ธิดา
ถาวรเศรษฐ : ข้อสังเกตต่อเป้าหมายของการต่อสู้ของประชาชนไทยเพื่อประชาธิปไตย
จุดมุ่งหมายของฝ่ายประชาธิปไตยที่ต่อสู้มาเป็นลำดับตั้งแต่ยุค
ร.5, ร.6, ร.7 จนถึงปัจจุบันนี้
ล้วนมีเป้าหมายตรงกันคือ
“ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไหน? เราอาจสรุปความขัดแย้งหลักในสังคมไทยได้ว่า
ฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยจริง (ที่อำนาจเป็นของประชาชน)
แต่ต้องการให้อำนาจยังอยู่ในมือขุนศึก ขุนนาง ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือ
ระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ ของชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม
นั่นเอง
ความไม่สมบูรณ์และข้ออ่อนของการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร
ก็มีส่วนทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยอ่อนแอในโครงสร้างการเมืองการปกครองที่ยังคงโครงร่างของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แม้เราได้พัฒนาให้เกิดอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารที่มาจากประชาชน
มาจากการเลือกตั้ง แต่ว่านอกนั้นแล้ว โครงสร้าง ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ตำรวจ
ยังไม่ยึดโยงกับประชาชน แต่อย่างใดมาแต่ไหนแต่ไร เพราะสองเรื่องนี้ อำนาจกองทัพ
อำนาจตุลาการ ไม่เคยได้รับการแตะต้อง เปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ 2475 ได้มาปรับปรุงบ้างในภายหลังการต่อสู้ปี พ.ศ. 2516,
พ.ศ. 2535 แต่ก็ยังไม่ถือว่ามีการปฏิรูปใด ๆ
อย่างจริงจัง
ภารกิจในการต่อสู้เพื่อให้อำนาจนิติบัญญัติ
อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ องค์กรอิสระทั้งปวง และกองทัพ
ขึ้นต่ออำนาจประชาชนและหรือยึดโยงกับประชาชนจริง จึงเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าประชาชนไม่ได้อำนาจจริง
ป่วยการที่จะมีรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม
หรือมิฉะนั้นก็ถูกทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก
สรุปคือ
พวกชนชั้นนำจารีตนิยมต่อสู้แข็งขันให้ได้ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั่นเอง
ความแข็งแรงของระบอบนี้ก็ถูกทำให้เป็นความมั่นคงของประเทศชาติไป ซึ่งก็คือความมั่นคงของขุนศึก ขุนนาง
เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นชนชั้นปกครองที่มุ่งสืบทอดอำนาจให้ยาวนานที่สุด
แม้นจะเป็นการหมุนทวนกงล้อประวัติศาสตร์ก็ตาม
ข้าราชการชั้นสูงยังคงเป็นเจ้านาย (เหลือนายเฉย ๆ ไม่มีเจ้า)
ยังเป็นระบบอุปถัมภ์จากชั้นบนลงสู่ชั้นล่างเหมือนอดีต
กองทัพ, ตุลาการ เพิ่มองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ
กลับเป็นอำนาจที่ควบคุมอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร อีกที ถ้าอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งไม่ถูกใจเครือข่ายจารีตนิยม
อำนาจนิยม (รัฐบาลและสภาฯ) ก็ถูกจัดการโดยทหารทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ
เขียนใหม่จนกว่าจะถูกใจ 100% ดังเช่น รัฐธรรมนูญ 60 ฉบับนี้
โครงสร้างรัฐไทยที่ด้านหลักไม่ยึดโยงประชาชน
ตั้งโดยจารีตประเพณี,
กฎหมาย และรัฐธรรมนูญที่เป็นของฝ่ายจารีตนิยม อำนาจนิยม
ทำให้การเมืองการปกครองไทยถอยหลังไปใกล้ ๆ กับยุคปลายสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นั่นเอง
แสดงถึงความกล้าแข็งของรัฐจารีตนิยม อำนาจนิยม
เมื่อพรรคจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ้อน
ๆ กัน พรรคการเมืองตัวแทนฝ่ายจารีตนิยมในเวทีรัฐสภาก็ยุติบทบาทในรัฐสภา นำไปสู่การลงท้องถนนเพื่อให้มีการทำรัฐประหารและสืบทอดอำนาจที่ยาวนานยิ่งขึ้น
การต่อสู้ประชาชนยุคใหม่จึงมุ่งเป้าไปสู่
1.
การปฏิรูปกองทัพให้เป็นกองทัพของประชาชนจริง
ไม่มีหน้าที่ทำรัฐประหารหรือคุมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
2.
ปฏิรูปกฎหมาย, รัฐธรรมนูญ และผู้บังคับใช้กฎหมาย
ดังนั้น
ยังมองไม่เห็นว่าความขัดแย้งหลักนี้จะยุติได้ง่าย
มีแต่ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
ชัยชนะของประชาชนให้ได้อำนาจปกครองตนเองในระบอบประชาธิปไตย
(ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนกัน) อาจยังยาวไกล แต่ชอบธรรมและมีอนาคต และจำเป็นต้องพิจารณาโครงสร้างหลักของสังคมไทย
ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ได้รับการปฏิรูปให้ยึดโยงกับประชาชนจริง
“อย่าหวังว่าระบอบประชาธิปไตยจะสถาปนาได้ในแผ่นดินนี้”
19
พ.ค. 63