วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2568

ธิดา ถาวรเศรษฐ : จากชุมนุมปี 2552 มาเป็นการเติบโตและถูกปราบปรามในปี 2553


จากชุมนุมปี 2552 มาเป็นการเติบโตและถูกปราบปรามในปี 2553


หลังจากเหตุการณ์ชุมนุม 2552 เราได้มีการประชุมเพื่อเก็บรับบทเรียนสำคัญ ในทัศนะดิฉันคือ ความเป็นลัทธิวีรชนเอกชน เสรี ไม่มีวินัย ทำให้สถานการณ์บางจุดบานปลายเสียหายต่อขบวนใหญ่ ดิฉันจึงได้เสนอให้มีการทบทวนภาวะการนำ จึงเสนอชุดความคิดใหญ่ ๆ ให้คุณวีระและที่ประชุม นำไปสู่การออกนโยบาย 6 ข้อ และยุทธศาสตร์การต่อสู้ 2 ขา ทั้งในเวทีรัฐสภาและนอกรัฐสภา ในฐานะ นปช. ซึ่งในเวลานั้น เวทีรัฐสภามีพรรคการเมืองที่ถูกกระทำอยู่พรรคเดียวคือพรรคไทยรักไทย เป็นพลังประชาชน และเพื่อไทย


จากแนวร่วมต่อต้านเผด็จการหลวม ๆ ก็เริ่มเป็นแนวร่วมที่กระชับและมีหลักนโยบาย เพื่อชี้นำการต่อสู้ของประชาชนและวิถีการนำให้เป็นเอกภาพ นำมาสู่การเปิดโรงเรียนการเมืองผู้ปฏิบัติงานนปช.ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปลายปี 2552 จนถึงปี 2553 แล้วมาทำต่อในปี 2554 จนครั้งสุดท้ายก่อนทำรัฐประหารในปี 2557 คือโรงเรียนการเมือง นปช.กรุงเทพมหานคร ครั้งสุดท้ายที่เขตดอนเมือง ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2556


สำหรับดิฉันถือว่าโรงเรียนการเมืองนปช. ได้ผลคุ้มค่า แม้ดิฉันจะถูกพวกแกนนำสายเชียร์พรรค สายประจบนาย สายขอรับผลประโยชน์ ก่นด่าอย่างไรก็ตาม เพราะนี่คือการเพาะต้นกล้าประชาธิปไตยในจิตใจของมวลชนพื้นฐาน ชาวนาชาวไร่ คนเสื้อแดง แทบทุกจังหวัดให้เข้าใจการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่อำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อปลดปล่อยประชาชนจากระบอบเผด็จการทหารอำมาตยาธิปไตย คิดว่าได้ผลในหมู่มวลชนจำนวนมาก ถึงกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวกับหมอเหวงว่า “ผมและพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้แพ้พรรคเพื่อไทย แต่แพ้โรงเรียนการเมืองนปช.” และหลังจากปี 2554 เขาได้พยายามเปิดโรงเรียนการเมืองเช่นกัน แถมอุตส่าห์ไปดูงานถึงประเทศจีน เพราะเขาเข้าใจว่า ดิฉันไปลอกแบบจากจีน แต่สุดท้ายเขาล้มเหลว ที่เราใช้คำว่า “โรงเรียนการเมือง” เพื่อให้ดูเป็นภาษาบ้าน ๆ ถ้าจะให้ทันสมัยก็ต้องเป็น Political Academy หรือ UDD Academy เปิดการศึกษานโยบายและยุทธศาสตร์เป็นด้านหลัก พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์แยกมิตรแยกศัตรู โดยดิฉันจะเป็นผู้บรรยายหลัก แต่จะมีองค์ประกอบภาคปฏิบัติ เช่น หลักการจัดตั้ง ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน และสถานการณ์ปัจจุบันในเวลานั้น เพื่อให้แกนนำอื่น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการเป็นวิทยากร


นี่จึงเป็นการตอบคำถามว่า หลังการถูกปราบปรามอย่างรุนแรงปี 2553 ไฉนนปช. คนเสื้อแดง ยังดำรงอยู่และยังขยายตัวเข้มแข็ง จนเกิดรัฐประหารปี 2557 นี่เป็นพลังมวลชนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในการต่อสู้กับพลังจารีตอำนาจนิยม


บทเรียนของปี 2552 ถูกยกระดับให้เกิดภาวะการนำรวมหมู่ที่มีนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ เป็นเอกภาพขึ้น และมีผู้ปราศรัยบางส่วนก็หลุดออกไปเป็นกลุ่มอิสระ เพราะนปช.เริ่มมีความเข้มงวดในการนำรวมหมู่และนโยบายสันติวิธีเข้มข้นมากขึ้น เพื่อรับผิดชอบการขับเคลื่อนมวลชน


การนำมาสู่การประท้วงใหญ่ในปี 2553 ก็หนีไม่พ้นจากความต่อเนื่องของเหตุการณ์ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร ด้วยความร่วมมือของทหารเผด็จการกับนักการเมืองที่ไม่พอใจคุณทักษิณ แล้วแยกตัวไป จะเรียกข้ามขั้วก็ได้ ไปจับมือกับประชาธิปัตย์ ซึ่งค้านกับประชาชนที่เลือกเข้าไปในฐานะพรรคพลังประชาชน (ไทยรักไทย, เพื่อไทย) ทำให้ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน นี่อาจจะถือเป็นแรงผลักดันจากพรรคพลังประชาชนขณะนั้นด้วยที่สนับสนุนการชุมนุม


ความไม่ชอบด้วยหลักการประชาธิปไตย ผสมกับความผิดหวังของพรรคการเมืองที่ถูกกระทำ ก็เปิดการชุมนุมเพื่อให้ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน อันเป็นการชูคำขวัญที่เหมาะสม (ดีกว่าในปี 2552 ให้อภิสิทธิ์ลาออกและองคมนตรีบางท่านลาออก) และสอดคล้องกับวิถีทางระบอบประชาธิปไตย 


การชุมนุมจึงเริ่มขึ้นโดยประชาชนเริ่มเติมทางตั้งแต่ 12 มีนาคม แต่ในกรุงเทพมหานคร เรานัดแนะ 13 มีนาคม ที่อนุสาวรีย์ปราบกบฏ หลักสี่ (ยุคนั้นยังอยู่) การรวมกลุ่มของขบวนรถทั้งจักรยานยนต์ รถกระบะ และการดูแลพี่น้องกทม. ปรากฏว่าไม่ได้รับค่าใช้จ่ายตามที่แกนนำสำคัญคนหนึ่งเคยแจ้งไว้ว่าจะแบ่งมาสนับสนุนกิจกรรมของกรุงเทพฯ สุดท้ายพี่น้องก็ต้องควักกระเป๋าและบ้างก็ไปขอที่พรรคโดยตรง หมอเหวงก็เสียใจที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ตามที่เชื่อคำพูดเรื่องงบประมาณ แต่ก็ไม่อาจทำให้การรวมตัวของประชาชนในกรุงเทพฯ น้อยลงไป ดังนั้นนับจาก 13 มีนาคม ไปจนเกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน ถือว่าเป็นระลอกแรกของการต่อสู้ของประชาชนเช่นกับปี 2552 ที่มีการกระชับพื้นที่และใช้กระสุนจริง พร้อมทั้งพลซุ่มยิงปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน แต่การสูญเสียส่วนของทหารจากระเบิดขว้าง M67 ที่ถนนดินสอ 2 ลูก มีความเสียหายในฝั่งทหารมาก ในขณะที่ประชาชนก็ถูกกระสุนจริงยิงเสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน รายละเอียดให้เปิดอ่านและดูใน VCD 3 ชุดคือ


ชุดที่ 1 เหตุการณ์ 13 มีนาคม 2553 ถึง 9 เมษายน 2553

https://www.youtube.com/watch?v=j1i-HFGmG60&t=261s


ชุดที่ 2 เหตุการณ์ วันที่ 10 เมษายน 366

https://www.youtube.com/watch?v=gIavhPiiE8w&t=188s


ชุดที่ 3 ยุทธการ “ยิงนกในกรง” พฤษภา 53 (หลัง 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553)

https://www.youtube.com/watch?v=kMx3M80-CJ4&t=679s


มีทั้งการบรรยายเหตุการณ์ ซึ่งเราจะได้นำมาลงเป็นตอน ๆ ต่อไป แต่สิ่งที่แตกต่างจากปี 2552 คือ

ด้านดี - ข้อเรียกร้องเหมาะสมทางการเมือง

        -  นปช.เข้มแข็งด้วยหลักนโยบายและยุทธศาสตร์ หลายคนเข้าใจผิดว่ายุทธศาสตร์ 2 ขาคือ ต่อสู้บนถนน 1 ขา และต่อสู้โดยเลือกพรรคเพื่อไทยอีก 1 ขา มันไม่ใช่!!! เราถือเวทีรัฐสภา 1 ขา (คือเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ต่อต้านระบอบอำมาตย์ฯ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่ชื่อพรรค แต่เป็นหลักการ)

           ถ้าพรรคเพื่อไทยไปเป็นร่วมส่วนกับฝ่ายระบอบอำมาตย์ เป็นเครือข่ายและเป็นพรรคนำที่มีคะแนนเสียงมากสุดของระบอบอำมาตย์ ก็แน่นอนว่า มวลชนเสื้อแดง นปช. ส่วนมากคงไม่เห็นด้วยและไม่ไปด้วย แม้จะผูกพันรักใคร่กันก็ตาม

        -  ในเวลานั้น พรรคเพื่อไทยถูกกระทำและมาร่วมสนับสนุนการชุมนุม ทำให้พื้นที่การชุมนุมและผู้ร่วมชุมนุมขยายมากมาย มี 2 จุดใหญ่คือ บริเวณสะพานผ่านฟ้า ซึ่งอยู่ท่ามกลางหน่วยงานรัฐและกองทัพ  อีกส่วนไปตั้งที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งอยู่ท่ามกลางศูนย์กลางธุรกิจทุนนิยม และใกล้สถานทูตต่าง ๆ มาก

        เมื่อถูกปราบปรามจาก 10 เมษายน ก็ยังมายืนหยัดชุมนุมได้ที่แยกราชประสงค์ จนสิ้นสุดด้วยการปราบใหญ่ระลอกสองในเดือนพฤษภาคม


ด้านเสียคือ ภาวะการนำที่ควรจะดี อันเนื่องมาจากการได้รับการยอมรับสูง คือคุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ทั้งเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ แต่กลายเป็นว่า ภาวะการนำรวมหมู่ล้มเหลว ยังมีภาวะวีรชนเอกชน คิดเอง ทำเองตามอำเภอใจ ไม่ขึ้นต่อการนำรวมหมู่ และไม่ยอมรับการนำของคุณวีระกานต์ จนสุดท้ายคุณวีระกานต์ลาออก ทั้งที่ก่อนหน้านั้น มติเกือบเป็นเอกฉันท์ให้ยุติการชุมนุมก่อนที่จะเสียหายมากเกินไป ตั้งแต่ก่อนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 (ที่มีการยิงเสธ.แดงเสียชีวิต) แม้แกนนำสำคัญบางท่านจะเหน็บแนมว่าคบกับดิฉันแล้วต้องยุติการต่อสู้ ยุติการชุมนุมทุกที ดิฉันก็ยังไม่อาจทนให้มีการสูญเสียมากได้ จึงรับการติดต่อจาก สว. ระบุชื่อได้คือ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 13 พฤษภาคม เสียอีก เพื่อประสานว่าขอให้ยุติการชุมนุม แต่มีทั้งประเด็นคนที่ไม่ยอมยุติ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม สถานการณ์ก็ลุกลามบานปลาย แกนนำสำคัญไม่ยอมยุติตั้งแต่หลังวันที่ 10 พฤษภาคม (หลังจาก 10 เมษายน 1 เดือน) สถานการณ์ก็รุนแรงเป็นลำดับ ซึ่งอ่านจากรายงานรายละเอียดและ VCD ยิงนกในกรง ซึ่งดิฉันเขียนสคลิปต์จากวารสาร “เสนาธิปัตย์ ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2553 ที่รายงานรายละเอียดการดำเนินงานปราบปรามประชาชนอย่างภูมิใจว่าเป็นผลงานชิ้นเอกที่เป็นบทเรียนการปราบปรามการรบในเมือง (ยกระดับเราเป็นกองกำลังอาวุธสู้รบในเมืองเสียงั้น)


ยังมีเรื่องที่น่าขำและหดหู่อีกเรื่องคือ แม้แต่งานข่าวกรองต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา) เขามีสายลับทำงานในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เขาเดินทางเข้ามาผ่านเต็นท์ผู้ชุมนุมแล้วเห็นถังแก๊สปิคนิคที่พี่น้องเราใช้หุงข้าวต้มแกงกิน พวกเขาตกใจกันมาก คิดว่าเป็นการเตรียมระเบิดแบบภาคใต้


มีคนสถานทูตมาต่อว่าดิฉันว่า “สันติวิธี” ทำไมมีถังแก๊สเตรียมระเบิด เราก็ต้องอธิบายไป จะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ เป็นมหาอำนาจเสียเปล่า ไม่รู้จะไปร่วมชี้นำเห็นใจให้ปราบปรามประชาชนรุนแรงแบบเดียวกับยุคสงครามเย็นรึเปล่า?


นอกจากนั้นยังมีการขยายความว่า เสธ.แดง เป็นผบ.ฝ่ายทหาร คุณวีระกานต์ เป็นฝ่ายการเมือง เขาจัดการเด็ดหัวเสธ.แดง และคุณวีระกานต์ลาออก ที่เหลือมีกองกำลังทหาร อ้างว่ามีไม่ต่ำกว่า 500 คน รายงานโกหกทั้งสิ้น เสธ.แดง แกมีลูกน้องเดินตามอย่างมากก็สิบคนเท่านั้น การ์ดเราก็อยู่กับตำรวจตลอดเวลา ทำงานคู่กัน ไม่มีที่ลับปิดข่าว นักการทูต ทหาร สายลับ ตำรวจ เดินเข้า-ออก เต็นท์เราได้ทุกเต็นท์ การ์ดเราร่วมกับตำรวจตรวจจับอาวุธผู้เข้าออกทุกวัน มีแต่เจ้าหน้าที่ที่ปลอมตัวมาแล้วพกอาวุธเข้ามาทั้งนั้น


แม้เรามีนโยบายสันติวิธี ทั้งในเอกสาร นปช. บัตร นปช. (ด้านหลัง) และความเป็นจริงที่ไม่มีกองกำลังอาวุธใด ๆ ก็ไม่อาจช่วยให้ความต้องการปราบปรามประชาชนให้รุนแรงหนักกว่าปี 2552 จนได้ หนักกว่า 10 เมษายน 2553 จนแกนนำต้องประกาศยุติเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เวลาบ่ายต้น ๆ พวกแกนนำบางส่วนที่เป็นสายฮาร์ดคอร์ก็หลบไปหมด แต่ไม่รู้ไปอวดอ้างกับนายอย่างไรบ้าง ไปขอเงินเพื่อรึเปล่า?


รายละเอียดเหตุการณ์ ดิฉันจะไม่เขียนตรงนี้ ขอให้อ่านทบทวนอีกจากที่ถอดความไว้จาก VCD ที่ดิฉันทำไว้ตั้งแต่ปี 2555-2556 เป็นต้นมา รวมทั้งข้อสรุปความเสียหายการตาย 99 ศพ


และนี่คือปฐมเหตุที่เกิดการทำรัฐประหารในปี 2557 อีกครั้ง เพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่จะถูกดำเนินคดีทั้งในและนอกประเทศ


ดิฉันเชื่อเช่นนั้น!


เพราะรัฐประหาร 2557 ก็ทำให้คดีความในการลงโทษ สอบสวนผู้ปราบปรามยุติลง ทั้งตำรวจ, DSI, อัยการ, ป.ป.ช., ศาลพลเรือน และศาลทหาร


เราก็จะเปิดเผยข้อมูลและเรียกร้องความยุติธรรมให้ผู้เสียสละชีวิตในการต่อสู้ต่อไป ไม่ใช่จ่ายเงินแล้วจบ เพราะนี่คือความจริงในประวัติศาสตร์ที่ต้องเปิดเผยผู้ฆ่าประชาชน หลังรัฐประหารคดีฝั่งผู้ถูกฆ่าถูกยุติ แต่พยายามฟ้องร้องกรณีชายชุดดำ, กรณีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเละเทะทั้งสิ้น ไม่มีการเอาผิดคนเสื้อแดงได้


แต่แกนนำยังถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาในคดีตั้งแต่ปี 2551, 2552, 2553

 

ครอบครัวเราต้องจ่ายเงินคดีแพ่งกว่าสิบล้านบาทด้วยกำลังของเราเอง

ไม่ได้สู้แล้วรวย!!!

ไม่ได้สู้เพื่อตำแหน่งทางการเมือง!!!

แต่กลับติดคุกและถูกชดใช้เงินกว่าสิบล้านบาท (คดีที่มีการเผาตึกที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) ศาลเอาผิดแกนนำคดีนี้ 3 คน คือ ณัฐวุฒิ, จตุพร และคุณหมอเหวง อีกคดีมีจำเลยคือ ณัฐวุฒิ, จตุพร และอริสมันต์ ตึกบริเวณสยามที่ถูกไฟไหม้)


หมอสลักธรรมก็ถูกรุ่นพี่ศิษย์เก่าจุฬาฯ ฟ้องร้อง จะไม่ให้ปริญญาแพทย์ศาสตร์ เพราะใส่เสื้อกาวน์ยาวมีสัญลักษณ์สภากาชาดวันเจาะเลือดในการชุมนุม ทั้งที่ในช่วงกปปส. ทั้งหมอโรงพยาบาลจุฬาฯ และบุคลากรทางการแพทย์ ใส่เสื้อกาวน์สัญลักษณ์กาชาดเดินขบวนกันเต็มไปหมด ดีที่ผลการพิจารณาของผู้บริหารไม่เอาผิดขนาดนั้น


ดิฉันลืมที่จะเล่าอีกอย่างคือ ในช่วงการชุมนุม 2553 นั้น ดิฉันไม่ยินดีขึ้นเวทีปราศรัย เพราะดิฉันถือตนเองเป็นนักต่อสู้ฝ่ายวิชาการอิสระ ในช่วงนั้นจะขึ้นเวทีโรงเรียนการเมืองนปช.เท่านั้น ดิฉันขีดเส้นไว้เพราะไม่ประสงค์จะแสดงตัวต้องการมีแสง เด่น ดัง หรือเอาบทบาทไปต่อรองทางการเมืองกับใคร


แต่หลังจากการปราบปรามปี 2553 ดิฉันต้องเป็นผู้นำทุกเวที ทุกพื้นที่ แรมเดือน แรมปี ในฐานะประธานนปช. ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2553 จนถึง 2557 ที่มีการรัฐประหารเพื่อปิดฉากการสืบสวนสอบสวนคดีความของปี 2553 นั่นเอง


นี่ก็ไม่ทำให้เราย่อท้อที่จะถูกด่าทอจากพวกกองเชียร์ของพรรคการเมือง ที่เราไม่เห็นด้วยกับการข้ามขั้วไปเป็นกำลังของระบอบอำมาตยาธิปไตย


เราจะเดินบนถนนในฐานะนักต่อสู้ประชาชนต่อไปจนสิ้นลมหายใจ เพื่อถางทางให้คนรุ่นใหม่เดินต่อ จนกว่าจะต่อสู้ให้ได้ อำนาจการเมืองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รำลึก15ปีเมษาพฤษภา53 #ธิดาถาวรเศรษฐ #คนเสื้อแดง #นปช