วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กป.อพช.บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ คัดค้าน MOU แร่ธาตุสำคัญกับสหรัฐ พร้อมออกแถลงการณ์ 'อาณานิคมโดย MOU ระหว่างไทยและอเมริกาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในแร่สำคัญและแร่หายาก'

 


กป.อพช.บุกทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ คัดค้าน MOU แร่ธาตุสำคัญกับสหรัฐ พร้อมออกแถลงการณ์ 'อาณานิคมโดย MOU ระหว่างไทยและอเมริกาเพื่อส่งเสริมการลงทุนในแร่สำคัญและแร่หายาก'


เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 68 กลุ่มคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) นำโดย นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน วัตถุประสงค์เพื่อยื่นหนังสือถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กรณี คัดค้านบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลไทยว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญและการส่งเสริมการลงทุน (MOU แร่ธาตุสำคัญ) ซึ่งได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค.68 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย


กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินเท้า จากฝั่ง กพ. ไปยังประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาลฝั่งสะพานเชียงใหม่มนุเชษฐ์ เพื่อทำกิจกรรมบริเวณดังกล่าว โดยในพื้นที่ตัวแทน ได้ใช้ลำโพงกล่าวปราศรัยถึงวัตถุประสงค์ รวมถึงออกแถลงการณ์ระบุว่า


2 ธันวาคม 2568


แม้ MOU ที่รัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกาลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อคราวประชุมทวิภาคีระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อพยายามลดการผูกขาดในห่วงโช่อุปทานของแร่สำคัญและแร่หายากของจีน จะไม่เป็นสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญฯ โดยรัฐบาลไทยได้อธิบายว่า MOU ดังกล่าวไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบภายในของแต่ละประเทศ แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า MOU ดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย


และในเมื่อ MOU ดังกล่าวมีผลผูกพันให้รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตามแล้ว ซึ่งในเนื้อหารายละเอียดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติเพื่อให้บังเกิดผลประโยชน์ต่อการค้าการลงทุน จึงเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีผลผูกพันระหว่างประเทศ ต่อให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบภายในของแต่ละประเทศก็ตาม


ซึ่งการลงนามใน MOU ดังกล่าวของรัฐบาลไทย กลับดำเนินการลับ ๆ ล่อ ๆ ต่อประชาชนไทย ด้วยการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และรัฐมนตรีเพียง 7 กระทรวง เพื่อขอมติเห็นชอบในการลงนาม ทั้ง ๆ ที่ควรทำอย่างเปิดเผย โปร่งใส เพราะการมีผลผูกพันให้รัฐบาลไทยต้องปฏิบัติตาม MOU นั้นล้วนมีผลผูกพันต่อผลประโยชน์และผลกระทบต่อประชาชนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้


เหตุก็เพราะว่าพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ซึ่งจะเป็นกฎหมายหลักในการดำเนินการตาม MOU ดังกล่าวมีลักษณะสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง - มีอำนาจรัฐและทุนฝังอยู่ในตัวบทกฎหมายสูงเกินไป และสอง - มีความ รับผิดชอบของบุคลากรและองค์กรที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายต่ำเกินไป จึงก่อให้เกิดลักษณะ "อำนาจสูง ความ รับผิดชอบต่ำ' จึงทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศไทย และกระบวนการผลิตของมันตั้งแต่ต้น - กลาง - ปลายน้ำล้วนเป็นอุตสาหกรรมสกปรก จากการเพิกเฉย ปล่อยปละละเลย ปัดความรับผิดชอบ ไร้จิตสำนึกในการแก้ไขปัญหาผลกระทบ ดังนั้น จึงไม่มีเหมืองแห่งใดเลยในประเทศไทยที่ไม่เป็นอุตสาหกรรมสกปรก


ซึ่งบ้านเมืองเราสามารถสำรวจและทำเหมืองแร่ให้ดีได้ แต่ด้วยลักษณะดังกล่าวของกฎหมายจึงไม่มีเหมืองใดเลยที่เคยทำมาและที่กำลังดำเนินการอยู่สามารถแก้ไขปัญหาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้


แม้รัฐบาลไทยและหน่วยงานราชการจะพยายามอธิบายว่า MOU ดังกล่าวมีลักษณะหลวม ๆ ไม่มีผลผูกพันใด ๆ สามารถยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ นั้น แต่ข้อเท็จจริงในเนื้อหารายละเอียดของ MOU มีลักษณะเปิดกว้างมาก ไม่ใช่หละหลวม เพราะต้องการเปิดประเทศรองรับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากแร่สำคัญตลอดห่วงโช่อุปทานและห่วงโช่การผลิต จากต้นสู่ปลายน้ำ ทั้งการสำรวจแร่ การทำเหมืองแร่ การแต่งแร่ การทำให้บริสุทธิ์ การผลิตแม่เหล็กความเข้มข้นสูงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ การรีไซเคิล ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งรวมและสะสมสารพิษรุนแรงจากกระบวนการเหล่านี้


ดังนั้น เมื่อเทียบระหว่างผลประโยชน์กับผลกระทบแล้ว บ้านเมืองและประชาชนของเราจะได้รับผลกระทบอย่าง รุนแรงโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ส่วนสหรัฐฯจะได้ประโยชน์สูงสุดที่สามารถผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมสกปรกนอกผืนแผ่นดินของตน โดยมิต้องรับผิดชอบต่อต้นทุนทางสังคม สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนบนผืนแผ่นดินของเราแต่อย่างใด


ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา รัฐบาลไทยจึงควรยกเลิก MOU ดังกล่าวเสีย


และมีกรณีตัวอย่างที่ดีของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยที่ขอชื่นชม และสามารถนำมาอ้างในการยกเลิก MOU ดังกล่าวได้โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ทำการยกเลิก MOU ระหว่างกระทรวงดีอีกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC จากประเทศสิงคโปร์ ที่ปกปิดข้อมูผู้ถือหุ้นและเจ้าของที่แท้จริง โดยมีข้อสงสัยว่าบริษัทดังกล่าวน่าจะเป็นเครือข่ายการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลกของนายเบนจามินเมาเออร์เบอร์เกอร์ ที่เกี่ยวโยงกับจีนเทา - สแกมเมอร์ ที่ถูกทางการสหรัฐฯขึ้นบัญชีตำร่วมกับยิม เลียก และอีกกว่า สี่สิบคน


ด้วยความเคารพ

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)

เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ประกอบด้วยรายชื่อองค์กรด้านล่างนี้

1.กลุ่มรักษ์ภูเต่า

2.กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย

3.กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านนครสวรรค์

4.กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได

5.กลุ่มรักษ์ภูชาผักหนาม ลุ่มน้ำเซิน ไม่เอาเหมืองแร่

6.กลุ่มรักษ์อำเภอวานรนิวาส

7.กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด

8.กลุ่มรักษ์ดงลาน

9.กลุ่มรักษ์บ้านแหง

10.กลุ่มเฝ้าระวังอมก่อย

11.กลุ่มคนดอยเต่าไม่เอาเหมืองแร่

12.เครือข่ายยุติเหมืองแร่แม่เลียง

13.เครือข่ายรักษ์ลุ่มน้ำลา

14.เครือข่ายรักษ์แม่น้ำกกท่าตอน - แม่อาย

15.เครือข่ายรักษ์เขาเตาปูน

16.กลุ่มคนรักษ์หัวหวาย

17.กลุ่มรักษ์เขากะลา

18.กลุ่มอนุรักษ์เขาหินจอก

19.กลุ่มรักษ์เขาโต๊ะกรัง

20.เครือข่ายพิทักษ์เขาเตราะปลิง

21.เครือข่ายเยาวชนพิทักษ์เขาลาเมาะ

22.ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชน

23.มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ

24.มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

25.โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่

26.ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย

27.Radical Grandma Collective

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แร่แรร์เอิร์ธ