเองเลย เช่น ปัญญาชนอิสระบ้าง, หมอชนบทบ้าง, เกษตรกรแผนใหม่บ้าง, ผู้บริหารการศึกษาระดับสูงบ้าง, ฯลฯ
ความคิด ความเชื่อและความคาดหวังระหว่างคนในส่วนยอดปิรามิด กับส่วนใหญ่ของส.ส.ซึ่งมาจากกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น แตกต่างกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวิธีปฏิบัติต่อนโยบายซึ่งอาจเห็นพ้องต้องกันอยู่แล้วก็ได้
คุณทักษิณต้องประนีประนอมคนสองพวกนี้ให้เดินไปด้วยกันให้ได้ หากจะให้ประเมินว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีกลุ่ม"นักปฏิรูป"ลาจากพรรคทรท.ไปจำนวนหนึ่ง กลุ่มนักการเมืองส่วนหนึ่งก็เช่นกัน และบางคนถึงประกาศตนเป็นอริกับคุณทักษิณในตอนท้ายเลย (ขอให้สังเกตด้วยว่า นักการเมืองและผู้ที่เข้าร่วมในค.ร.ม.ของคสช.และพรรคพปชร.จำนวนไม่น้อย ก็ล้วนเคยอยู่กับคุณทักษิณในทรท.มาก่อน) แม้กระนั้นคุณทักษิณก็สามารถนำพรรคทรท.กวาดคะแนนเสียงไปได้อย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยที่สอง (ที่ถูกตัดสินให้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไป) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า คุณทักษิณจะสามารถประนีประนอมคนสองจำพวกนี้ต่อไปอีก ๑๖ ปี โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อคะแนนเสียงของพรรคทรท.ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อนโยบายจะนำเอาความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเข้าสู่สังคม และเมื่อเกิดพรรคฝ่ายค้านใหม่ที่น่าเกรงขามกว่าพรรคฝ่ายค้านเดิมที่มีมา
นอกจากนี้การขยายตัวของความคิดเสรีนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ (ซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่เกิดการรัฐประหารในพ.ศ.๒๕๕๗ ผู้เขียนก็เดาไม่ถูก) จะเป็นคุณหรือเป็นโทษทางการเมืองแก่พรรคทรท.ของคุณทักษิณ? ถ้าเป็นโทษ คุณทักษิณจะอยู่รอดทางการเมืองถึงอีก ๑๖ ปีตามที่คาดหวังไว้ละหรือ
แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าชะตากรรมทางการเมืองของพรรคทรท.จะลงเอยอย่างไร การเปลี่ยนผ่านไปสู่พรรคใหม่ นโยบายใหม่ และบุคลิกภาพใหม่ จะเกิดขึ้นตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งจะยิ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้นในสังคม จนกระทั่งชนชั้นนำต้องเลือกวิธีอื่นที่ไม่ขัดแย้งกับกระบวนการประชาธิปไตย ในการรักษาอุดมการณ์และผลประโยชน์ของฝ่ายตน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอื่นได้
แต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ข้อสมมติว่าประชาชนชนะในปี ๒๕๕๓ นั้นไม่จริง ตรงกันข้าม กลับพ่ายแพ้ยับเยิน แม้กระนั้นการสมมตินี้ก็มีประโยชน์ เพราะทำให้เราหยั่งได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งจมดิ่งไปสู่แนวทางเดียวของความรุนแรงนั้น นำเรามาถึงจุดที่ไม่อาจหาทางออกทางอื่นได้อีกแล้วในปัจจุบัน ท่ามกลางความสูญเสีย ไม่เฉพาะแต่ชีวิตและสวัสดิภาพของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์ล้อมปราบ แต่ยังรวมถึงโอกาสแห่งความรุ่งเรือง, เสรีภาพ และความสงบที่คนไทยควรได้รับด้วย
การเมืองไทยที่"คาดเดาได้"มากขึ้นนี้ ย่อมเป็นผลดีแก่เศรษฐกิจไทยด้วย อาจเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยซึ่งเริ่มทรุดลงตั้งแต่ ๒๕๔๙ จะเริ่มทรงตัวและอาจผงกขึ้นได้ นอกจากนี้ สิทธิประชาธิปไตยซึ่งมั่นคงขึ้นก็จะบีบบังคับให้ฝ่ายทุนต้องปรับตัว ซึ่งในระยะหนึ่งคงเกิดความเจ็บปวดแก่สังคมด้วย เช่นขยับเทคโนโลยีการผลิตให้สูงขึ้นเพื่อลดการจ้างแรงงานลง เพราะไม่สามารถกดราคาแรงงานได้ต่อไป ความจำเป็นที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปของฝ่ายทุนนี้เอง อาจเป็นไกปืนที่ผลักให้เกิดการปฏิรูปในด้านอื่นเช่นการศึกษาด้วยเป็นต้น
ที่กล่าวข้างต้นนี้มาจากความเชื่อของผู้เขียนว่า สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ, สังคม, และการเมืองต่างหาก ที่บีบบังคับให้เกิดการปฏิรูปได้จริง ไม่ใช่คำสั่งของเผด็จการหรือนโยบายของพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว
เมื่อชนชั้นนำไม่เห็นประโยชน์ทางการเมืองของกองทัพมากนัก ก็น่าจะแทรกแซงกองทัพน้อยลง "การเมือง"ของกองทัพก็จะเปลี่ยนไป จากการเกาะกลุ่มเป็น"สาย"ในกองทัพ เพื่อแข่งกันชิงตำแหน่งระดับสูง ก็จะเป็นโอกาสมากขึ้นของทหารอาชีพที่มีสมรรถภาพจริง ได้ไต่เต้าสู่ระดับบังคับบัญชาขั้นสูงได้ ถึงนายทหารเหล่านี้ไม่เป็นผู้นำในการล้มเลิก"ทุนสีเขียว"เสียเอง แต่ในภาวะที่"การเมืองนำการทหาร"ก็เป็นไปได้ว่า "ทุนสีเขียว"จะถูกบ่อนทำลายลงทีละเล็กละน้อย จนหมดความสำคัญลงในที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลานานแต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น
ประการที่สาม เป็นไปได้อย่างมากที่สุดที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากเป็นข้อเสนอหนึ่งของผู้นำนปช.บางคนแล้ว ยังเป็นหนทางที่จะล้มล้างความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นระหว่างการรัฐประหาร ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ด้วย ทั้งในทางการเมือง, ตุลาการ, กฏหมาย, และกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นในการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นหลังชัยชนะของประชาชน พรรคการเมืองที่เลือกจะชิงการสนับสนุนจากกลุ่ม"เสื้อแดง" ย่อมใช้การนำเอารัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมาใช้ใหม่เป็นนโยบายหาเสียง ทั้งนี้ไม่ได้จำกัดแต่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น หากรวมพรรคการเมืองอื่นๆ อีกหลายพรรคที่ต้องการคะแนนเสียงเหมือนกัน
ผลของการเลือกตั้งสร้างปราการอันแข็งแกร่งขึ้นปกป้องรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ แต่ผลของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ก็ยังอยู่ และกลายเป็นอุปสรรคทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ พอสมควร เช่นนักการเมืองที่เจนจัดในเวทีการเมืองจำนวนเป็นร้อยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
จะแก้ปัญหานี้อย่างไร โดยไม่บั่นรอนสถาบันตุลาการ และสถาบันทางการเมืองอื่นๆ จนทำให้สังคมสูญเสียศรัทธาไปจนหมดสิ้น เหลือหนทางจะทำได้ก็โดยการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ซึ่งก็แก้ปัญหาไปได้เพียงส่วนเดียว และจำกัดอยู่แต่ทางด้านการเมืองเท่านั้น) หรือหันกลับมารับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ คือถือว่าการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ไม่เป็นผลใดๆ ทั้งสิ้นในทางกฏหมาย มีคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อพิจารณากฏหมายและคำสั่งบางข้อ ให้มีผลต่อไปตามคำรับรองของรัฐสภาเท่านั้น
ไม่ว่าจะใช้วิธีใด ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคุณทักษิณ ชินวัตรจะกลับประเทศไทย ส่วนจะกลับมาเป็นผู้นำทางการเมืองอีกหรือไม่ ก็ต้องผ่านการเลือกตั้ง (ที่จัดขึ้นใหม่หลัง ๒๕๕๓ หรือที่ค้างเก่ามาตั้งแต่ก่อนรัฐประหารที่ถูก"ตุลาการภิวัตน์"ตัดสินว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ)
คุณทักษิณคนใหม่ก็จะใช้ถุงมือกำมะหยี่แทนถุงมือเหล็กอย่างที่เคยใช้มา เป็นผลให้ลดศัตรูลง แม้ยังเหลืออยู่บ้างก็เป็นจำนวนน้อย (เช่นตัวผู้เขียนเอง ซึ่งไม่ไว้วางใจถุงมือทุกชนิด)
ด้วยเหตุดังนั้น ชนชั้นนำกลุ่มใหญ่ก็จะยอมรับคุณทักษิณได้มากขึ้น อย่างน้อยนโยบาย Dual Tracks หรือนโยบายสองวิถีของคุณทักษิณ ก็ไม่บั่นรอนผลประโยชน์ของฝ่ายทุน และในระยะยาวก็อาจเป็นคุณด้วย เพราะทำให้การเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายทุนแหลมคมน้อยลงในความรู้สึกของคนชั้นกลางระดับล่าง
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณทักษิณเป็นนายกฯ ต่อมาอีก ๑๖ ปีอย่างที่ประกาศว่าจะเป็นต่อกันถึง ๒๐ ปี สองวิถีก็อาจค่อยๆ เปลี่ยนจากเส้นขนานมาทับเป็นเส้นเดียวกัน โดยที่วิถีของคนเล็กคนน้อยจะเหลืออยู่แต่เป็นลูกจ้างหรือเอเย่นต์รายย่อยของทุนระดับใหญ่ – ของไทยหรือของโลก – เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะคุณทักษิณและพรรคทรท.คงได้เป็นรัฐบาลสืบเนื่องมาอีกอย่างน้อยหนึ่งหรือสองสมัยเป็นอย่างน้อย โอกาสที่จะเกิดพรรคคู่แข่งที่พอจะถ่วงดุลอำนาจของทรท.ได้ คงเกิดได้ยากใน ๔-๘ ปีต่อมา แม้จะมีพรรคอนาคตใหม่ ก็คงต้องใช้เวลานานกว่าที่ผ่านมาอีกมาก กว่าจะตั้งตัวติดบนเวทีการเมือง ส่วนปชป.นั้นไม่ต้องพูดถึง คงสูญพันธุ์ไปเท่านั้น
เสถียรภาพนี้น่าจะทำให้การกระชับระบบราชการให้รวมศูนย์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายปฏิรูประบบราชการของทรท. ประสบความสำเร็จ คือไม่ใช่รวมศูนย์อย่างเดียว แต่มีเอกภาพภายใต้"ซีอีโอ"ด้วย พลังของราชการรวมศูนย์ที่มีเอกภาพเช่นนี้ จะบ่อนทำลายการเติบโตของอำนาจปกครองตนเองของท้องถิ่นมากน้อยเพียงไร ตอบได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคุณทักษิณจะประสาน"สองวิถี"ของการพัฒนาไปอย่างไร
แม้ว่า ชัยชนะของประชาชนในปี ๕๓ จะนำมาซึ่งความมั่นคงทางการเมืองแก่พรรคทรท.สักเพียงไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความตึงเครียดในพรรคทรท.อยู่ไม่น้อยเลย จำนวนไม่น้อยของส.ส.คือเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ในขณะที่ส่วนยอดของปิรามิดคือคุณทักษิณและกลุ่ม"นักปฏิรูป"จากหลายสาขาอาชีพ ที่แวดล้อมคุณทักษิณอยู่ โดยแทบไม่มีคะแนนนิยมทางการเมืองของตนเองเลย เช่น ปัญญาชนอิสระบ้าง, หมอชนบทบ้าง, เกษตรกรแผนใหม่บ้าง, ผู้บริหารการศึกษาระดับสูงบ้าง, ฯลฯ
ความคิด ความเชื่อและความคาดหวังระหว่างคนในส่วนยอดปิรามิด กับส่วนใหญ่ของส.ส.ซึ่งมาจากกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น แตกต่างกันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในวิธีปฏิบัติต่อนโยบายซึ่งอาจเห็นพ้องต้องกันอยู่แล้วก็ได้
คุณทักษิณต้องประนีประนอมคนสองพวกนี้ให้เดินไปด้วยกันให้ได้ หากจะให้ประเมินว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ามีกลุ่ม"นักปฏิรูป"ลาจากพรรคทรท.ไปจำนวนหนึ่ง กลุ่มนักการเมืองส่วนหนึ่งก็เช่นกัน และบางคนถึงประกาศตนเป็นอริกับคุณทักษิณในตอนท้ายเลย (ขอให้สังเกตด้วยว่า นักการเมืองและผู้ที่เข้าร่วมในค.ร.ม.ของคสช.และพรรคพปชร.จำนวนไม่น้อย ก็ล้วนเคยอยู่กับคุณทักษิณในทรท.มาก่อน) แม้กระนั้นคุณทักษิณก็สามารถนำพรรคทรท.กวาดคะแนนเสียงไปได้อย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไปสมัยที่สอง (ที่ถูกตัดสินให้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไป) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า คุณทักษิณจะสามารถประนีประนอมคนสองจำพวกนี้ต่อไปอีก ๑๖ ปี โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อคะแนนเสียงของพรรคทรท.ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อนโยบายจะนำเอาความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเข้าสู่สังคม และเมื่อเกิดพรรคฝ่ายค้านใหม่ที่น่าเกรงขามกว่าพรรคฝ่ายค้านเดิมที่มีมา
นอกจากนี้การขยายตัวของความคิดเสรีนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ (ซึ่งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่เกิดการรัฐประหารในพ.ศ.๒๕๕๗ ผู้เขียนก็เดาไม่ถูก) จะเป็นคุณหรือเป็นโทษทางการเมืองแก่พรรคทรท.ของคุณทักษิณ? ถ้าเป็นโทษ คุณทักษิณจะอยู่รอดทางการเมืองถึงอีก ๑๖ ปีตามที่คาดหวังไว้ละหรือ
แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าชะตากรรมทางการเมืองของพรรคทรท.จะลงเอยอย่างไร การเปลี่ยนผ่านไปสู่พรรคใหม่ นโยบายใหม่ และบุคลิกภาพใหม่ จะเกิดขึ้นตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งจะยิ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้นในสังคม จนกระทั่งชนชั้นนำต้องเลือกวิธีอื่นที่ไม่ขัดแย้งกับกระบวนการประชาธิปไตย ในการรักษาอุดมการณ์และผลประโยชน์ของฝ่ายตน อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอื่นได้
แต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ข้อสมมติว่าประชาชนชนะในปี ๒๕๕๓ นั้นไม่จริง ตรงกันข้าม กลับพ่ายแพ้ยับเยิน แม้กระนั้นการสมมตินี้ก็มีประโยชน์ เพราะทำให้เราหยั่งได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งจมดิ่งไปสู่แนวทางเดียวของความรุนแรงนั้น นำเรามาถึงจุดที่ไม่อาจหาทางออกทางอื่นได้อีกแล้วในปัจจุบัน ท่ามกลางความสูญเสีย ไม่เฉพาะแต่ชีวิตและสวัสดิภาพของผู้คนจำนวนมากในเหตุการณ์ล้อมปราบ แต่ยังรวมถึงโอกาสแห่งความรุ่งเรือง, เสรีภาพ และความสงบที่คนไทยควรได้รับด้วย